แต่นอกจากจะมีเสียงสะท้อนของหลิ่วหมิงดังในบ้านไม้แล้ว ก็ไม่เสียงตอบรับใดๆ อีก
“เหลียนซี! เฟิงเอ๋อร์!”
หลิ่วหมิงหมุนตัวเดินออกไปจากบ้านไม้ และวิ่งไปยังนาข้าวของตนเองด้วยความรู้สึกอกสั่นขวัญหายเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงตะโกนไปด้วย
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาต่อมา ในพื้นที่นาหลังหมู่บ้าน
“เอ้อร์โก่ว ทำไมเจ้าถึงมาไถดินในที่ดินของบ้านข้า เหลียนซีกับเฟิงเอ๋อร์ไปไหนแล้ว?” หลิ่วหมิงคว้าตัวชายร่างผอมไว้ และส่งเสียงตะคอกออกมา
“เจ้าสามแห่งสกุลหลิ่ว โชคดีที่เจ้ายังมีหน้ามาถาม เจ้าจากบ้านไปถึงสิบปี ข้าไม่รู้ว่าเจ้าใช้ชีวิตในเมืองเป็นอย่างไรบ้าง แต่เจ้ากลับทนให้สองแม่ลูกรอเจ้าอยู่ที่นี่อย่างยากลำบาก” ชายร่างผอมผลักหลิ่วหมิงออกแล้วกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น
“เอ้อร์โก่ว เจ้าหมายความว่าอย่างไร เหตุใดเจ้าถึงมาไถที่นาของบ้านข้า เหลียนซีกับเฟิงเอ๋อร์ล่ะ! เจ้ารีบพูดมา!” หลิ่วหมิงเค้นถามด้วยความวุ่นวายใจ
“หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ สี่ปีก่อนเหลียนซีป่วยเสียชีวิตเนื่องจากทำงานหนักมานาน ส่วนหลิ่วเฟิงลูกชายของเจ้า ทางการก็พาเขาไปเป็นทหารเมื่อหนึ่งปีก่อนแล้ว ก่อนไปเขาก็ได้ขายที่ดินผืนนี้ให้กับข้าแล้ว” ชายร่างผอมตอบกลับมาเช่นนี้
“เป็นไปไม่ได้ เจ้าจะต้องหลอกข้าเป็นแน่ ข้าได้รับจดหมายจากเฟิงเอ๋อร์ทุกปี เขากับเหลียนซีล้วนสบายดี เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ เจ้าโกหกข้าเช่นนี้ มีจุดประสงค์ใดกันแน่? หรือว่าเจ้าแย่งที่ดินของบ้านข้าไป และไล่พวกเขาสองคนแม่ลูกออกไปแล้ว เจ้ารีบบอกมา!” หลิ่วหมิงก้าวไปคว้าเสื้อผ้าชายร่างผอมไว้อีกครั้ง และถามด้วยสีหน้าโกรธแค้น
“ใต้เท้าหลิ่ว หลิ่วทั่นฮวา ตอนนี้ท่านเป็นขุนนางใหญ่แล้ว สามัญชนอย่างข้าไหนเลยจะกล้าหลอกท่าน เรื่องนี้เขารู้กันทั้งหมู่บ้าน ไม่เชื่อก็ลองไปถามดู” ชายร่างผอมผลักหลิ่วหมิงออกไปอีกครั้ง หลังจากจัดเสื้อผ้าของตนเองแล้ว ก็ไม่พูดอะไรอีก แต่กลับหมุนตัวไปหยิบเครื่องมือไถดินต่อ
หลิ่วหมิงได้ยินก็ถอยออกไปสองก้าวด้วยแววตาซึมกระทือ และสะดุดเท้าล้มลงพื้น
“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้!”
ครู่ต่อมาหลิ่วหมิงก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งไปในหมู่บ้านอีกครั้ง
ระหว่างทางเขาล้มลงพื้นหลายครั้งจนหน้าตาฟกช้ำดำเขียว แต่กลับปีนขึ้นมาโดยไม่สนใจต่อความเจ็บปวด และวิ่งไปต่อราวกับคนเสียสติ
หนึ่งเดือนต่อมา บนยอดเขาแห่งหนึ่งที่อยู่นอกหมู่บ้านสกุลหลิ่ว ตรงหน้าหลุมฝังศพที่อยู่ห่างไกลผู้คนและเต็มไปด้วยหญ้า ชายสวมชุดสีดำขาดๆ ผมเผ้ารุงรัง กำลังนั่งคุกเข่าร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนพื้น มือของเขากำจดหมายสองฉบับไว้แน่น เล็บมือฝังลึกลงไปในเนื้อ โลหิตสีแดงเปื้อนมุมหนึ่งของกระดาษจดหมาย
ฉบับแรก เขาพบมันในตู้เพียงใบเดียวที่เหลืออยู่ในบ้านไม้ ซึ่งเป็นจดหมายที่หลิ่วเฟิงลูกชายของเขาเขียนเมื่อห้าปีก่อน
“ท่านพ่อ หลายปีมานี้ท่านแม่ยืนหยัดอย่างยากลำบาก ทำงานหนักจนล้มป่วย แต่กลับไม่ให้ข้าบอกท่าน แต่ท่านกลับจากบ้านไปห้าปี และไม่กลับมาดูพวกเราเลย ชื่อเสียงลาภยศเงินทองสำคัญขนาดนั้นจริงๆ หรือ? ท่านแม่บอกว่า การได้รับลาภยศชื่อเสียงคือความปรารถนาของท่าน แม้จะเกี่ยวพันถึงชีวิตของท่านแม่ นางก็หวังจะให้ท่านได้สมปรารถนา แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าความปรารถนาของท่านแม่คือสิ่งใด? นางปรารถนาแค่ให้ท่านอยู่กับนาง ทานอาหารด้วยกันง่ายๆ อยู่ด้วยกันตลอดชีวิต แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ความจริงนี่ก็เป็นความปรารถนาของข้าด้วย”
ส่วนฉบับที่สองเป็นจดหมายที่ทางการส่งมา บนนั้นมีตัวอักษรสั้นๆ ไม่กี่แถว รอยหมึกยังใหม่อยู่ มีตราประทับทางการปิดอยู่ข้างใต้
“หลิ่วเฟิง คนหมู่บ้านสกุลหลิ่ว อายุเกินสิบแปด องอาจห้าวหาญและเชี่ยวชาญในการรบ ตอนปราบกบฏเขตตะวันออก ถูกจับกุมและเสียชีวิต เพื่อสรรเสริญถึงคุณูปการอันเลิศล้ำในหนึ่งปีมานี้ จึงแต่งตั้งให้เป็นเสนาบดีฝ่ายทหาร ปูนบำเหน็จเงินรางวัลให้ห้าสิบตำลึง”
“ข้าผู้แซ่หลิ่ว ชาตินี้หลงงมงายในชื่อเสียง เดิมทีคิดว่าหลังจากมีชื่อสอบชิงตำแหน่งขุนนางในสนามสอบพระราชวังแล้ว จะสามารถแต่งตั้งยศถาบรรดาศักดิ์ให้กับภรรยาและลูกได้ ให้พวกเขาได้เสพสุขความรุ่งเรืองและความร่ำรวยตลอดชีวิต! แต่กลับคิดไม่ถึงว่า พอถึงตอนท้าย ไม่เพียงแต่ภรรยาจะป่วยตายในบ้านโดยที่ตัวเองไม่รู้ ทั้งยังเดือดร้อนถึงลูกชายจนต้องไปตายที่สนามรบ ไม่เหลือแม้แต่ศพและกระดูก ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะข้าหลงงมงายเกินไป แล้วข้าจะมีหน้ามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร?”
หลิ่วหมิงพูดจบก็แหงนหน้าส่งสียงคำรามออกมา เขาพูดไปพลางน้ำตาก็ร่วงไปพลาง ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ก็ยื่นมือไปหยิบไหสุราที่อยู่ด้านข้างมากรอกลงคออย่างบ้าคลั่ง
หลังจากเกิดเสียงดังเอื๊อกๆ สองสามที เขาก็กระแทกไหสุราลงบนพื้นจนแตกกระจาย และดึงกริชแวววาวที่เปล่งแสงสีม่วงออกจากเอว
“เหลียนซี เฟิงเอ๋อร์ ข้าจะไปหาพวกเจ้าแม่ลูกเดี๋ยวนี้ รอข้าก่อน!” ดวงตาทั้งสองของหลิ่วหมิงแดงก่ำ เขานำกริชไปวางไว้บนคออย่างไม่ลังเล
ขณะนั้นเอง มือทั้งคู่ที่ถือกริชสีม่วงอยู่กลับสั่นสะท้านขึ้นมา แสงสีม่วงเจิดจ้าพุ่งออกจากกริช จากนั้นหมิงก็รู้สึกเย็นชุ่มชื่นไปทั้งตัว
ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงรู้สึกถึงสงครามเย็นรอบตัว ทุกสิ่งที่อยู่รอบๆ เริ่มพร่ามัวขึ้นมา
“เพล้ง!”
ภาพรอบด้านแตกกระจายออกมาราวกับเป็นกระจก…
“เป็นไปไม่ได้! เป็นไปได้อย่างไร! หรือว่าสิ่งที่เขาถืออยู่คือกริชทำลายวิญญาณ ไม่ถูกต้อง! หญิงสารเลวผู้นั้นยังวางอาคมคืนสติไว้บนกริชด้วย”
หลิ่วหมิงยังไม่ได้ลืมตา ก็ได้ยินเสียงตื่นตระหนกและโมโหของหญิงสวมชุดชาววังในฉับพลัน
เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็ค้นพบว่าตนเองถอยมาถึงปากทางเข้าตำหนักใหญ่ในก่อนหน้าโดยไม่รู้ตัว กริชทำลายวิญญาณที่ถืออยู่ในมือได้ลอยอยู่ตรงลำคอแล้ว ซึ่งอยู่ห่างจากคอหอยแค่ชุ่นกว่าๆ เท่านั้น ดูเหมือนว่าจะถูกกริชจนบาดเลือดสาดกระเซ็นในอีกไม่ช้า
บนพื้นผิวของกริชมีลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงแปลกประหลาดเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด ลำแสงสีม่วงแวววาวถูกปล่อยออกมาจากในนั้น สามารถรับรู้ถึงไอเย็นเฉียบได้อย่างลางๆ
ประจักษ์ชัดว่าแสงสีม่วงแวววาวเหล่านี้ปกคลุมร่างของเขาไว้ ถึงทำให้สมองเขารู้สึกแจ่มชัดขึ้นมา และหลุดออกจากแดนมายาในก่อนหน้าได้
หลิ่วหมิงนึกถึงคำพูดของหญิงชุดชาววังในก่อนหน้า และยังไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทันใดนั้นเขาก็ถอนหายใจยาวออกมาก่อนนำกริชออกจากคอ และจ้องมองหญิงชุดชาววังพร้อมกับกล่าวอย่างราบเรียบ
“ดูเหมือนว่าเรือท่านจะล่มเมื่อตอนจอด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เอาชีวิตมาให้ข้าเถอะ”
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง เขาก็กระตุ้นพลังจนไอดำพวยพุ่งออกจากร่าง จากนั้นก็ก้าวยาวๆ เดินไปด้านหน้า
“หญิงสารเลวนั่นคิดจริงๆ หรือว่า กระตุ้นค่ายกลจิตวิญญาณแล้ว จะทำให้ข้าถูกจับโดยละม่อม มันจะดูถูกข้าไปหน่อยแล้ว! ไม่ใช่ว่าหุ่นในตำหนักนี้จะถูกชั้นจำกัดก่อกวนได้ ข้าจะให้เจ้าได้เห็นหุ่นตัวใหม่ที่ข้าสร้างขึ้นมาเอง!” หญิงชุดชาววังเห็นเช่นนี้กลับกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น
ดวงตาทั้งคู่ของนางเปล่งแสงสีแดงอีกครั้ง จากนั้นก็เกิดเสียงกลไกลดังคร่อกแคร่กดังขึ้นบนคานอยู่ครู่หนึ่ง ต่อมาก็มีรูขนาดใหญ่โผล่ออกมาสองรู และสิ่งของสีดำสองอันก็ร่วงลงพื้น มันคือหุ่นนักรบร่างมนุษย์สีดำสองตัว
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปทันที เขาหยุดชะงักฝีเท้าอยู่กับที่ และกวาดสายตามองดูหุ่นทั้งสองที่ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่
หุ่นนักรบร่างมนุษย์สีดำทั้งสองสูงครึ่งจั้ง ดวงตาทั้งคู่หลับสนิท และสวมหน้ากากปีศาจอยู่บนหน้า ไม่นับว่ามีรูปร่างสูงใหญ่มากนัก บนหน้าอกยังมีลายโลหิตแปลกประหลาดประทับอยู่จำนวนมาก มือข้างหนึ่งจับกระบี่ยักษ์สีทองอร่าม ส่วนอีกข้างก็ถือดาบปลายแหลมที่เปล่งแสงสลัวๆ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
เด็กหญิงบอกว่าเขา พอเปิดชั้นจำกัดหุ่นทั้งหมดในพระราชวังจะหมดประสิทธิภาพ และไม่อาจเคลื่อนไหวไม่ใช่หรือ แล้วหุ่นสองตัวนี้คืออะไรกัน
แม้ว่าบนตัวของหุ่นสองตัวนี้จะไม่มีกลิ่นไอเลยแม้แต่น้อย ทำให้เขาไม่รู้ว่าพวกมันมีพลังระดับไหนกันแน่ แต่ในเมื่อหญิงสวมชุดชาววังสร้างมันขึ้นมากับมือ คิดว่าคงเป็นหุ่นที่น่าปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นอย่างมาก
ขณะนี้ หญิงสวมชุดชาววังค่อยๆ เขม่นตามองออกไป แสงสีแดงในดวงตาทั้งคู่กลายเป็นสีเลือด ลูกตาสีแดงในเบ้าตาค่อยๆ หมุนวนขึ้นมาราวกับน้ำวน
ขณะเดียวกัน พลันมีลวดลายแปลกประหลาดปรากฏบนหน้าอกของนักรบเกราะสีดำทั้งสองตัวที่ไม่ขยับเขยื้อน ราวกับว่ามันมีการตอบสนองซึ่งกันและกัน ทันใดนั้นดวงตาสีแดงก็หมุนวนอยู่ครู่หนึ่ง และเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา จากนั้นหุ่นสีดำทั้งสองก็ลืมตาขึ้นมา ดูเหมือนว่าจะสว่างกว่าแสงสีเลือดในดวงตาของหญิงชุดชาววังเล็กน้อย และจ้องมองหลิ่งหมิงอย่างไม่วางตา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หดรูม่านตาลง
แต่เขายังไม่ทันได้คิดอะไรมาก แสงสีแดงก็เปล่งประกายในดวงตาของหุ่นสีดำทั้งสอง และเดินมาทางเขาทันที ฝีเท้าหนักมาก ทุกย่างก้าวราวกับมีพลังมหาศาล ทำให้ตำหนักข้างทั้งหลังสั่นสะเทือนเบาๆ
หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน พลังระดับนี้ดูเหมือนจะมีพลังอย่างน้อยระดับแก่นแท้ขึ้นไป พอเขาครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว กริชทำลายวิญญาณในมือก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวกลายเป็นเงาร่างสามเงาพุ่งออกไปรับมือ
แม้ว่ากริชทำลายวิญญาณจะมีอานุภาพแข็งแกร่ง แต่เพราะไม่เคยผ่านการปรับแต่งมาก่อน เกรงว่าอานุภาพที่เขากระตุ้นออกมา คงยังไม่ถึงหนึ่งในสิบของอานุภาพที่แท้จริง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ด้วยการฝึกฝนระดับของเหลวของเขาในตอนนี้ หากฝืนกระตุ้นของล้ำค่าชิ้นนี้ เกรงว่าคงถูกดูดพลังเวทจนเหือดแห้ง ดังนั้นย่อมไม่อาจนำมันมารับมือกับศัตรูได้
หุ่นที่ถือดาบปลายแหลมเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าเงาร่างเงาหนึ่ง พอโบกมือข้างหนึ่ง ไอสีเขียวสลัวๆ ก็ฟันออกไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เพล้ง!”
พอเงาร่างสัมผัสกับแสงดาบ ก็ถูกฟันจนแตกกระจาย
ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็กระตุ้นเงาร่างอีกเงาให้ไปหาหุ่นที่ถือกระบี่ และร่างจริงของเขาก็เคลื่อนไหวมาปรากฏตัวด้านหลังหุ่นที่ถือดาบ
พอเขาปรากฏตัว ก็กำกำปั้นข้างหนึ่งไว้ ภายใต้การพวยพุ่งของไอดำ เงาหัวพยัคฆ์สีดำตัวหนึ่งก็ปรากฏบนกำปั้นของเขาลางๆ
“โฮ่ก!” หัวพยัคฆ์แผดเสียงร้องออกมา!
เงาหัวพยัคฆ์สีดำอ้าปากงับแขนซ้ายของหุ่นที่ถือดาบจนขาด
บริเวณแขนที่ขาดมีโลหิตสดๆ ไหลออกมาเหมือนกันมนุษย์ ทันใดนั้นกลิ่นคาวโลหิตก็อบอวลไปทั่วอากาศ
แต่หลิ่วหมิงยังไม่ทันได้แสดงหน้าดีใจออกมา ก็เกิดเสียงดัง “ตู๊ม!”
แขนท่อนที่อยู่ในปากหัวพยัคฆ์ระเบิดออกมาในพริบตา คลื่นสั่นสะเทือนสีเลือดกระจายออกไปเป็นวงๆ อย่างบ้าคลั่ง ไม่เพียงแต่ฉีกเงาหัวพยัคฆ์ออกเป็นชิ้นๆ เท่านั้น หลิ่วหมิงที่อยู่ห่างเพียงแค่ลัดมือเดียว ก็รู้สึกถึงพลังมหาศาลที่ปะทะลงบนตัวอย่างรุนแรง จากนั้นร่างของเขาก็กระเด็นออกไปราวกับกระสอบ และตกลงบนเสาต้นหนึ่งที่อยู่บริเวณนั้นอย่างรุนแรง ทำให้มันสั่นสะเทือนอยู่ไม่หยุด จนเกิดรอยร้าวขนาดใหญ่
หลิ่วหมิงสูดหายใจด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน เขาพยายามขยับตัวด้วยความเจ็บปวด และหายไปจากบนเสาอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมา เกิดเสียงดัง “ฟิ้ว!” แสงกระบี่สีทองฟันลงบนรอยร้าวที่เขาทิ้งไว้บนเสา
มันคือหุ่นนักรบสีดำอีกตัวที่ใช้กระบี่ยักษ์ในมือฟันผ่านอากาศออกไป
………………………………