ท่ามกลางวิหารใหญ่บนยอดเขาเลื่อนลอย
เทียนอินซ่างเหรินกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หลัก และอินจิ่วหลิงกับอวี้อินจื่อก็นั่งอยู่ทั้งสองด้าน
ในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมไม่มีที่นั่งให้กับหลิ่วหมิง และเจียหลาน พวกเขาทั้งสองต่างก็ยืนอยู่ด้านหลังอินจิ่วหลิงกับอวี้อินจื่อ
หลังจากอินจิ่วหลิงนั่งลงแล้ว ก็ส่งเสียงพูดคุยอะไรบางอย่างกับอวี้อินจื่อ และเทียนอินซ่างเหรินอยู่ตลอด แต่สายตากลับสังเกตดูเจียหลานอยู่ไม่หยุด แสงสีแดงเปล่งประกายบนใบหน้าซีกที่อ่อนเยาว์ราวกับทารก ทำให้ใบหน้าอีกซีกที่แห้งเหี่ยวดูเหมือนจะเต่งตึงขึ้นมาไม่น้อย
“ผู้ควบคุมอิน ท่านว่าศิษย์ของข้าคนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” ทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตาของอวี้อินจื่อ แต่นางกลับไม่ได้แสดงสีหน้าตำหนิแต่อย่างใด แต่ผ่านไปสักพักถึงถามด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าๆ! ไม่ว่าจะเป็นรูปโฉมหรือว่าคุณสมบัติการฝึกฝน ศิษย์หลานเจียหลานล้วนเลิศล้ำไปหมด ช่างวิเศษเสียจริง!” อินจิ่วหลิงหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
หลิ่งหมิงได้ยินก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา ราวกับว่าจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้ลางๆ
แต่เจียหลานกลับก้มหน้าเล็กน้อย ทำให้มองไม่เห็นสีหน้าของนาง
“เอาล่ะ! หลิ่วหมิง เจียหลาน พวกเจ้าสองคนมายืนด้านหน้าเถอะ!” เทียนอินซ่างเหรินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เจียหลานได้ยินเช่นนี้ก็เงยหน้าขึ้นมา เผยให้เห็นใบหน้างดงามที่แดงเล็กน้อย จากนั้นถึงรู้ตัวว่าตนเองเสียมารยาท จึงรีบตอบรับแล้วเดินออกมาทันที
หลังจากหลิ่วหมิงรู้สึกอึ้งเล็กน้อยแล้ว ภายใต้การมองของอินจิ่วหลิง เขาก็ค่อยๆ เดินออกมา
“ผ่านเรื่องวุ่นวายในการประลองครั้งนี้มาแล้ว คิดว่าอีกไม่นาน เรื่องของพวกเจ้าทั้งสองก็คงถูกเล่าลือไปทั่วนิกาย เมื่อครู่ผู้ควบคุมอินกับศิษย์น้องอวี้อินจื่อได้แอบหารือกันแล้ว ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองมีใจให้กันตั้งแต่แรก วันนี้ข้าจะรับผิดชอบต่อหน้าอาจารย์ของพวกเจ้าทั้งสอง ให้พวกเจ้าทั้งสองหมั้นหมายกัน”
เทียนอินซ่างเหรินกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
แม้ว่าหลิ่วหมิงพอจะคาดเดาได้ตั้งแต่แรก แต่พอได้ยินคำพูดนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะอึ้งไปทันที
เจียหลานได้ยินก็แก้มแดงมากกว่าเดิม นางก้มหน้าลงเล็กน้อย และไม่พูดอะไรออกมาราวกับว่ายอมรับเรื่องนี้โดยปริยาย
“เช่นนี้ก็ดี!” อินจิ่วหลิงเห็นเช่นนี้ ก็พยักหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกพอใจมาก
อวี้อินจื่อมองดูเจียหลานและหลิ่วหมิงตรงหน้าด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยรอยยิ้ม
หลิ่วหมิงสงบจิตได้อย่างรวดเร็ว พอหันไปเห็นท่าทีเช่นนี้ของเจียหลาน ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจ หลังจากคิดใคร่ครวญไปหนึ่งรอบแล้ว ก็แอบหัวเราะอย่างขมขื่น สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ขณะนั้นเอง สายตาอ่อนโอนของอวี้อินจื่อก็มองไปทางหลิ่วหมิง และค่อยๆ กล่าวออกมา
“ศิษย์หลานหลิ่วอายุน้อยเช่นนี้ ก็ฝึกฝนบรรลุระดับผลึกขั้นปลายแล้ว คิดว่าการสลายผลึกเกาะผนึกแก่นแท้ คงเป็นเรื่องที่นับวันรอได้แล้ว”
“ศิษย์เพิ่งฝึกฝนถึงขั้นปลาย ยังไม่ได้เข้าสู่ระดับแก่นเสมือน หากคิดจะสลายผลึกเกาะตัวแก่นแท้ล่ะก็ เกรงว่ายังต้องฝึกฝนอย่างหนักสักระยะหนึ่ง” หลิ่วหมิงระงับความฟุ้งซ่านในใจไว้ และตอบกลับไปอย่างนอบน้อม
“ดีมาก! ศิษย์หลานหลิ่วไม่เพียงแต่มีการฝึกฝนอันน่าตกใจเท่านั้น แม้แต่อุปนิสัยก็ดูเป็นผู้ใหญ่เช่นนี้ ดูท่าข้าฝากฝังศิษย์ของข้าคนนี้ไว้กับเจ้า คงไม่ผิดคนอย่างแน่นอน ใช่สิ! งานประตูสวรรค์ใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว คาดว่าเจ้าก็คงเตรียมการแล้วไม่น้อย เรื่องงานแต่งของเจ้ากับเจียหลาน จะกำหนดไว้เช่นนี้ก่อน รอหนึ่งในพวกเจ้าทั้งสองบรรลุสู่ระดับแก่นแท้แล้ว ค่อยจัดพิธีคู่รักฝึกฝนให้พวกเจ้าทั้งสองเป็นคู่รักฝึกฝนอย่างเป็นทางการเถอะ” ดูเหมือนว่าอวี้อินจื่อจะพอใจกับคำตอบของหลิ่วหมิงมาก ทันใดนั้นนางจึงเสนอแนะกับอินจิ่วหลิ่งเช่นนี้
“สหายอวี้อินพิจารณาได้รอบคอบมาก จัดการตามนี้เถอะ!” อินจิ่วหลิงตัดสินใจออกมา
และเทียนอินซ่างเหรินก็ไม่มีท่าทีคัดค้านใดๆ เลยแม้แต่น้อย
แต่หลิ่วหมิงกลับรู้สึกหมดคำพูดอยู่ในใจพักหนึ่ง ในสมองของเขารู้สึกสับสนเล็กน้อย
…..
ไม่นาน เรื่องการประลองบนยอดเขาเลื่อนลอยก็แพร่กระจายไปทั่วนิกาย
กระบี่เดียวของหลิ่วหมิงที่ทำลายค่ายกลของเวินเจิง วีรกรรมอันอาจหาญที่ใช้กำปั้นเดียวโจมตีค่ายกลนักรบพระโพธิสัตว์เขาพระสุเมรุน้อยจนแตกกระจาย ภายใต้การใส่เนื้อใส่ไข่แล้วเล่าลือต่อๆ กันไป มันจึงถูกเล่าออกมาในหลากหลายรูปแบบ โด่งดังไปทั่วทั้งในบรรดาศิษย์สายในและสายนอก
ชื่อเสียงของเขาย่อมโด่งดังขึ้นมามากกว่าเดิม จนเท่าเทียมกับหลิ่วเทียนเฉิงแล้ว
และในวันนั้น หลังจากอินจิ่วหลิงไปจากยอดเขาเลื่อนลอยแล้ว หลิ่วหมิงก็กราบลาอาจารย์กลับไปยังถ้ำที่พัก และทำการฝึกฝนกับอสูรเลี้ยงทั้งสอง ยกระดับพลังขึ้นอีกเล็กน้อยก่อนงานประตูสวรรค์จะเริ่มขึ้น
ตั้งแต่เขาได้เห็นความร้ายกาจของหลัวเทียนเฉิง เวินเจิง และคนอื่นๆ แล้ว ก็เลิกดูเบาผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันไปเลย
เพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้า แผ่นดินจงเทียนอันอุดมสมบูรณ์และกว้างใหญ่ไพศาล นิกายน้อยใหญ่นับหมื่น ไม่ใช่เขาแค่คนเดียวที่มีพลังเหนือกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกัน
แม้ว่าเรื่องการหมั้นจะไม่ใช่เจตนาเดิมของเขา แต่ในเมื่อผู้ควบคุมยอดเขาทั้งสองพูดตกลงกันได้เช่นนี้ ตอนแรกเจียหลานเองก็ใช้เหตุผลนี้ในการปฏิเสธเวินอัน และคนอื่นๆ ดังนั้นเขาย่อมไม่อาจปฏิเสธหรืออธิบายอะไรมากได้
ดีที่ว่างานแต่งต้องรอให้ทั้งสองบรรลุระดับแก่นแท้ก่อน เขาจึงได้แต่รอให้ถึงเวลานั้นแล้วค่อยคิดเรื่องนี้อย่างละเอียด เพราะหากเขาไม่อาจบรรลุระดับแก่นแท้ได้ ไม่แน่ว่าการดูดซับพลังเวทของฟองอากาศภายในร่างในอีกสองครั้งให้หลัง เขาอาจจะยืนหยัดไม่ไหวก็ได้ เรื่องอื่นๆ ก็ไม่อาจพูดถึงได้
แน่นอนว่ามูลเหตุสำคัญที่สุดยังเป็นเพราะว่าในส่วนลึกของใจหลิ่วหมิง ยังมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้สำหรับเจียหลานผู้นี้
แต่ว่าหลังจากการต่อสู้กับเวินเจิง เจียหลานก็ไม่เคยมาหา แม้แต่ส่งข่าวสื่อสารกันก็ไม่เคยเลย
เช่นนี้แล้ว ในช่วงเวลานี้หลิ่วหมิงก็สามารถฝึกฝนได้โดยไม่ต้องวอกแวกแล้ว
หนึ่งปีผ่านไป ห้องลับภายในถ้ำที่พัก หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่อีกด้านหนึ่ง เขากำลังสั่งให้อสูรเลี้ยงทั้งสองทำการประลองกันอยู่
“แกว๊กๆ! ทายสิคนไหนถึงเป็นร่างแท้จริงของข้า!
จะเห็นว่ามีเด็กชายชุดเขียวที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันเก้าคน กำลังกระโดดอยู่ตามมุมต่างๆ ของห้องด้วยความรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ และพ่นเปลวไฟโลหิตออกมาพร้อมกันอยู่ตลอดเวลา
หญิงสาวชุดดำกลับแสดงสีหน้าเหยียดหยามออกมา มีเสียงฮึดฮัดดังออกจากจมูกโด่งของนาง พอยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาเบาๆ ลมเย็นสีเหลืองอ่อนๆ ก็ม้วนตัวขึ้นมาจากใต้เท้า ขณะเดียวกัน เศษบนพื้นจำนวนมากก็สั่นสะท้านเบาๆ จากนั้นก็กลายเป็นพายุทรายสีเหลืองขนาดหนึ่งฉื่อกว่าๆ ม้วนตัวขึ้นมา ท่ามกลางพายุทราย เศษหินต่างก็เสียดสีกันจนเกิดเสียงดังออกมาอย่างต่อเนื่อง
“ไป!”
หญิงสาวชุดดำชี้นิ้วไปกลางอากาศเบาๆ พายุทรายส่งเสียงดัง “ฟิ้ว!” และกลายเป็นพายุทรายเก้าลูกพุ่งเข้าใส่เด็กชายชุดเขียว
“เจ้าสบประมาทข้าเกินไปแล้ว!”
เด็กชายชุดเขียวทั้งเก้าคนส่ายหน้า และตอบกลับออกมาพร้อมกัน ขณะเดียวกันดวงตาทั้งคู่ก็เป็นประกาย ใบหน้าสีขาวมีลายเส้นจิตวิญญาณแปลกประหลาดปรากฏออกมาจำนวนมาก เผยให้เย็นสีหน้าอันดุร้าย พออ้าปากก็พ่นเปลวไฟสกปรกสีเทาออกมาเป็นกลุ่มๆ
เกิดเสียงดังติดต่อกัน พายุทรายแต่ละลูกถูกเปลวไฟสกปรกห่อหุ้มไว้ และค่อยๆ สูญเสียพลังจิตวิญญาณก่อนสลายไป ทันใดนั้น ฝุ่นสีเหลืองสลัวๆ ก็ปกคลุมเต็มห้องลับ เศษหินจำนวนมากพุ่งออกไปทั่วทิศ
หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ปีศาจสมุทรแปดขาที่แนบอยู่บริเวณหน้าอกส่งเสียงดัง “ฟี้ๆ!” จากนั้นก็กลายเป็นชุดเกราะสีเงิน มันแผ่ม่านแสงสีเงินจางๆ ออกมาต้านทานเศษหินที่ปกคลุมเต็มฟ้าไว้
เวลาผ่านไปไม่กี่อึดใจ ฝุ่นทรายสีเหลืองค่อยๆ สลายไป แต่กลับไม่เห็นเงาร่างของหญิงสาวชุดดำแล้ว
ขณะนั้นเอง มีเงาร่างสีดำเปล่งประกายด้านหลังเด็กชายชุดเขียวคนหนึ่ง และพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน นางก็คือเซียเอ๋อร์ที่กลายร่างเป็นหญิงสาวชุดดำนั่นเอง
จะเห็นว่ามือข้างหนึ่งของนางยื่นออกไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ และคว้าไหล่ของเด็กชายชุดเขียวไว้
เด็กชายชุดเขียวเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา และหันมาปล่อยกำปั้นใส่หญิงสาวจากนั้นชุดดำเปลวไฟสีเขียวจางๆ ก็ม้วนตัวออกไป
พอหญิงสาวชุดดำบิดเอว เท้าข้างหนึ่งก็แตะพื้นเบาๆ และพุ่งออกไปสองสามจั้ง จากนั้นก็มาปรากฏตัวอยู่ด้านข้างหลิ่วหมิง
เกิดเสียงดังเพล้ง เปลวไฟสีเขียวปะทะกับผนังห้องลับ ทำให้ม่านแสงสีฟ้าบนกำแพง แสงสีฟ้าสั่นสะท้านเบาๆ จากนั้นก็กลับมามีสภาพปกติ
“เจ้าแพ้แล้ว ข้าหาตำแหน่งร่างจริงของเจ้าได้แล้ว” ใบหน้างดงามของหญิงสาวชุดดำดูโมโหขึ้นมาเล็กน้อย น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเหยียดหยาม
“จริงหรือ?” เด็กชายชุดเขียวส่งเสียงร้องแกว๊กๆ พร้อมกัน จากนั้นหมอกควันสีเขียวก็ห่อหุ้มเขาไว้
หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงหนึ่งที หมอกเขียวแปดกลุ่มก็หายไป และมุมหนึ่งของถ้ำกลับมีเด็กชายชุดเขียวคนหนึ่ง เขากำลังหัวเราะใส่หญิงสาวชุดดำด้วยความพอใจ ตรงคอของเขามีมุกสีเขียวสลัวๆ ห้อยอยู่แปดเม็ด
“นี่…” หญิงสาวชุดดำอึ้งไปทันที พอมองดูเด็กชายชุดเขียวที่อยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องแล้ว นางก็พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เขามองดูการต่อสู้ตั้งแต่ต้นจนจบ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าร่างจริงของหัวบินก็คือร่างที่แมงป่องกระดูกคว้าไว้ได้ในก่อนหน้านั้น แต่กลับกลายเป็นเด็กชายเสื้อเขียวอีกคนที่อยู่อีกมุมของห้อง หรือว่าร่างแบ่งที่หัวบินสร้างขึ้นจะแตกต่างกับเขา!
“พวกเราเอาใหม่อีกรอบ!” หญิงสาวชุดดำกล่าวด้วยความไม่พอใจ
“ก็เอาสิ!” เด็กชายชุดเขียวก็เบะปากกล่าวอย่างไม่ยอมน้อยหน้า
ขณะนั้นเอง ป้ายประจำตัวที่อยู่บนเอวของหลิ่วหมิงกลับสั่นสะท้านเบาๆ และมีน้ำเสียงทุ้มต่ำดังออกมา
“ศิษย์ทั้งหมดที่เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ ให้มารวมตัวกันบนยอดเขาหลักของนิกายยอดบริสุทธิ์ในอีกสามวันให้หลัง”
หลิ่วหมิงได้ยินก็มีหน้าเย็นสะท้าน
“นายท่าน ใกล้จะต้องไปเข้าร่วมงานประตูสวรรค์แล้วหรือ?” หญิงสาวชุดดำเบิกตากล่าว
“แกว๊กๆ! งานประตูสวรรค์ งานประตูสวรรค์!” เด็กชายชุดเขียวได้ยิน ก็มีสีหน้าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
“นับๆ ดูแล้ว ยังพอมีเวลาอยู่บ้าง เหตุใดถึงเรียกรวมตัวกันไวเช่นนี้ หรือว่าสถานที่สถานที่จัดงานจะอยู่ไกลมาก?”
หลิ่วหมิงพูดพึมพำหนึ่งประโยค พอตบเอว แมงป่องกระดูกกับหัวบินก็กลายเป็นไอหมอกสีเขียวและสีขาวมุดเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณทันที
เขาเก็บกวาดห้องรกอย่างง่ายๆ จากนั้นถึงออกไปจากถ้ำที่พัก และกลายเป็นแสงหลบหลีกสีดำพุ่งไปทางตลาดในนิกาย
ครึ่งวันต่อมา ขณะที่เขากลับมาในถ้ำที่พักอีกครั้ง ภายในแหวนย่อส่วนก็มียันต์ปึกหนาๆ กับโอสถรักบาดแผลจำนวนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
แม้เขาจะไม่ขาดแคลนอาวุธจิตวิญญาณและโอสถ วิธีการต่างๆ ก็เกิดขึ้นอย่างไม่ขาดสาย แต่ว่าแดนลึกลับในงานประตูสวรรค์ไม่ใช่สถานที่ง่ายๆ ยังคงเตรียมพร้อมไว้ก่อนจะดีกว่า
อีกสามวันให้หลัง เขาเพียงแค่นั่งสมาธิอยู่ในห้องอย่างเงียบๆ เพื่อให้ร่างกายฟื้นคืนในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด
เช้าตรู่วันที่สาม หลังจากหลิ่วหมิงเปิดชั้นจำกัดภายในถ้ำที่พักแล้ว ก็ขี่เมฆดำพุ่งไปยังยอดเขาที่สูงที่สุดของนิกายยอดบริสุทธิ์ลูกนั้น
………………………………