“ดี! เป็นโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับสูงทั้งหมดจริงๆ ครั้งนี้จะเลื่อนระดับเป็นระดับผลึกขั้นปลายมีหวังแล้ว! วิญญาณปีศาจอสูรระดับแก่นแท้เหล่านี้เป็นของเจ้าแล้ว!” หลังชายหนุ่มเผ่าปีศาจผู้มีหัวเป็นพยัคฆ์กวาดสายตามองโอสถสีขาวเจ็ดเม็ดที่เหลือในกล่องหยกกล่องหนึ่งบนโต๊ะแล้วก็เอ่ยขึ้นอย่างดีอกดีใจ
แม้โอสถแฝงจิตวิญญาณระดับสูงแปดเม็ดนี้หากนำไปประมูลขาย แต่ละเม็ดอย่างน้อยก็มีค่าสองล้านหินจิตวิญญาณหรืออาจมากกว่านั้น ส่วนวิญญาณระดับแก่นแท้นี้ถึงอยู่ในงานประมูลก็แค่สี่ห้าล้านเท่านั้น ทว่าวิญญาณปีศาจระดับสูงเช่นนี้หายากอย่างที่สุด วันนี้พริบตาเดียวหลิ่วหมิงก็แลกมาได้สามชนิดจึงรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง
คราวนี้เขาก็สามารถใช้วัตถุดิบวิญญาณเหล่านี้สังเวยให้ภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนบนร่างอีกหนก่อนงานประตูสวรรค์จัดขึ้นได้แล้ว
หลังหลิ่วหมิงคิดมาถึงตรงนี้ก็พยักหน้า จากนั้นเก็บขวดใบน้อยสามใบในมือเข้าไปในแหวนย่อส่วนทันที ส่วนชายหนุ่มเผ่าปีศาจผู้นั้นก็มือไวตาไวปิดกล่องหยกเก็บลงไป ท่าทางประหนึ่งกลัวว่าหลิ่วหมิงจะกลับคำ
“ในเมื่อทั้งสองท่านตกลงกันแล้ว เช่นนั้นก็ลงนามบนสัญญาแลกเปลี่ยนฉบับนี้ จากนั้นต่างฝ่ายต่างจ่ายหนึ่งแสนหินจิตวิญญาณก็เป็นอันเรียบร้อย” ข้างกายคนทั้งสอง บุรุษรูปร่างผอมแห้งที่สวมชุดขาวทั้งตัวผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น พร้อมทั้งเอากระดาษที่ส่องแสงสีน้ำเงินเรืองรองแผ่นหนึ่งออกมา
“ข้ามาเป็นครั้งแรก หารู้ไม่ว่างานแลกเปลี่ยนประตูสวรรค์นี้มีค่าใช้จ่าย ข้าไม่ได้นำหินจิตวิญญาณมาด้วย” ชายหนุ่มเผ่าปีศาจได้ยินก็ตะลึง เขาลูบศีรษะพลางเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าลำบากใจอยู่บ้าง
“ค่าใช้จ่ายที่สหายท่านนี้ต้องจ่าย ข้าจ่ายแทนเขาก็แล้วกัน” หลังหลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์ดังนี้ก็ยิ้มจางๆ จากนั้นนำหินจิตวิญญาณถุงหนึ่งในแหวนย่อส่วนออกมาโยนลงบนโต๊ะ
เขาได้วัตถุดิบวิญญาณสามขวดนี้มาอยู่ในมือแล้ว ย่อมไม่อยากให้เกิดการยกเลิกสัญญาแลกเปลี่ยนเพียงเพราะหินจิตวิญญาณอันน้อยนิดเท่านั้น
“ถ้าเช่นนั้นก็ขอบคุณสหายท่านนี้มาก! วันหน้าหากพบพานอีกหนจะต้องคืนหินจิตวิญญาณเหล่านี้ให้เท่าทวีแน่นอน” ชายหนุ่มเผ่าปีศาจลุกขึ้นยืนประสานมือเอ่ยกับหลิ่วหมิงทันที
หลิ่วหมิงเพียงโบกมือตอบกลับอย่างเป็นธรรมชาติ
บุรุษชุดขาวหยิบหินจิตวิญญาณขึ้นมาใช้จิตสัมผัสกวาดทีหนึ่งก็เก็บไป หลังจากนั้นส่งสัญญาให้กับมือคนทั้งสอง
หลิ่วหมิงยกนิ้วมือข้างหนึ่งขึ้นมาก่อนอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็เค้นเอาเลือดหยดหนึ่งออกมาหยดลงบนสัญญา หลังจากที่แสงสีเลือดจางๆ สว่างวูบหนึ่งแล้ว ตรงมุมของสัญญาสีน้ำเงินพลันมีใบหน้าเลือนรางขนาดเท่ากำปั้นดวงหนึ่งประทับอยู่ ซึ่งคล้ายกับใบหน้าแท้จริงของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
สัญญาของงานประตูสวรรค์นี้มหัศจรรย์ปานนี้เชียว ดีที่แม้เป็นหน้าตาดั้งเดิม ชายหนุ่มเผ่าปีศาจผู้นี้ก็คงไม่อาจรู้ได้ว่าเขาเป็นผู้ใด
ชายหนุ่มเผ่าปีศาจผู้นั้นสะบัดมือข้างหนึ่งบ้าง แสงสีม่วงสว่างขึ้นวูบหนึ่ง บนนิ้วชี้ของมืออีกข้างพลันปรากฏรอยแผลขนาดเล็ก จากนั้นเขาก็เค้นเลือดหยดหนึ่งออกมาจากปากแผล แสงสีแดงสว่างวูบหนึ่งก็ผสานเข้าไปในสัญญาสีน้ำเงินเรืองรอง ใบหน้าเลือนรางไม่ชัดอีกดวงหนึ่งปรากฏออกมาอย่างช้าๆ เช่นเดียวกัน
ทั้งสองคนฉับพลันรู้กันอยู่ในใจ เพียงมองหน้ากันแล้วยิ้ม
“เอาล่ะ สัญญานี้มีผลแล้ว ระหว่างงานไม่อาจกลับคำการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ได้ มิเช่นนั้นผลที่ตามมาจงรับรู้ด้วยตัวเอง ด้านนั้นมีค่ายกลเคลื่อนย้ายสองอัน ค่ายกลสีเขียวเคลื่อนย้ายออกไปด้านนอกของงานแลกเปลี่ยน ส่วนค่ายกลสีฟ้าสุ่มเคลื่อนย้ายไปยังตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งในห้องโถงของงานแลกเปลี่ยน” หลังบุรุษชุดขาวรับสัญญามาเก็บเรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“สหายท่านนี้ ข้าขอตัวตรงนี้ หากมีวาสนาคงได้พบกันในงานประตูสวรรค์อีก ส่วนเรื่องวัตถุดิบของปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าที่สหายถามก่อนหน้านี้ หลังข้ากลับไปในหุบเขาจะช่วยสืบข่าวคราวให้” ชายหนุ่มเผ่าปีศาจที่ศีรษะดูคล้ายพยัคฆ์ตนนี้ประสานมือคำนับหลิ่วหมิง
“ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนท่านแล้ว” หลิ่วหมิงก็ประสานมือเอ่ยอย่างเกรงใจเช่นกัน
จากนั้นทั้งสองคนจึงเดินไปยังค่ายกลสีเขียวอันนั้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย หลังแสงสีเขียวแสบตาสว่างขึ้นวูบหนึ่ง ทั้งสองคนก็หายวับไปพร้อมกัน
หลังจากนั้นไม่นาน หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวตรงจุดเคลื่อนย้ายจุดนั้นตอนตนเข้ามา ชายหนุ่มชุดขาวหน้าตาเกลี้ยงเกลาผู้นั้นที่เคยพบก่อนหน้านี้กำลังยืนอยู่ด้านข้างค่ายกล เขาเห็นหลิ่วหมิงปรากฏตัวปุบก็เดินเข้ามาหาทันที จากนั้นเอ่ยปากถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
“สหายผู้นี้ เซียนผู้นั้นที่มาพร้อมกันกับเจ้าก่อนหน้านี้เมื่อครึ่งชั่วยามก่อนได้จากไปแล้ว นางให้ข้ามาบอกเจ้าว่านางมีธุระต้องล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง”
“ขอบคุณมาก!”
หลิ่วหมิงคำนับเขาหนึ่งครั้งก่อนจะตรงไปยังช่องทางออก เขาขี่เมฆสีดำก้อนหนึ่งแหวกฟ้ามุ่งไปยังสถานที่ซึ่งหอของนิกายยอดบริสุทธิ์ตั้งอยู่
แม้งานแลกเปลี่ยนครั้งนี้เขาไม่ได้วัตถุดิบของปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่ามาจากมือของศิษย์หุบเขาปีศาจสวรรค์ แต่ใช้โอสถแลกวัตถุดิบวิญญาณระดับแก่นแท้หลายชนิดมาได้ก็ทำให้เขาค่อนข้างพอใจ
อีกทั้งสมบัติประหลาดล้ำค่านานาชนิดที่ปรากฏขึ้นในงานแลกเปลี่ยนยิ่งทำให้เขาเปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่
หลังหนึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงผู้สวมชุดดำทั้งร่างก็ปรากฏตัวหน้าหอของนิกายยอดบริสุทธิ์ เขาในเวลานี้คืนสภาพหน้าตาเดิมนานแล้ว
ทว่าเขาเพิ่งเหยียบเข้าหอยังไม่ทันได้ขึ้นไปชั้นบน ชายหนุ่มชุดสีเงินผู้หนึ่งกับชายหนุ่มชุดสีฟ้าผู้หนึ่งก็บังเอิญกลับมาจากข้างนอกเข้ามาในหอพอดีเช่นกัน
ชายหนุ่มชุดเงินก็คือหลัวเทียนเฉิงนั่นเอง
“หลิ่วหมิง!” หลัวเทียนเฉิงสองตาหรี่ลง ฉับพลันอ้าปากเรียกหลิ่วหมิงไว้
“อ้อ? ศิษย์น้องหลัวนี่เอง” หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ก็เอ่ยขึ้นเรียบๆ
“เหอะ เจ้าผูกแค้นใหญ่หลวงกับคนนิกายปีศาจลี้ลับไว้ใช่หรือไม่?” หลังหลัวเทียนเฉิงแค่นเสียงเหอะทีหนึ่งก็เอ่ยถามอย่างเฉยเมย
“หืม ศิษย์น้องหลัวไยถามเช่นนี้?” หลิ่วหมิงได้ยินก็แปลกใจไปครู่หนึ่ง หลังจากที่เขากวาดมองหลัวเทียนเฉิงตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วจึงย้อนถามกลับไปเรียบๆ
“เหอะ เจ้าจัดการตัวเองให้ดีๆ เถอะ” หลังหลัวเทียนเฉิงทิ้งประโยคหนึ่งไว้อย่างเย็นชาแล้วก็ขึ้นชั้นบนไป
“ศิษย์น้องคนนี้ ข้าเห็นเจ้ากับศิษย์น้องหลัวกลับมาด้วยกัน ไม่ทราบว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยก่อน จากนั้นสายตาจึงกวาดมองชายหนุ่มชุดฟ้าด้านข้างแล้วเอ่ยปากถาม
“ศิษย์พี่หลิ่ว ระหว่างทางที่ข้ากับศิษย์พี่หลัวกลับมาพบศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับสิบกว่าคนดักซุ่มอยู่ พวกเขาเห็นศิษย์พี่หลัวใช้วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเหมือนกันจึงมั่นใจทันทีว่าเขาคือท่าน แล้วลงมือใหญ่โตกับพวกเรา บอกว่าเพื่อแก้แค้นอะไรสักอย่าง ศิษย์พี่หลัวแสดงพลังขนานใหญ่ เฮือกเดียวโจมตีพวกเขาตายค่อนครึ่งถึงกลับมาได้อย่างปลอดภัย” ชายหนุ่มชุดฟ้าเผชิญหน้ากับหลิ่วหมิงก็ไม่กล้าชักช้า และไม่ปิดบังเล่าเรื่องราวให้หลิ่วหมิงฟังอย่างละเอียด
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ขอบคุณศิษย์น้องมากที่บอกให้กระจ่าง!” หลังหลิ่วหมิงฟังคำพูดนี้จบ ความคิดก็แล่นอย่างรวดเร็วจนเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ จึงประสานมือเอ่ยขึ้นในทันใด
“คนเหล่านี้อาจยังมาอีก วันหน้าศิษย์พี่อยู่ด้านนอกสถานที่แห่งนี้ต้องระวังให้มาก” ชายหนุ่มชุดฟ้าเอ่ยเตือนอีกประโยคหนึ่งอย่างรวดเร็วจากนั้นจึงยกเท้าก้าวขึ้นชั้นบนไป
หลังหลิ่วหมิงกลับมาถึงห้องลับของตนก็เปิดชั้นจำกัดออก เขานั่งขัดสมาธิบนแท่นนอน ครุ่นคิดสองคิ้วขมวดเข้าหากันล็กน้อย
ทว่าชั่วครู่ให้หลัง ในดวงตาของเขาพลันมีประกายเข้าใจจางๆ สายหนึ่งแล่นผ่าน นึกขึ้นได้ว่าตอนนั้นที่ตนเองอยู่ใกล้กับตลาดฉางหยางเคยสังหารปีศาจหยินหยางตนหนึ่งเข้า
ตอนนั้นวิชาที่ปีศาจตนนั้นใช้ก็คือวิชามารอันร้ายกาจ บุรุษระดับผลึกข้างกายเขาก็เรียกเขาว่านายน้อย เคล็ดวิชาเกราะอสูรที่หลิ่วหมิงฝึกก็มาจากคัมภีร์มารครึ่งเล่มนั้นที่มาจากในคลังอาวุธของเขา
ต่อมาหลังผู้ดำเนินการแห่งหอความเป็นความตายรับศีรษะไปจากเขาก็เคยลอบเตือนเขาไว้ พูดทำนองว่าต้องระวังนิกายปีศาจลี้ลับให้มาก
ดูท่าปีศาจหยินหยางตนนี้จะมีความเป็นมาใหญ่โตจริงๆ หาใช่ศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับฐานะธรรมดาคนหนึ่ง เป็นไปได้อย่างที่สุดว่าจะเป็นลูกหลานของคนใหญ่คนโตสักคนในนิกายปีศาจลี้ลับ
แต่ในเมื่อผูกแค้นใหญ่หลวงเช่นนี้ขึ้นมาแล้ว เขาก็ไม่อาจไปคิดอะไรมากได้ วันหน้าอยู่ในแดนลึกลับของงานประตูสวรรค์ก็ได้แต่ระวังคนของนิกายปีศาจลี้ลับเพิ่มไว้สักหน่อยเท่านั้น
หลังหลิ่วหมิงครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้แล้วจึงโยนเรื่องนี้ทิ้งไปจากสมองชั่วคราว เขาหยิบวิญญาณปีศาจอสูรระดับแก่นแท้สามขวดนั้นออกมาจากในแหวนย่อส่วน จากนั้นวางไว้ด้านข้าง
จะว่าไปแล้วช่วงสุดท้ายที่เขาฝึกอยู่ที่แดนรกร้างทางใต้ก็ได้วิญญาณปีศาจอสูรมาให้เชอฮ่วนไม่น้อย วันนี้นอกจากเชอฮ่วนจะช่วยตนปกปิดกลิ่นอายได้เป็นเวลานานแล้วยังมีประโยชน์ยอดเยี่ยมอย่างอื่นอีกจำนวนหนึ่งด้วย
“ไม่รู้ว่าวิญญาณสามขวดนี้ที่แลกมาวันนี้จะได้ผลอย่างไร” หลังเขาเอ่ยพึมพำกับตนเองประโยคหนึ่งก็ตบตรงภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนที่หัวไหล่ จากนั้นกรอกพลังเวทเข้าไปช้าๆ
ฉับพลันความอบอุ่นสายหนึ่งก็ไหลมาบนหัวไหล่ ด้วยการชักนำของเขาพลังเวทไหลไปตามภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนทั้งหมดห้ารอบ เสียง “ฟู่” แผ่วเบาทีหนึ่งดังขึ้นตามมาติดๆ หลังจากนั้นภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนก็กะพริบนิดๆ สองสามครั้งแล้วลอยออกจากร่างกลายเป็นเงาวัวสีน้ำเงินดุจดั่งมีชีวิตตัวหนึ่ง มันหมุนตัวทีหนึ่งแล้วเบิกสองตาโตมองหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเห็นสภาพนี้ก็ไม่พูดพร่ำอีก เขาฉีกยันต์สีทองบนขวดใบน้อยใบหนึ่งข้างตัวออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นโยนขึ้นไปบนอากาศเบาๆ แล้วดีดนิ้ว
ขวดใบน้อยฉับพลันระเบิดออกกลางอากาศ ม้าน้ำขนาดย่อส่วนสีฟ้าตัวหนึ่งคล้ายจะเห็นโอกาสรอด ร่างกายบิดดิ้นนิดหนึ่งก็พุ่งออกมาจากด้านใน พุ่งเร็วรี่ไปทางหน้าต่างห้อง
เชอฮ่วนเห็นดังนั้น ดวงตาทั้งคู่พลันเปล่งประกายวูบหนึ่ง มันโถมเข้าไปประหนึ่งค้นพบเหยื่อ พร้อมกันนั้นก็อ้าปากของมันออกกว้าง กระแสลมหมุนสายหนึ่งฉับพลันก่อตัวขึ้นภายในห้อง
“โฮก!”
ได้ยินเพียงเสียงคำรามทีหนึ่ง วิญญาณของอสูรสมุทรสีฟ้าดวงนี้ก็ถูกกระแสลมหอบเข้าไป กลายเป็นอาหารในท้องของเชอฮ่วน
เวลานี้หลิ่วหมิงกำลังจ้องร่างกายของเชอฮ่วนเขม็ง เขาเห็นเพียงกระแสปราณสีฟ้าจางๆ สายหนึ่งแหวกว่ายเร็วรี่ไม่หยุดนิ่งอยู่ในเงาของมัน อยากหนีออกมาจากปากของมันเป็นระยะ แต่เชอฮ่วนสะบัดกรงเล็บสี่ข้างไม่หยุด ท่าทางเหมือนจะปราบมันไม่ให้หนีไป
หลังสถานการณ์เช่นนี้ดำเนินไปเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปเต็มๆ กระแสปราณสีฟ้าสายนั้นถึงค่อยๆ เบาบางลงและแผ่วเบาขึ้นทุกที ในท้ายที่สุดก็ถูกเชอฮ่วนดูดกลืนไป
ส่วนเงาเชอฮ่วนเวลานี้เทียบกับก่อนหน้านี้เห็นได้ชัดเจนขึ้นอีกหลายส่วน
ต่อมาเขาก็ทยอยปล่อยวิญญาณปีศาจอสูรสองขวดที่เหลือออกมาใช้สังเวยแก่ภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนอีกเช่นเดียวกัน
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้นหลิ่วหมิงไม่ออกจากหอของนิกายยอดบริสุทธิ์เลยสักก้าว เขาเพียงจดจ่อซุ่มฝึกฝนอยู่ในห้องของตนเอง รอคอยการมาถึงของงานประตูสวรรค์อย่างเงียบๆ
ช่วงเวลาต่อมาเรื่องทำนองเดียวกับที่หลัวเทียนเฉิงถูกดักโจมตีเกิดก็ขึ้นไม่หยุดหย่อน กลุ่มอำนาจแต่ละกลุ่มล้วนส่งศิษย์ในนิกายออกมาสอดแนมพลังของศิษย์ที่เข้าร่วมงานของกลุ่มอำนาจฝั่งศัตรูบ่อยครั้ง เรื่องอย่างการต่อสู้ประลองเกิดขึ้นบ่อยๆ
แน่นอนท่ามกลางเหตุการณ์เหล่านี้ย่อมไม่ขาดเรื่องเช่นการลอบโจมตีอย่างโหดเหี้ยมในที่ลับหรือลงมือเหี้ยมเกรียมสังหารคนปล้นสมบัติ
ทว่าสิ่งที่กลุ่มอำนาจใหญ่แต่ละแห่งคล้ายจะนัดกันมาเรียบร้อยก่อนหน้าก็คือการต่อสู้ลอบโจมตีเช่นนี้เกิดขึ้นตรงนอกที่พักของกลุ่มอำนาจแต่ละแห่งเท่านั้น นอกจากนี้จำกัดอยู่แค่ระหว่างศิษย์ ผู้ที่ระดับสูงกว่าระดับแก่นแท้ของนิกายและกลุ่มอำนาจใหญ่แต่ละแห่งล้วนเข้าร่วมไม่ได้เป็นอันขาด
ในช่วงเวลานี้นิกายใหญ่เช่นสี่ยอดนิกายใหญ่กับแปดตระกูลใหญ่ล้วนปรามศิษย์ที่เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ของกลุ่มอำนาจตนให้ออกไปข้างนอกน้อยที่สุด ศิษย์ที่เก่งกาจจำนวนหนึ่งยิ่งถูกจับตาและเอ่ยเตือน พยายามซ่อนคมให้ได้มากที่สุด
หลัวเทียนเฉิงกับหลิ่วหมิงก็ถูกเทียนเกอเจินเหรินมาเตือนถึงห้องเป็นพิเศษ
หนึ่งเดือนให้หลัง ศิษย์ของกลุ่มอำนาจและนิกายทั้งหมดก็ออกจากที่พัก พวกเขามารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียงที่ตีนเขาหิมะ งานประตูสวรรค์ในที่สุดก็จะเปิดม่านแล้ว