คนของนิกายใหญ่แต่ละแห่งย่อมค้นพบเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ทุกคนพากันหันศีรษะไปมอง เหล่าประมุขของนิกายเช่นเทียนเกอเจินเหรินในดวงตาฉับพลันเผยแววตาประหลาดใจจางๆ
อย่างไรเสียนิกายและสำนักที่ตอบรับคำเชิญมางานประตูสวรรค์ในครั้งนี้ก็น่าจะมากันหมดแล้ว เวลานี้จะมีใครปรากฏตัวอีก?
ประกายแสงมาอย่างเร็วรี่ ตอนที่ศิษย์ทั้งหลายอย่างหลิ่วหมิงเพิ่งหันศีรษะไป เบื้องหน้าก็มีเงาคนวูบไหว กลางท้องฟ้าปรากฏเงาร่างของคนสามคนเพิ่มขึ้นมา
พร้อมกันนั้นแรงกดดันท่วมฟ้าที่ทำให้คนหายใจไม่ออกสายหนึ่งฉับพลันก็ซัดออกมาจากร่างตรงกลาง เมื่อศิษย์ทั้งหลายที่นั่นสัมผัสถูกก็ทยอยกันหน้าซีด ดวงจิตในสมองสั่นสะท้านไม่หยุด พวกที่พลังค่อนข้างต่ำหลายคนหน้าซีดหมดสติไปทันที
แม้พลังจิตของหลิ่วหมิงจะเหนือกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันอยู่มาก แต่เมื่อเผชิญกับแรงกดดันสายนี้เขาก็ยังรู้สึกมึนงงวูบหนึ่งจึงรีบร้อนกระตุ้นหนอนพลังจิตทันที สภาพถึงได้ไม่อเนจอนาถเหมือกับคนอื่นๆ ด้านข้าง
หลัวเทียนเฉิงซึ่งอยู่ใกล้ๆ สีหน้าก็ซีดไปเล็กน้อยเช่นกัน เขายังยืนตัวตรงอยู่ที่เดิม
คนระดับสูงของนิกายต่างๆ ก็พากันเปลี่ยนสีหน้าไปอย่างมากด้วย ความแข็งแกร่งของแรงกดดันน่าหวาดกลัวสายนี้เหมือนจะเหนือกว่าพวกเขา
ครุ่นคิดครู่หนึ่งเทียนเกอเจินเหรินพลันสะบัดแขนเสื้อ ปรากฏเกราะแสงสีน้ำเงินเรืองรองอันหนึ่งปกป้องศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ทั้งหมดไว้ด้านใน ผู้แข็งแกร่งของนิกายและตระกูลที่เหลือก็พากันลงมือเช่นกัน บ้างเรียกอาวุธจิตวิญญาณ บ้างขยี้ยันต์ ใช้ทุกวิธีปกป้องหรือบรรเทาแรงกดดันที่ศิษย์ในนิกายได้รับ
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงรู้สึกสบายศีรษะขึ้น ฟื้นกลับมาเป็นปกติใหม่อีกหน เขาลอบพรูลมหายใจทีหนึ่ง ดวงตาจับจ้องไปยังสามคนที่มา
คนที่อยู่ด้านหน้ารูปร่างกำยำสูงใหญ่ รอบตัวคล้ายมีดวงดาวส่องแสงวิบวับประหนึ่งเจ็ดดาวเหนือเคลื่อนวนไม่หยุด แสงดาวเจิดจ้าแถบแล้วแถบเล่าล้อมคนผู้นี้ไว้ตรงกลางทำให้เห็นใบหน้าไม่ชัด
“ผู้ฝึกฝนระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์!” ไม่รู้ผู้ใดตกใจสูดลมหายใจเฮือกหลุดปากเอ่ยขึ้นมา
หลิ่วหมิงมองเงาร่างสูงใหญ่ ในใจตะลึงเช่นเดียวกัน หากดูจากเพียงกลิ่นอาย คนผู้นี้คล้ายจะลึกล้ำยากหยั่งถึงมากกว่าขุยตี้แห่งหนานฮวงอยู่หลายส่วน
แต่นี่ก็ไม่แปลก อย่างไรเสียชิงหลิงขุยตี้แห่งหนานฮวงในวันนี้ก็เป็นเพียงเศษวิญญาณเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น พลังสู้เขาในยุครุ่งเรืองไม่ได้อยู่มาก
ด้านข้างของเงาร่างกำยำที่ถูกแสงดาวล้อม มีผู้ฝึกฝนอายุน้อยสองคนหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรียืนอยู่
บุรุษหนุ่มรูปร่างสูงอย่างที่สุด เส้นผมหยิกสีม่วงทั้งศีรษะปล่อยสยายอยู่ด้านหลัง จมูกราชสีห์ปากกว้าง สองตาเย็นเยียบประหนึ่งหิมะ
ส่วนผู้ฝึกฝนหญิงมีเส้นผมสีเงินยาวสลวย ดวงหน้าอ่อนโยนประหนึ่งหยก ผิวผ่องดั่งหิมะ ดวงตาทั้งคู่สีเขียวดุจหยก แววตาละมุนเสมือนจะดูดวิญญาณผู้คนเข้าไปได้ เกิดมาหน้าตางามล้ำเลิศล่มแคว้น มุมปากประดับรอยยิ้มจางๆ
สายตาของหลิ่วหมิงที่กวาดมองคนทั้งคู่พลันเปล่งประกายขึ้นมาเล็กน้อย
สองคนนี้ก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกเช่นกัน พลังล้ำลึกอย่างที่สุด แต่สิ่งที่เขาสนใจคือเครื่องแต่งกายบนร่างคนทั้งสอง
ชุดยาวบนร่างทั้งสองคนมีสัญลักษณ์รูปดาวเหนือ ให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยมากบางอย่างกับเขา
“หอเป๋ยโต่ว!” หลังหลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่สักพัก ในที่สุดก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้ ในใจอึ้งงัน…
“ที่แท้ท่านผู้สูงศักดิ์จากหอเป๋ยโต่วให้เกียรติมาเยือนวังของพวกเราช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก!” ขณะที่ผู้คนในบริเวณนั้นต่างพากันเผยสีหน้าประหลาดใจ เสียงของบุรุษชุดทองที่อยู่ไม่ไกลกลับดังขึ้นอีกครั้ง
“คนของหอเป๋ยโต่วจริงๆ…” สายตาของหลิ่วหมิงขยับทีหนึ่ง อดไม่ได้หันศีรษะมองไปยังเทียนเกอเจินเหริน
กลับเห็นเพียงเทียนเกอเจินเหรินขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายรู้สึกคาดไม่ถึงอย่างยิ่งกับการมาเยือนของผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ผู้นี้ของหอเป๋ยโต่วเช่นกัน
คนอื่นได้ยินดังนั้นต่างก็วุ่นวายขึ้นมาพักหนึ่ง
“เหอะ ผู้คุ้มกันตัวเล็กๆ สองคนของวังสวรรค์ไม่คู่ควรเสวนากับข้า เรียกผู้อาวุโสที่บังคับบัญชาพวกเจ้าออกมาคุย!” ร่างตรงกลางที่แสงดาวล้อมรอยเอ่ยอย่างไม่เกรงใจสักนิด
บุรุษชุดสีทองได้ยินพลันสะอึก ในใจโกรธจัด แต่สตรีชุดสีทองด้านข้างกลับดึงแขนเสื้อเขาเบาๆ ในทันใด
เวลานี้เองแสงสีขาวแสบตาอย่างที่สุดสายหนึ่งก็ม้วนออกมาจากด้านบนของเกาะยักษ์ กลายเป็นวังวนสีเทามหึมาลูกหนึ่งกลางอากาศ
ครู่ต่อมาผู้เฒ่าชุดขาว ผมขาวทั้งศีรษะ หน้าตาหมองเศร้าผู้หนึ่งก็ก้าวออกมาจากกลางวังวนอย่างเชื่องช้า
“ผู้เฒ่าเทียนเหอ คิดไม่ถึงว่าผู้ที่ประจำการอยู่ที่แดนลึกลับครั้งนี้จะเป็นท่าน” เมื่อเงาร่างกำยำเห็นใบหน้าของผู้เฒ่าชุดขาวชัดเจน ทันใดนั้นก็อุทานว่า “อ้อ” เบาๆ คำหนึ่งอย่างรวดเร็ว คล้ายกับคิดไม่ถึงอยู่บ้างเช่นกัน
ผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ปรากฏตัวขึ้นอีกคนหนึ่ง ไม่ได้มีเพียงลูกศิษย์อย่างหลิ่วหมิงที่อ้าปากค้าง พวกเทียนเกอเจินเหรินเองก็ตกตะลึงอย่างมากด้วย
“ประมุขหอเป๋ยโต่ว ท่านมาที่นี่ด้วยเหตุอันใด?” ผู้เฒ่าชุดขาวเห็นชัดว่ารู้จักผู้มาเยือน คิ้วขาวขมวดแน่นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เงาร่างกำยำนี้ที่แท้ก็คือประมุขหอเป๋ยโต่วผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ หนึ่งในผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ที่ลึกลับที่สุดบนแผ่นดินจงเทียน
คราวนี้ไม่ต้องพูดถึงศิษย์ทั่วไปเช่นหลิ่วหมิงแล้ว กระทั่งพวกคนระดับสูงของแต่ละนิกายที่นำกลุ่มมาอย่างเทียนเกอเจินเหริน แต่ละคนล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงออกมาด้วย
“ทำไม ข้ามาที่นี่ไม่ได้หรือ?” พร้อมกับเสียงของประมุขหอเป๋ยโต่ว แสงดาวบนร่างของประมุขหอเป๋ยโต่วก็ค่อยๆ กระจายออก เผยบุรุษวัยกลางคนหน้าตางามไม่ธรรมดาทว่าบนร่างสวมเสื้อสีเหลืองที่ดูธรรมดาผู้หนึ่งด้านใน
“วันนี้เป็นวันเปิดงานประตูสวรรค์ สหายแต่ละนิกายมารวมพร้อมกันที่นี่ หากประมุขหอไม่มีธุระสำคัญก็ขอให้กลับไป วันหน้าข้าจะเดินทางไปคารวะที่หอเป๋ยโต่ว” ผู้เฒ่าเทียนเหอสีหน้าเคร่งขรึม ประสานมือเอ่ยขึ้น
งานประตูสวรรค์อันลึกลับที่จัดขึ้นทุกแปดร้อยปี งานนี้ของวังสวรรค์ย่อมมีความหมายลึกล้ำซ่อนอยู่ข้างใน แล้วยังเกี่ยวข้องไปถึงความลับใหญ่หลวงอย่างที่สุดเรื่องหนึ่ง ย่อมให้ถูกก่อกวนระหว่างทางไม่ได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ส่งผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ผู้หนึ่งมาคุมเช่นนี้
“ข้าก็มาเพื่องานใหญ่ครั้งนี้ ลูกศิษย์สองคนนี้ของข้าพลังล้วนอยู่ในระดับผลึก งานครั้งนี้ให้พวกเขาเข้าร่วมด้วยเถอะ” ประมุขหอเป๋ยโต่วหัวเราะฮ่าฮ่า ทันใดนั้นสองมือก็ผายออก ชี้สองคนที่ยืนอยู่ข้างกายแล้วเอ่ยขึ้น
“อะไรนะ ให้ศิษย์ของท่านเข้าแดนลึกลับประตูสวรรค์หรือ?” รูม่านตาของผู้เฒ่าเทียนเหอหดเล็กลง ราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้จึงย้อนถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“หรือว่า…เรื่องนั้นกำลังจะเกิดขึ้นอีกแล้ว?”
ประโยคนี้ถามขึ้นอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่บ้าง แต่ประมุขหอเป๋ยโต่วราวกับเข้าใจความหมายที่ซุกซ่อนอยูภายในนั้น เขาพยักหน้าเอ่ยว่า
“เป็นเช่นนั้น ดังนั้นข้าถึงต้องยืมแรงแดนลึกลับประตูสวรรค์ให้ศิษย์สองคนนี้ฝึกปรือฝีมือสักหน่อย ในเวลาเดียวกันก็เพิ่มพูนโชคชะตาและวาสนานิดหน่อยด้วย”
ผู้เฒ่าเทียนเหอได้ยิน สายตาก็เปล่งประกายวูบหนึ่งแล้วครุ่นคิด แต่ไม่ได้ตอบในทันที
ประมุขหอเป๋ยโต่วมองเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของผู้เฒ่าเทียนเหออยู่ตลอด จึงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบอีกว่า
“รอเรื่องนั้นเริ่มต้นขึ้น ข้าจะเป็นเจ้าภาพ ยกรายชื่อผู้เข้าร่วมครึ่งหนึ่งให้วังสวรรค์ของท่าน ถือเสียว่าเป็นค่าตอบแทนที่ให้พวกเขาสองคนเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ครั้งนี้”
“ท่านประมุขคำนี้กล่าวจริงหรือ?” ผู้เฒ่าเทียนเหอได้ยินคำนี้ สีหน้ายิ่งหวั่นไหว
“คำพูดของข้า สหายเทียนเหอไม่เชื่อหรือ?” ประมุขหอเป๋ยโต่วเลิกสองคิ้วขึ้น เอ่ยอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง
“สหายโปรดอย่าเข้าใจผิด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งานประตูสวรรค์ครั้งนี้ก็เพิ่มพวกเขาสองคนไปด้วยแล้วกัน” ผู้เฒ่าเทียนเหอครุ่นคิดพักใหญ่ ในที่สุดถึงพยักหน้าอย่างจำยอม
บทสนทนาของผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์สองคนไม่ได้จงใจหลบเลี่ยงผู้คนที่อยู่ตรงนั้น ศิษย์ธรรมดาต่ำกว่าระดับแก่นแท้ที่นี่ส่วนใหญ่ล้วนจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่บ้าง พวกเขาจึงพากันเผยสีหน้างุนงง
แต่ผู้นำของสี่ยอดนิกายใหญ่ แปดตระกูลใหญ่และนิกายใหญ่ระดับสุดยอดอย่างหุบเขาปีศาจสวรรค์เช่นพวกเทียนเกอเจินเหรินกลับสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากตั้งนานแล้ว สีหน้ากลายเป็นย่ำแย่อย่างที่สุด
เห็นสถานการณ์นี้ คนสมองช้าอีกเท่าใดก็รู้แล้วว่าคำพูดที่ผู้เฒ่าเทียนเหอกับประมุขหอเป๋ยโต่วคุยกันจะต้องเกี่ยวพันถึงเรื่องสำคัญอย่างที่สุดเรื่องหนึ่งแน่นอน
ชั่วขณะหนึ่งทั่วทั้งบริเวณเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ชวนประหลาด
“เสวียนอู่ เสวียนอิง เรื่องต่อจากนี้ยกให้พวกเจ้าทั้งสองคนจัดการ” หลังผู้เฒ่าเทียนเหอหมุนตัวเอ่ยประโยคหนึ่งกับตัวแทนของวังสวรรค์ทั้งสองแล้ว ไม่รอให้ทั้งสองคนตอบกลับ ร่างกายพร่าเลือนดั่งคลื่นน้ำ พริบตาเร้นกายหายไป
หลังประมุขหอเป๋ยโต่วกำชับกับศิษย์สองคนข้างกายประโยคหนึ่งแล้ว แสงดาวเจิดจ้านอกร่างก็พลันส่องสว่าง เขาแปลงกลายเป็นแสงดาวสายหนึ่งอีกหน หมุนกายขยับตัวทีหนึ่งก็หายวับไปทันที
ผู้คนด้านล่างมีสีหน้าต่างๆ กันไป ขณะที่ผู้คนมากมายยังคงย่อยข้อมูลที่ได้รับมาอย่างไม่คาดคิดเมื่อครู่อยู่นั้น บนมือของบุรุษหน้ากากสำริดผู้สวมชุดสีทอง พลันเกิดแสงสว่าง จากนั้นม้วนคัมภัร์สีทองขนาดมหึมาสูงครึ่งตัวคนเล่มหนึ่งปรากฏออกมา เขาเอ่ยเสียงเรียบว่า
“เอาล่ะ ต่อไปก่อนที่ศิษย์นิกายต่างๆ จะเข้าสู่แดนลึกลับต้องลงนามของตนด้วยมือตนเองและหยดเลือดหยดหนึ่งลงบนบันทึกวังสวรรค์เล่มนี้ก่อน หลังจากนั้นจึงจะเข้าประตูสวรรค์ตามลำดับได้ ลำดับที่จะเข้าไปอิงตามคะแนนที่นิกายต่างๆ ได้รับตอนงานประตูสวรรค์ครั้งก่อน”
เสียงยังไม่ทันสิ้น เขาท่องมนตร์แผ่วเบาจนไม่อาจได้ยินหลายประโยคออกมาอย่างรวดเร็ว เสียงฟึบดังขึ้นทีหนึ่ง ม้วนคัมภีร์สีทองก็โต้สายลมกางออกไปทางสตรีชุดทองข้างกาย
ร่างงดงามของสตรีชุดทองขยับไหวทีหนึ่ง ยื่นมือรับอีกด้านหนึ่งของม้วนคัมภีร์ไว้ในทันที ทั้งยังจับไว้แน่น
หลังคัมภีร์สีทองมหึมาม้วนนี้กางออกยาวถึงหลายจั้ง อักขระเล็กจิ๋วมากมายถี่ยิบจำนวนหนึ่งที่สลักอยู่บนขอบสีทองสี่ด้านไหลเคลื่อนไม่หยุดประหนึ่งสิ่งที่มีชีวิต ทว่าตรงกลางกลับเป็นสีขาวว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด มีเพียงด้านขวาสุดที่ใช้สีแดงวาดวงกลมวงหนึ่งไว้ ตรงกลางเขียนคำสามคำว่า “เจ็ดสิบเก้า”
สายตาของหลิ่วหมิงจับจ้องตัวเลขนั้น ความคิดหนึ่งแล่นผ่าน หรือนี่จะหมายความว่าครั้งนี้เป็นงานประตูสวรรค์ครั้งที่เจ็ดสิบเก้า?
ในกลุ่มคนด้านล่างมีศิษย์สองแถวเหาะออกไปอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงเพ่งสายตา จากเครื่องแต่งกายของศิษย์เหล่านี้มองออกว่าพวกเขาน่าจะเป็นศิษย์ของนิกายเทียนกงกับนิกายปีศาจลี้ลับจากสี่ยอดนิกายใหญ่
จะว่าไปแล้วงานประตูสวรรค์ทุกครั้งสี่ลำดับแรกล้วนเป็นสี่ยอดนิกายใหญ่ได้ไปครอง ครั้งก่อนนิกายยอดบริสุทธิ์ได้เพียงลำดับที่สาม อยู่ก่อนสำนักเฮ่าหรานเท่านั้น นิกายเทียนกงกับนิกายปีศาจลี้ลับนี่เห็นชัดว่าอยู่ลำดับที่หนึ่งกับที่สอง
เป็นอย่างที่คิดศิษย์นิกายเทียนกงนำอยู่หน้าสุดเขียนชื่อแซ่ของตนเองและหยดเลือดหยดหนึ่งลงบนม้วนคัมภีร์สีทองทีละคน จากนั้นก็พากันเหาะหายเข้าไปในประตูใหญ่ด้านหลังร่างของตัวแทนวังสวรรค์ทั้งสอง
“พวกเจ้าก็ไปเถอะ” เมื่อรอศิษย์สิบคนของนิกายปีศาจลี้ลับลงนามได้พอประมาณแล้ว เทียนเกอเจินเหรินก็สะบัดมือให้พวกหลิ่วหมิงสิบคน เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่บ้าง
หลิ่วหมิงและศิษย์คนอื่นของนิกายยอดบริสุทธิ์สิบคนขานรับพร้อมกันทีหนึ่งจากนั้นก็ทะยานร่างเหาะมาถึงเบื้องหน้าตัวแทนของวังสวรรค์ เขียนชื่อแซ่และหยดเลือดหยดหนึ่งไว้หน้าชื่อแซ่บนม้วนคัมภีร์สีทองตามลำดับ
พริบตาที่หลิ่วหมิงเขียนชื่อแซ่ของตนลงไปแล้วเค้นเลือดหยดหนึ่งหยดลงบนม้วนคัมภีร์ เขาก็สัมผัสได้อย่างรวดเร็วว่ามีพลังงานประหลาดสายหนึ่งรัดพันบนร่างของเขา แต่เมื่อใช้จิตพิจารณาโดยละเอียดกลับไร้ร่องรอย หาไม่พบอย่างสิ้นเชิงว่ามันอยู่ที่ใดในร่าง
แต่เมื่อเทียบกับพลังของคำสาปมืดแล้ว พลังงานสายนี้กลับให้ความรู้สึกอ่อนโยน
หลังหลิ่วหมิงตรวจสอบพักหนึ่งจึงวางใจลงเล็กน้อย มือหนึ่งใช้เคล็ดวิชา เหยียบเมฆสีดำก้อนหนึ่งตามหลังศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ผู้หนึ่งด้านหน้าไปติดๆ เหาะเข้าไปในประตูใหญ่ของแดนลึกลับประตูสวรรค์