หลังพวกหลิ่วหมิงเข้าไปในแดนลึกลับแล้ว ศิษย์สิบคนของสำนักเฮ่าหรานก็ทยอยเหาะออกมาจากกลุ่มคน ตรงไปยังม้วนคัมภีร์สีทองมหึมาบ้าง
ในเวลาเดียวกันนี้เทียนเกอเจินเหรินกลับหยิบยันต์ถ่ายทอดเสียงแผ่นหนึ่งออกมาเงียบๆ หลังเอ่ยเบาๆ หลายประโยคก็ขยี้จนแหลก ปรากฏเปลวเพลิงกะพริบสายหนึ่งจากนั้นก็หายวับไปกลางอากาศไม่เหลือร่องรอย
คนระดับสูงของนิกายอื่นเช่นสำนักเฮ่าหราน บ้างก็หยิบแผ่นค่ายกลส่งสารออกมา บ้างก็ขยี้ยันต์ถ่ายทอดเสียง พากันส่งข่าวบางอย่างออกไป
คนอื่นๆ ที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์อยู่บ้างก็เริ่มลอบส่งกระแสจิตคุยกัน
ชั่วขณะหนึ่งทั้งยอดเขาหิมะเงียบกริบ จิตสายแล้วสายเล่าเคลื่อนไปมาโยงใยถึงกัน
หลังเป็นเช่นนี้อยู่ราวหนึ่งเค่อ ศิษย์ของนิกายและตระกูลที่เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ทั้งหมดก็เข้าไปในแดนลึกลับประตูสวรรค์จนหมด
บนม้วนคัมภีร์สีทองในเวลานี้เขียนชื่อคนมากมายจนเต็ม มีมากนับพันคน
สายตาของบุรุษชุดสีทองกวาดผ่านร่างผู้คนในที่นั้น หลังแน่ใจว่าไม่มีนิกายไหนก้าวขึ้นมาข้างหน้าอีกแล้วจึงเอี้ยวศีรษะไปพยักหน้าให้สตรีด้านข้าง
พร้อมกับที่สตรีชุดทองปล่อยมือ ม้วนคัมภีร์สีทองก็ม้วนเก็บไปเองเฉกเช่นเดียวกับยามกางออก
หลังจากนั้นมือของบุรุษชุดทองก็ปรากฏม้วนคัมภีร์สีทอง ขณะที่ใช้เคล็ดวิชาด้วยมือเดียว ปากเอ่ยมนตร์งึมงำแผ่วเบาสองสามประโยคแล้ว ก็โยนม้วนคัมภีร์สีทองขึ้นกลางฟ้า เขาดีดนิ้วเล็กน้อย เคล็ดวิชาสีทองระยิบระยับสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมา
“เปรี้ยง” เสียงเปรี้ยงดังสนั่นประหนึ่งอัสนีบาตดังขึ้น!
ม้วนคัมภีร์สีทองฉับพลันเปล่งรัศมีสีทองแสบตา ดวงตะวันเจิดจ้าสีทองเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งจั้งกว่าดวงหนึ่งปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ด้านในดวงตะวันเจิดจ้าคล้ายมีอักขระวงแล้ววงเล่ามากมายถี่ยิบไหลวนอยู่ไม่หยุด
ครู่ต่อมาแสงรัศมีสีขาวดำสายหนึ่งพลันพุ่งจากด้านในขึ้นสู่ท้องฟ้า ป้ายศิลายักษ์ค้ำฟ้าสูงร้อยจั้งกว่าแผ่นหนึ่งค่อยๆ ลอยออกมาจากในดวงตะวันเจิดจ้า
หลังป้ายศิลายักษ์ลอยออกมาทั้งหมดแล้ว ดวงตะวันเจิดจ้าสีทองฉับพลันระเบิดออกกลายเป็นแสงสีทองจุดแล้วจุดเล่ากระจายหายไปกลางอากาศ
ป้ายศิลายักษ์ร่วงดิ่งลงมา ส่งเสียง “ปึง” ดังขึ้นทีหนึ่งแล้วตั้งตระหง่านอยู่ด้านข้างประตูใหญ่สีทองที่กำลังปิดลงอย่างช้าๆ
กวาดมองป้ายศิลานี้ผ่านๆ ครึ่งหนึ่งดำสนิทดั่งหมึก ครึ่งหนึ่งขาวสะอาดดั่งหิมะ เห็นชัดว่าคล้ายคลึงกับศิลาหุนเทียนชิ้นนั้นในทะเลจิตรับรู้ของหลิ่วหมิงอยู่บ้าง เพียงแค่บนศิลาไม่มีภาพกรวย แต่มีชื่อคนแถวแล้วแถวเล่าลอยออกมา ใต้ชื่อคนแต่ละคนมีภาพโซ่เส้นเล็กสีเงินเลือนรางไม่ชัดเส้นหนึ่งแบบเดียวกันลอยออกมา
“โอ้…” ศิษย์มากมายตรงตีนเขาหิมะซึ่งไม่มีสิทธิ์เข้าแดนลึกลับเห็นสิ่งนี้ก็อดไม่ได้อุทานตกตะลึงออกมาเป็นระลอกๆ
พวกเทียนเกอเจินเหรินกลับสีหน้าไม่เปลี่ยน งานประตูสวรรค์ทุกครั้งป้ายศิลาแผ่นนี้ล้วนปรากฏขึ้นมา โซ่เส้นเล็กสีเงินเหล่านั้นเป็นตัวแทนแต้มโชคชะตาบนตัวศิษย์ที่เข้าไปในแดนลึกลับ
พร้อมกับที่เวลาเคลื่อนคล้อย ความสว่างของโซ่เล็กสีเงินบนป้ายศิลาก็เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ขณะที่พวกหลิ่นหมิงต่างช่วงชิงภายในแดนลึกลับประตูสวรรค์อยู่นั้น ในสถานที่เร้นกายของผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์จำนวนหนึ่งตามที่ต่างๆ บนแผ่นดินจงเทียนพาแตกตื่น เมื่อได้รับข่าวที่พวกเทียนเกอเจินเหรินส่งมา
เหนือยอดเขาขนาดมหึมาสักแห่งของเทือกเขาหมื่นวิญญาณ กลางท้องนภาสูงหมื่นกว่าจั้ง ตำหนักโบราณโอ่อ่าหลังหนึ่งลอยอยู่ ตลอดทั้งปีถูกเมฆาขาวที่ซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่ารอบด้านบดบังไว้ด้านใน
ในศาลาเงียบสงัดที่เปิดโล่งสี่ด้านบนยอดตำหนัก ผู้เฒ่าสองคนกำลังนั่งขัดสมาธิดวลหมากกันอยู่ สองคนนี้คนหนึ่งสวมชุดขาวดุจหิมะ ผมขาวหน้าแดงระเรื่อ อีกคนหนึ่งสวมชุดผ้าฝ้ายสีดำ ผมดำกระปรี้กระเปร่า บนร่างทั้งสองคนไม่มีคลื่นพลังเวทแผ่ออกมาสักนิด สีหน้านิ่งสงบยกมือวางหมาก ประหนึ่งเป็นผู้เฒ่าธรรมดาสองคน
ทันใดนั้นแสงของเปลวเพลิงก็สว่างขึ้นกลางอากาศ ยันต์สีแดงฉานสายหนึ่งแหวกฟ้าเหาะมาทำลายความเงียบสงบของศาลา ผู้เฒ่าชุดขาวยกมือข้างหนึ่งขึ้นเล็กน้อยรับยันต์ไว้ในมือ
“ยันต์อัคคีฟ้าดิน เทียนเกอถึงกับใช้วิธีส่งข่าวด่วนเช่นนี้ ดูท่าคงมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้ว” ผู้เฒ่าชุดขาวงอนิ้วดีดทีหนึ่ง ยันต์อัคคีพลันระเบิดออก
ผู้เฒ่าชุดขาวสองตาหรี่ลงเล็กน้อย จากนั้นเดินหมากตาต่อไปต่อประหนึ่งไม่มีเรื่องราวอันใด
“เรื่องใด?” ผู้เฒ่าชุดดำเอ่ยถามนิ่งๆ
“อ้อ ไม่มีอันใด เรื่องนั้นกำลังจะเริ่มอีกแล้ว” ผู้เฒ่าชุดขาวตอบอย่างนิ่งสงบ
“แบบนี้นี่เอง คำนวณเวลาดูก็ใกล้แล้ว แต่นิกายของข้าครั้งนี้มีเลี่ยหยางอยู่ อย่างน้อยน่าจะไม่แพ้หมดรูป” ผู้เฒ่าชุดดำได้ยินเพียงพยักหน้า ตอบด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนเช่นกัน
…..
ลึกเข้าไปในทะเลเลือดไร้ขอบเขตแห่งหนึ่งบนแผ่นดินจงเทียน แท่นบูชาศิลาสีดำแท่นหนึ่งถูกยอดเขาชันก้นสมุทรห้าลูกซึ่งลักษณะเหมือนห้านิ้วล้อมอยู่ตรงกลาง
บนแท่นบูชาโซ่สีดำสนิทนับไม่ถ้วนพันธนาการร่างมนุษย์สีเลือดเส้นผมแผ่สยายคนหนึ่งอยู่ ตรึงเขาจนไม่อาจขยับตัวได้เลยสักนิด
ทันใดนั้นบนร่างมนุษย์สีเลือดเกิดเสียงเปรี๊ยะดังขึ้นทีหนึ่ง เปลวเพลิงสีโลหิตใหญ่เท่ากระบวยดวงหนึ่งลอยออกมา อักขระแถวแล้วแถวเล่าปรากฏออกมาติดๆ
เงาคนที่สยายผมเงยศีรษะขึ้นมา ดวงตาที่เป็นโพรงสีดำขลับสองข้างจับจ้องอยู่บนเปลวไฟสีเลือด
“ฮ่าฮ่า! ในที่สุดเวลาก็มาถึงแล้ว หากเป็นเช่นนี้ ในที่สุดข้าก็ใกล้จะหลุดพ้นจากสถานที่บัดซบแห่งนี้ได้แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
เงาคนสยายผมส่งเสียงคำรามเกรี้ยวกราดออกมาพักหนึ่งจนเกิดคลื่นสั่นสะเทือนมหึมาขึ้นกลางทะเลเลือด
….
ณ เทือกเขาเปลี่ยนฟ้าซึ่งเป็นสถานที่ที่สำนักเฮ่าหรานตั้งอยู่ ยอดเขาสูงเทียมเมฆเรียงราย พันหน้าผาแย่งชิงกันโดดเด่น เมฆหมอกรายล้อมทำให้มองเห็นสภาพโดยละเอียดไม่ชัดเจน เสียงระฆังกังวานครั้งสองครั้งดังมาเป็นระยะ
เทียบกับเทือกเขาหมื่นวิญญาณที่นิกายยอดบริสุทธิ์ตั้งอยู่ ที่แห่งนี้มีบรรยากาศเคร่งขรึมมากกว่า สิ่งก่อสร้างบนยอดเขาล้วนเป็นหอที่สร้างจากไม้สีดำขาวสองสีหรือไม้ไผ่เป็นหลัก ทำให้คนที่มองเห็นเกิดความรู้สึกเคร่งขรึมน่าเคารพบางอย่าง
ระหว่างหอมีลำแสงเส้นแล้วเส้นเล่าพุ่งไปมาเป็นระยะ ทำให้สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างครึกครื้นอย่างเห็นได้ชัด ด้านในลำแสงคือคนท่าทางดั่งบัณฑิตสวมชุดบัณฑิตคนแล้วคนเล่าที่ดูเหมือนอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยกลิ่นอายตำรา
เวลานี้ ณ สถานที่ต้องห้ามของสำนักเฮ่าหรานซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขา ในหอโบราณเรียบง่ายที่ปลูกไผ่หยกม่วงทั่วทั้งกลางหุบเขา ผู้เฒ่าในชุดบัณฑิตดวงหน้าขาวประหนึ่งหยกผู้หนึ่งกำลังมองแผ่นหยกที่ส่องแสงสีขาวเรืองๆ ในมือ บนแผ่นหยกปราฏตัวอักษรขนาดเล็กแถวหนึ่งอยู่เลือนราง
“เฮ้อ…” เนิ่นนานหลังจากนั้น ผู้เฒ่าชุดบัณฑิตจึงถอนหายใจแผ่วเบา สองคิ้วขมวดแน่น สีหน้าเคร่งขรึมผิดปกติ
แทบจะในเวลาเดียวกันนิกายต่างๆ เช่นนิกายเทียนกง ตระกูลโอวหยาง หุบเขาปีศาจสวรรค์ก็แทบจะได้รับข่าวเดียวกันในเวลาเดียวกัน
ณ สถานที่สักแห่งในแดนลึกลับประตูสวรรค์
หลังหลิ่วหมิงเหยียบเข้ามาในประตูใหญ่สีทอง ฉับพลันเบื้องหน้าถูกแสงห้าสีแถบหนึ่งยึดครอง หลังรู้สึกมึนพักหนึ่ง เมื่อเห็นทิวทัศน์รอบด้านชัดอีกครั้งก็พบว่าตนยืนอยู่บนเขาลูกเล็กที่รกร้างอยู่บ้างลูกหนึ่งแล้ว ใต้เท้าคือกองหินระเกะระกะสีเทาขาวผืนหนึ่ง
“ที่นี่ก็คือแดนลึกลับประตูสวรรค์…” หลิ่วหมิงที่ยืนมั่นคงแล้วกวาดสายตามองรอบด้าน
เวลานี้เองกองหินระเกะระกะใต้เท้าเขาฉับพลันส่งเสียงดังแกรกๆ พักหนึ่ง ทันใดนั้นก็เคลื่อนไหวขึ้นมาเอง
หลิ่วหมิงตกใจรีบถอยหลังออกห่างจากอาณาเขตของกองหินระกะระกะอย่างรวดเร็ว
ในตอนนั้นเองหลังเสียงกระแทกเกรียวกราวดังขึ้นพักหนึ่ง กองหินระเกะระกะสีเทาขาวแถบหนึ่งก็รวมตัวกันไปที่จุดหนึ่งพร้อมกัน ท่ามกลางแสงสีเทาทันใดนั้นกองหินพลันพร่าเลือนวูบหนึ่งแล้วกลายเป็นมนุษย์ศิลายักษ์สูงสองสามจั้งสิบกว่าตัว
หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้มุมปากก็กระตุกเล็กน้อย
ดูท่าโชคของเขาจะไม่เท่าไรจริงๆ เพิ่งเข้าแดนลึกลับปุบก็ถูกเคลื่อนย้ายมากลางวงสัตว์ประหลาดฝูงนี้
ด้านมนุษย์ศิลาเพิ่งก่อตัวก็พากันแหงนหน้าส่งเสียงคำรามที่ไม่เข้าใจความหมายออกมา หลังจากนั้นสองขาพลันวิ่งเร็วรี่ล้อมเป็นวงโถมเข้าใส่หลิ่วหมิง ร่างกายพัดเอาสายลมกระแสแล้วกระแสเล่าหอบไปด้วย ทำให้กลางอากาศปรากฏเป็นลายคลื่นจางๆ
พลังของมนุษย์ศิลาเหล่านี้ไม่สูง แต่ละตัวล้วนมีพลังเพียงระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นต้น แต่จากประสบการณ์ของหลิ่วหมิง พลังป้องกันเห็นชัดว่าเหนือกว่าปีศาจขั้นเดียวกันอยู่ไกล สิบกว่าตัวร่วมมือกัน ผู้ฝึกฝนระดับผลึกธรรมดาพบเข้าเกรงว่าคงลนลานทำอะไรไม่ถูก
แน่นอนปีศาจที่หนังด้านเนื้อหนาเหล่านี้ อยู่ต่อหน้าหลิ่วหมิงก็เป็นเพียงแค่เรื่องขำๆ เท่านั้น เขาไม่เรียกกระบี่เหาะออกมา เพียงยกมือข้างหนึ่งขึ้น ปราณสีดำสายแล้วสายเล่าวนล้อมอยู่บนแขน จากนั้นฟันหนึ่งฝ่ามือเข้าใส่อากาศที่อยู่ห่างออกไป
ครู่ต่อมาฝ่ามือปราณดำขนาดเท่าโม่พลันปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า เสียงปังดังขึ้นทีหนึ่งโจมตีมนุษย์ศิลาตัวหนึ่งที่วิ่งมาด้านหน้าสุดจนกลายเป็นเศษหินเกลื่อนกลาด
หลิ่วหมิงเคลื่อนไหวไม่หยุด มือหนึ่งใช้เคล็ดวิชา ปราณดำพลุ่งพล่านทะลักออกมาบนร่างของเขา พร้อมกันนั้นเสียงพยัคฆ์คำรามทุ้มต่ำก็ดังขึ้นมา พยัคฆ์หมอกสีดำมหึมาหลายตัวคำรามกระโจนออกมา สี่เท้าดุจสายลมกระโจนเข้าใส่มนุษย์ศิลาที่เหลือ
พยัคฆ์ยักษ์สีดำพุ่งผ่านกลุ่มมนุษย์ศิลาโถมเข้าขย้ำ เสียงกระแทกโครมครามดังขึ้นพักหนึ่ง เวลาไม่กี่ลมหายใจ มนุษย์ศิลาสิบกว่าตัวก็กลายเป็นเศษหินระเกะระกะกองหนึ่งใหม่อีกหน
หลิ่วหมิงแบมือ แก่นบริสุทธ์สีเหลืองขนาดเท่ากำปั้นสิบกว่าลูกก็ลอยขึ้นมาจากในกองเศษหิน
ภายในแก่นบริสุทธิ์เหล่านี้บรรจุปราณธาตุดินเข้มข้นอยู่ ใช้ปรุงโอสถหลอมอาวุธล้วนเป็นวัตถุดิบที่หาได้ไม่มาก น่าจะขายได้หินจิตวิญญาณไม่น้อย
ดูท่าที่เล่าลือกันว่าในแดนลึกลับประตูสวรรค์แห่งนี้ทรัพยากรวัตถุจิตวิญญาณนานาชนิดอุดมสมบูรณ์อย่างที่สุดจะไม่ใช่คำลวงจริงๆ
พริบตานั้นที่เขาเก็บแก่นบริสุทธิ์ไป ทันใดนั้นอากาศรอบด้านพลันสั่นไหว บนข้อมือแสงสีขาวฉายขึ้นวูบหนึ่ง ฉับพลันโซ่เส้นเล็กขาวสะอาดประหนึ่งหยกเส้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นแนบชิดติดบนผิวหนังลวดลายจิตวิญญาณสีเงินจางๆ แผ่ไปทั่ว ดูแล้วงดงามวิจิตรอย่างน่าประหลาด
โซ่เล็กสีขาวนี้ปรากฏอย่างไม่มีการแจ้งเตือนสักนิดทำให้หลิ่วหมิงตกใจสะดุ้งตัวโหยง แต่ก็เข้าใจขึ้นมาในทันใด
“นี่ก็คือโซ่แห่งโชคชะตาที่พูดถึงนั่นกระมัง” หลังหลิ่วหมิงพึมพำคำสองคำก็ใช้มืออีกข้างหนึ่งแตะโซ่เส้นเล็กเบาๆ เขาพบว่ามันแนบชิดติดบนข้อมือประหนึ่งหยั่งราก ไม่อาจถอดออกได้สักนิด
ทันใดนั้นบนโซ่เส้นเล็กก็เปล่งรัศมีแสงวูบไหว หมอกสีเทาจางๆ แทบจะมองไม่เห็นสายแล้วสายเล่าลอยขึ้นมาจากเศษก้อนหินระเกะระกะที่กระจายบนพื้นดินรอบด้านเบื้องหน้า เหาะเร็วรี่โถมเข้ามาในโซ่เส้นเล็กเองประหนึ่งสิ่งมีชีวิต ชั่วพริบตาสักสายก็ไม่เหลือ
หลังหลิ่วหมิงใช้จิตกวาดทีหนึ่งแล้วก็ต้องรู้สึกแปลกใจ
หมอกสีเทาเหล่านี้แทบจะไม่สามารถใช้จิตสัมผัสได้เลยสักนิด ตรงกันข้ามใช้ตาเปล่ากลับยังมองเห็นได้อยู่บ้าง หรือว่า…นี่ก็คือพลังแห่งโชคชะตาที่วังสวรรค์ว่า?
หลังโซ่เล็กสีขาวดูดซับไอหมอกสีเทาเหล่านี้ไปแล้ว พื้นผิวก็เริ่มส่องแสงสีเทาจางๆ ชั้นหนึ่งทันที
หลิ่วหมิงสำรวจโซ่แห่งโชคชะตาเส้นนี้เล็กน้อยอีกรอบหนึ่ง หลังเห็นว่าไม่มีสิ่งอื่นผิดปกติ ก็เพียงขมวดคิ้วนิดๆ ไม่สนใจอีกต่อไป
จากนั้นเขาลอยขึ้นบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ครู่เดียวก็เหาะขึ้นมาสูงพันกว่าจั้งแล้ว หลังมองรอบด้านพักหนึ่งก็พบว่าไม่ไกลนั้นยังมีกองหินสีเทาขาวที่แผ่คลื่นประหลาดจางๆ ออกมาอีกไม่น้อย เห็นชัดว่าเป็นมนุษย์ศิลายักษ์เหล่านั้นจำแลงร่างอยู่
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย ในเมื่อมีโชคชะตาให้คว้า เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปจากที่นี่ทันที รอบกายแสงสีทองฉายวูบหนึ่ง เขาพลันกลายเป็นรุ้งสีทองเส้นหนึ่งพุ่งไปยังกองหินระเกะระกะอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปในบัดดล
หลายชั่วยามต่อจากนั้นหลิ่วหมิงสังหารมนุษย์ศิลาใกล้ๆ ทั้งหมดรวดเดียวจนเกลี้ยง ทำให้แสงสีเทาของโซ่เล็กสีขาวหยกบนข้อมือยิ่งสว่างขึ้นหลายส่วนอย่างเห็นได้ชัด
หลังเขาสำรวจอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ยืนยันว่าเขาลูกเล็กใกล้ๆ ไม่มีสิ่งอื่นให้ค้นพบแล้วถึงเหาะจากไป
ในเวลาเดียวกันนั้น ณ มุมต่างๆ ของแดนลึกลับ การเดินทางค้นหาสมบัติของศิษย์นิกายต่างๆ ก็เปิดม่านขึ้นแล้วเช่นกัน