ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 781 เผิงเยวี่ยกับเซียนหงส์ดำ

ชั่วพริบตาหลิ่วหมิงกรอกพลังเวทเข้าไปในดวงตาทั้งสองข้าง เขาแหงนศีรษะเพ่งสายตามองไป ตอนนี้ถึงเห็นชัดว่าแสงสีเงินสายนั้นเกิดมาจากกระสวยสีเงินยาวสองสามจั้งอันหนึ่ง

เงาคนสีเหลืองที่สวมเสื้อผ้าเรียบง่ายประหนึ่งชาวนาผู้หนึ่งกำลังยืนตระหง่านอยู่บนกระสวยสีเงิน

หลังหลิ่วหมิงเห็นหน้าตาของคนคนนั้นชัด สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนไปทันที อีกฝ่ายกลับเป็นเผิงเยวี่ยที่เคยประมือกับเขา

ตั้งแต่ก่อนเข้าแดนลึกลับเขาก็สังเกตเห็นแล้วว่าคนผู้นี้เป็นหนึ่งในศิษย์ที่นิกายเทียนกงเลือกมาเข้าร่วม แต่คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นคนคุ้นหน้าคนแรกที่เขาได้พบในแดนลึกลับ

แม้หลิ่วหมิงจะจดจำเผิงเยวี่ยได้ ทว่าเวลานี้อีกฝ่ายกลับมีสีหน้าเคร่งขรึม มัวแต่พยายามขี่อาวุธจิตวิญญาณหนีสุดชีวิตจึงไม่รู้ตัวในทันทีว่าด้านล่างยังมีคนอื่นอยู่อีก

หลิ่วหมิงแรกเริ่มงุนงงอยู่บ้าง แต่ต่อมาในดวงตาก็ฉายแววเข้าใจจางๆ

เขาเห็นลำแสงสีดำสองสายปรากฏขึ้นกลางอากาศห่างจากหลังร่างเผิงเยวี่ยไปราวสองสามลี้ นอกจากนี้ลำแสงยังใช้ความเร็วอย่างมากไล่ตามไม่ลดละเข้ามา เทียบกับกระสวยเงินที่เผิงเยวี่ยขี่อยู่ดูท่ายังเร็วกว่าหนึ่งส่วน

หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว จากนั้นร่างกายขยับไหววูบประหนึ่งภูตผีหลบอยู่หลังหินภูเขาลูกหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็เคลื่อนภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนซ่อนเร้นกลิ่นอายบนร่างกายตน

“สหายเผิง ไยต้องรีบร้อนหนีเช่นนี้ ข้ายังไม่ทันย้อนความหลังวันวานกับเจ้าดีๆ เลยนะ!” เสียงเย็นเยียบอย่างยิ่งเสียงหนึ่งดังออกมาจากลำแสงสีดำเส้นหนึ่ง

หลิ่วหมิงได้ยินแล้วรู้สึกคุ้นหู หลังจากนั้นเมื่อเพ่งสายตามองด้านในลำแสงสีดำก็อดไม่ได้อับจนคำพูด

ผู้ที่ไล่ตามอยู่ในลำแสงสีดำนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเซียนหงส์ดำสตรีนางนี้นี่เอง

“คิดไม่ถึงว่าคนของนิกายเทียนกงจะเป็นพวกหนีลนลานเหมือนหนูกันหมด” เสียงบุรุษทุ้มต่ำอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ

ทว่าเพียงไม่กี่ลมหายใจให้หลัง ลำแสงสีดำอีกเส้นหนึ่งพลันมีหมอกสีดำทะลักออกมา มันกะพริบวูบวาบกลางอากาศต่อกันสองสามหน ทุกครั้งที่กะพริบก็ขยับใกล้เข้ามายี่สิบสามสิบจั้ง หลังกะพริบครั้งที่สามก็เพิ่มความเร็วพุ่งผ่านข้างลำแสงสีเงินไปขวางอยู่หน้าร่างเผิงเยวี่ย

หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ ในใจพลันสะท้าน

วิชาลับของแปดตระกูลใหญ่นี่มหัศจรรย์จริงๆ ครั้งนั้นโอวหยางเชี่ยนก็เคยใช้วิชาลับที่คล้ายการเคลื่อนย้ายตัดมิติชั่วพริบตาเหมือนกัน ทั้งสองสิ่งดูไปแล้วคล้ายกันอยู่บ้าง

เมื่อเผิงเยวี่ยเห็นว่าหนีไม่พ้นแล้ว มือข้างหนึ่งจึงใช้เคล็ดวิชาหยุดแสงสีเงินใต้เท้า พร้อมกันนั้นมือแต่ละข้างก็คว้าลูกแก้วกลมสีเหลืองลูกหนึ่งขึ้นมาถือไว้ สายตาเย็นเยียบมองยังคนที่อยู่ด้านหน้าและด้านหลัง

“ได้ยินว่าหลายสิบปีก่อนเจ้าเคยไล่ตามน้องสาวข้านานสามวันเต็มๆ วันนี้ไล่ตามเจ้าเพียงครึ่งวัน ยกประโยชน์ให้เจ้าแล้ว” ลำแสงด้านหน้าดับลงเผยชายหนุ่มชุดดำหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่ง เขาก็คือชายหนุ่มซึ่งบอกว่าตนเป็นพี่ชายของเซียนหงส์ดำที่เคยพบหน้ากันในงานแลกเปลี่ยนก่อนหน้านี้นี่เอง

“ไยต้องอ้างเรื่องเหล่านี้ พวกเจ้าสองคนต้องการของบนตัวข้าก็อาศัยความสามารถมาเอาไป! งานแลกเปลี่ยนหนึ่งเดือนก่อนพวกเจ้าทำร้ายศิษย์พี่ข้าบาดเจ็บหนัก วันนี้ข้าจะได้สะสางให้เรียบร้อยเสียที่นี่” เผิงเยวี่ยแค่นเสียงเหอะ แววตาทอประกายสองสามทีก็เหยียบกระสวยสีเงินดิ่งลงไปด้านล่าง

“เหอะ ศิษย์พี่ผู้นั้นของเจ้าฝีมือสู้ผู้อื่นไม่ได้แล้วยังคิดจะสู้ ก็แค่ไม่ประมาณกำลังตนเท่านั้น” พี่ชายของเซียนหงส์ดำหัวเราะพลางเอ่ยขึ้น พร้อมกันนั้นแสงสีดำรอบร่างพลันซัดไล่ตามลงไปเบื้องล่างด้วย

เซียนหงส์ดำด้านหลังหัวเราะเสียงหวาน ร่างกายพร่าเลือนวูบหนึ่งก็ตามกระสวยสีเงินไปเช่นกัน

แสงสีเงินกะพริบวูบหนึ่ง เผิงเยวี่ยกระโดดลงมาจากกระสวยสีเงินอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันสายตาก็กวาดผ่านรอบด้านทันที ไม่สนใจเซียนหงส์ดำกับพี่ชายบนท้องฟ้าสักนิด

ชายหนุ่มชุดดำที่ตามลงมาติดๆ เห็นสภาพนี้บนหน้าก็ปรากฏสีหน้าเหี้ยมเกรียมวูบหนึ่ง เขายกมือขึ้นกำลังจะลงมือ

ทว่าเวลานี้เองเซียนหงส์ดำซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งกลับเอ่ยปากขึ้นอย่างชิงชัง

“ท่านพี่ ท่านรอเสริมทัพให้น้อง ให้ข้าจะลงมือจัดการเขาสะสางความแค้นในวันวานเอง!”

“ก็ได้ แต่น้องเล็กต้องระวัง พลังของคนผู้นี้ไม่อ่อนแอกว่าเจ้า” ชายหนุ่มชุดดำได้ยิน แรกสุดคิ้วขมวดเล็กน้อย ชั่วครู่ให้หลังถึงพยักหน้า หลังริมฝีปากขยับนิดหนึ่งส่งกระแสจิตหาเซียนหงส์ดำสองสามประโยคแล้ว ร่างกายจึงขยับวูบหนึ่งไปยืนมือไพล่หลังอยู่บนหินภูเขาลูกหนึ่งห่างไปหลายจั้ง

เผิงเยวี่ยเห็นภาพนี้พลันยิ้มหยันแต่ไม่เอ่ยวาจา เขาเพียงยกมือข้างหนึ่งขึ้นเก็บกระสวยสีเงินข้างกายไปทีละอัน ส่วนมืออีกข้างหนึ่งขยับส่งลูกแก้วกลมสีเหลืองขุ่นสองลูกออกมาบินวน พร้อมกันนั้นสิบนิ้วก็ดีดรัวใช้เคล็ดวิชาออกมาอย่างว่องไว

เสียงปุ้งดังขึ้นสองที!

แสงสีเหลืองส่องสว่างวูบหนึ่ง ลูกแก้วกลมสองลูกก็เปลี่ยนกลายเป็นหุ่นเกราะสีทองสูงสามสี่จั้งสองตัว แยกย้ายกันยืนอยู่สองข้างกายของเขา

รอบร่างของหุ่นสีทองสองตัวนี้ลวดลายจิตวิญญาณสีทองงดงามประณีตอย่างที่สุดแผ่คลุมอยู่ มันแผ่กลิ่นอายแข็งแกร่งที่เทียบได้กับระดับผลึกขั้นปลายออกมาบางๆ

วิชาหุ่นของนิกายเทียนกง ในแผ่นดินจงเทียนเรียกได้ว่าไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก ไม่มีผู้ใดไม่เคยได้ยิน หุ่นสีทองสองตัวนี้ดูแล้วยิ่งเป็นระดับสุดยอดในนั้น

พี่ชายของเซียนหงส์ดำเห็นภาพนี้ ฉับพลันสีหน้าปรากฏความเครียดจางๆ ทันที

เซียนหงส์ดำเห็นภาพนี้กลับเลิกคิ้วดำขึ้น มือข้างหนึ่งทำท่ามือ เสียง “ตึง” ดังขึ้นทีหนึ่ง รอบร่างเปลวเพลิงสีดำชั้นหนึ่งลุกโหมออกมา พร้อมกับเสียงใสกังวานสายหนึ่ง เพลิงสีดำทั้งหมดพลันไหลเร็วรี่ผนึกรวมกันกลายเป็นเงาวิหคสีดำตัวใหญ่ราวจั้งกว่าเหนือศีรษะของนาง

เผิงเยวี่ยแค่นเสียงเหอะคำหนึ่ง เขายังไม่ทันได้เคลื่อนไหว หุ่นเกราะทองสองตัวพลันก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ปราณบนร่างเพิ่มพรวดขึ้นอีกหน สภาพราวกับห่างจากระดับผลึกขั้นปลายอยู่เพียงหนึ่งเส้นกั้นเท่านั้น

ศึกใหญ่ระหว่างทั้งสองกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว แต่ฉับพลันชายหนุ่มชุดดำด้านหลังก็สีหน้าเปลี่ยนไป เขาหมุนตัวอย่างรวดเร็ว ดวงตาเปล่งกระกายมองไปยังก้อนหินสีดำขนาดมหึมาก้อนหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกล พร้อมกันนั้นปากก็ตวาดเอ่ยขึ้น

“ผู้ใดลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงนั้น?”

เซียนหงส์ดำกับเผิงเยวี่ยได้ยินพลันตื่นตระหนก สายตากวาดมองไปพร้อมกัน

ที่นี่ยังมีคนอื่นอีกหรือ?

ก้อนหินดำอยู่ห่างจากทั้งสามคนแค่ห้าหกสิบจั้ง ระยะใกล้เช่นนี้ พวกเขากลับสัมผัสความผิดปกติทางด้านนั้นไม่ได้เลยสักนิด

“ฮ่ะฮ่ะ คำพูดของสหายแปลกจริง ข้าอยู่ตรงนี้มาก่อนแท้ๆ กลับกลายเป็นพวกลับๆ ล่อๆ ไปได้อย่างไร?” หลังเสียงหัวเราะเบาๆ สายหนึ่ง เงาร่างที่สวมชุดสีน้ำเงินร่างหนึ่งก็ก้าวออกมาจากหลังก้อนหินสีเขียวช้าๆ

“เจ้าคือใคร…หืม? ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์!” ชายหนุ่มชุดดำสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลังกวาดสายตาทีหนึ่งก็เห็นเครื่องแต่งกายบนร่างหลิ่วหมิงชัดเจนทันที

“เจ้าคือหลิ่วหมิง!” เซียนหงส์ดำเห็นหน้าตาของหลิ่วหมิงชัด หลังตกตะลึงเล็กน้อยในตอนแรกก็โพล่งปากตามทันที

“ที่แท้ก็พี่หลิ่วนี่เอง ดีเหลือเกิน!” หลังเผิงเยวี่ยจำหลิ่วหมิงได้ปุบก็มองไปอย่างดีใจยิ่ง

พูดไปแล้วความสัมพันธ์ระหว่างนิกายเทียนกงกับนิกายยอดบริสุทธิ์ก็ไม่เลว ส่วนพลังของหลิ่วหมิง เผิงเยวี่ยก็เคยประจักษ์กับตาตนเองมาก่อนแล้ว แม้ไม่ได้พบหน้ากันมาหลายสิบปี แต่ยามนี้ก็คงไม่ด้อยกว่าเขามากนัก

เมื่อเป็นเช่นนี้ ดวลสองต่อสอง ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเขาจะรักษาโซ่แห่งโชคชะตาบนข้อมือเอาไว้ได้

“พี่เผิง ดูท่าท่านกับข้าจะมีวาสนากันจริงๆ ขนาดที่แบบนี้ยังพบหน้ากันได้อีก” หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์ก็ประสานมือให้เผิงเยวี่ยแล้วยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้น

ตอนที่เซียนหงส์ดำเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันจ้องหลิ่วหมิงเขม็ง พี่ชายของนางกลับสายตาเย็นเยียบประหนึ่งน้ำแข็ง หลังประเมินหลิ่วหมิงตั้งแต่บนจรดล่างแล้วถึงเอ่ยปากขึ้นช้าๆ

“ที่แท้เจ้าก็คือศิษย์ที่ฝึกฝนวิชามารผู้นั้นของนิกายยอดบริสุทธิ์นั่นเอง ครั้งนั้นที่ซากโบราณของเผ่ามารเจ้าทำร้ายน้องสาวข้าจนบาดเจ็บหนัก ในเมื่อวันนี้พบเจ้าก็จะขอจัดการเสียเลยแล้วกัน?”

หลิ่วหมิงได้ยิน สมองก็หมุนเร็วรี่

ดูท่าวันนั้นเซียนหงส์ดำเห็นเขาดูดกลืนไอปีศาจจึงเข้าใจผิดว่าสิ่งที่เขาฝึกฝนคือวิชาสายมาร แต่เรื่องนี้หลิ่วหมิงย่อมไม่อธิบายอันใด เพียงยิ้มจางๆ เท่านั้น

ได้ยินว่าฝึกฝนวิชามาร เผิงเยวี่ยก็เผยแววตาประหลาดใจเล็กน้อยมองไปยังหลิ่วหมิง แต่ไม่ทันที่เขาจะเอ่ยอันใดก็ได้ยินชายหนุ่มชุดดำตวาดแผ่วเบาคำหนึ่งออกมา หมอกสีดำโถมทะลักออกมาจากสองแขน ชั่วพริบตาท่อนแขนก็ขยายพรวดจนหนาเท่าปากชาม ลวดลายจิตวิญญาณสีดำมากมายถี่ยิบกะพริบวูบวาบอยู่บนผิวแขนไม่หยุด

หลังจากนั้นสองแขนของชายหนุ่มชุดดำก็สั่นระรัว ไอหมอกสีดำขมวดรวมกันปรากฏเป็นเงากรงเล็บยักษ์ขนาดสิบจั้งกว่าข้างหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด กรงเล็บพร่าเลือนหายไปวูบหนึ่งก็พาแรงกดดันน่าหวาดหวั่นตะปบลงมายังจุดที่หลิ่วหมิงอยู่

ก่อนหน้านี้หลิ่วหมิงเคยเห็นชายหนุ่มชุดดำใช้การโจมตีนี้ที่งานแลกเปลี่ยนมาก่อน ในใจรู้ถึงพลังมหาศาลของมัน วันนั้นศิษย์นิกายเทียนกงผู้นั้นกระบวนท่าเดียวก็ถูกวิชาลับนี้ทำร้ายบาดเจ็บ หลิ่วหมิงไม่กล้าชักช้ารีบใช้วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬทันที บนร่างปราณสีดำจางๆ แผ่ออกมา พร้อมกันนั้นสองแขนก็สั่นไหว เสียงพยัคฆ์คำรามก้องฟ้าดังขึ้น เงาหัวพยัคฆ์มหึมาสีดำใหญ่จั้งกว่าสองหัวก่อตัวออกมาบนแขนในชั่วพริบตา

แสงสีดำกะพริบวูบหนึ่ง เงาหัวพยัคฆ์สองหัวชั่วพริบตาผสานกลายเป็นร่างเดียว โครงร่างขยายพรวดขึ้นอีกรอบหนึ่ง มองดูแล้วประหนึ่งร่างจริง มันร้องคำราม พุ่งรวดเร็วออกมาจากแขนของหลิ่วหมิง

เสียงเปรี้ยงดังสนั่นขึ้นทีหนึ่ง!

กลางท้องฟ้าเงาหัวพยัคฆ์สีดำกับกรงเล็บยักษ์ปะทะกันในทันใด

สองฝ่ายล้วนสีดำขมุกขมัว แต่ทั้งร่างกรงเล็บยักษ์ส่องสว่างเลือนราง ดูแล้วเต็มไปด้วยความรู้สึกลึกลับชั่วร้ายที่บอกไม่ถูกบางอย่าง ส่วนกลิ่นอายของเงาหัวพยัคฆ์กลับรุนแรงบ้าคลั่งอย่างยิ่งประหนึ่งบรรจุพลังมหาศาลอยู่ข้างใน แล้วยังแผ่พลังเย็นยะเยือกสายหนึ่งออกมาเลือนรางอีกด้วย

หลังเงาสองก้อนบดขยี้ปะทะกันอย่างรุนแรงพักหนึ่งแล้วก็ระเบิดออกพร้อมกับเสียงบึ๊ม คลื่นปราณสีดำวงแล้ววงเล่ากลายเป็นพายุพัดโถมออกไปสี่ด้านแปดทิศในทันที

หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงร่างกายสั่นสะท้าน ทันใดนั้นแรงสะท้อนมหาศาลสายหนึ่งก็ผลักเขาถอยหลังไปไกลสิบกว่าก้าวถึงหยุด ร่างยืนมั่นคงได้อีกหน

ชายหนุ่มชุดดำฝั่งตรงข้ามสีหน้าเปลี่ยนไปวูบหนึ่ง ร่างกายก็โซเซพุ่งถอยไปด้านหลังเช่นเดียวกัน ทว่าปลิวออกไปไกลเพียงไม่กี่จั้งเท่านั้น บนแผ่นหลังก็ส่งเสียงพรึ่บทีหนึ่ง เงาปีกมหึมาสีดำคู่หนึ่งพลันงอกออกมา หลังกระพืออย่างแรงสองสามหนถึงหวุดหวิดหยุดร่างลงได้

ดูจากการโจมตีนี้หลิ่วหมิงครองความเหนือกว่าอยู่อย่างหวุดหวิด

“เก่งกาจจริงๆ”

หลังชายหนุ่มชุดดำสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ใบหน้าบิดเบี้ยวอยู่บ้าง ทว่าสายตาที่มองมายังหลิ่วหมิงอีกครั้งกลับเผยแววตาตื่นเต้นจางๆ ออกมา

แขนของเขาสั่นไหววูบหนึ่ง แขนซ้ายกำข้อมือของแขนขวาแน่น ทำท่ามือท่าหนึ่งตรงกลางหน้าอก พร้อมกันนั้นปากก็ท่องมนตร์ ปราณดำโถมทะลักออกมาจากทั่วร่างพักหนึ่ง เงาฝ่ามือยักษ์สีเทาหนาผิดปกติขนาดเท่าบ้านหลังหนึ่งก็รวมตัวกันกลางท้องฟ้าเหนือตัวเขา จากนั้นตบเข้าใส่จุดที่หลิ่วหมิงอยู่

แม้เงาฝ่ามือยักษ์สีเทานี้จะมีขนาดใกล้เคียงกับกรงเล็บยักษ์ก่อนหน้านี้ แต่พลังแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ที่ซึ่งฝ่ามือยักษ์วาดผ่านไป อากาศรอบด้านฉับพลันบิดเบี้ยวเป็นระลอกคลื่นวงแล้ววงเล่าทั้งยังพาเสียงอสนีบาตคำรนดังสนั่นครั้งแล้วครั้งเล่ามาด้วย

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset