ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 789 สามหนทาง

บนผิวชุดเกราะนี้ลวดลายประณีตงดงามสีเงินแผ่อยู่ทั่ว ตรงจุดสำคัญจำนวนหนึ่งยังมีหนามแหลมคม พร้อมกับที่เสียงกรอบดังขึ้นหนหนึ่ง กระบอกกลมสีแดงฉานหนาเท่าแขนสองแท่งพลันโผล่ออกมาจากตรงหัวไหล่ นี่เป็นเกราะจักรกลชุดหนึ่ง

บุรุษผมม่วงเห็นสิ่งนี้ปุบ สองตาพลันหรี่ลงเล็กน้อย

เสียงฟุบดังขึ้นสองหน เสาแสงสีแดงฉานสองสายก็พุ่งออกมาจากกระบอกกลม โจมตีลงบนเงาหมัดพอดิบพอดี ทำให้ทั้งสามสิ่งพริบตาสลายหายไปพร้อมกัน

เสียงเปรี้ยงดังขึ้น เงาหมัดสีม่วงโจมตีลงบนร่างเผิงเยวี่ย หยั่งเชิงเผิงเยวี่ยพักหนึ่ง

“ฮ่ะๆ ของที่นิกายเทียนกงสร้างออกมาไม่ธรรมดาเลยจริงๆ! ดีมาก ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ตอนนี้ถึงมีคุณสมบัติเข้าไปในดินแดนแห่งมรดก ทว่าหลังเข้าไปเป็นหรือตายแต่ละคนรับผิดชอบเองแล้ว!”

บุรุษผมม่วงไม่ลงมือโจมตีเผิงเยวี่ยต่ออีก ร่างกายไหววูบหนึ่งก็กลับไปยังจุดที่ตนเองยืนอยู่ก่อนหน้านี้ เขาหัวเราะพลางเอ่ยขึ้นจากนั้นยื่นมือดึงเศษชิ้นส่วนมรดกสีทองชิ้นหนึ่งออกมาจากข้างเอว

หลิ่วหมิงได้ยินดังนั้นสายตาก็กวาดมองคร่าวๆ ทีหนึ่ง พบว่าตอนนี้ในที่นี้เหลือเพียงสิบเอ็ดคนเท่านั้น นอกจากตัวเขาแล้ว ก็มีเผิงเยวี่ย เซวียผาน บุรุษหน้าเหยี่ยว พี่น้องโอวหยาง ชายหนุ่มรถเงินจากนิกายเทียนกง สตรีชุดเขียวจากสำนักเฮ่าหราน หลัวเทียนเฉิง บุรุษผมม่วง แล้วก็คนชุดเทาที่ใช้แผ่นกลมแผ่นหนึ่งรับการโจมตีของบุรุษผมม่วงได้อย่างหวุดหวิดก่อนหน้านี้

นอกจากเขากับเผิงเยวี่ย สองคนจากหุบเขาปีศาจสวรรค์กับพี่น้องตระกูลโหวหยางสองคนมีเศษชิ้นส่วนมรดกชิ้นหนึ่งร่วมกัน คนที่เหลือนอกร่างล้วนมีแสงสีทองอ่อนๆ ระยิบระยับ เห็นชัดว่าในมือต่างมีเศษชิ้นส่วนชิ้นหนึ่ง

“เพราะมีคนบางคนทำให้พวกเราเสียเวลาไปมากนัก รีบเปิดดินแดนแห่งมรดกเถอะ” หลัวเทียนเฉิงมองบุรุษผมม่วงอย่างเย็นชา

สิ้นเสียง เขาก็ยกมือขึ้น เศษชิ้นส่วนที่ส่องแสงสีทองเรืองๆ ชิ้นหนึ่งบินพุ่งออกไปดังฟึ่บ ร่วงลงในช่องว่างช่องหนึ่งบนค่ายกลใจกลางแท่นศิลาอย่างมั่นคง

บุรุษผมม่วงได้ยินเพียงฉีกปากยิ้มแล้วสะบัดมือข้างหนึ่งเช่นกัน เศษชิ้นส่วนแผ่นค่ายกลอีกแผ่นหนึ่งบินออกไป ฝังลงไปในช่องว่างอีกช่องหนึ่ง

ขณะที่คนที่เหลือเตรียมจะทยอยโยนเศษชิ้นส่วนออกไปกระตุ้นค่ายกลบนแท่นศิลาอย่างสมบูรณ์ ทันใดนั้นบนท้องฟ้าไกลออกไปเสียงเปรี้ยงก็ดังขึ้น ปราณดำสายหนึ่งถาโถมมายังที่ซึ่งทุกคนอยู่ พลังน่าตะลึงอย่างยิ่ง

พวกโอวหยางเชี่ยนเห็นภาพนี้ล้วนอดไม่ได้ขมวดคิ้ว

มองดูสายลมสีดำที่ทั้งทรงพลังและดุดันแล้วเห็นได้ชัดว่าพลังของคนที่มาไม่ธรรม แต่ยามนี้ดินแดนแห่งมรดกกำลังจะเปิดออก พวกเขาล้วนไม่อยากหาเรื่องยุ่งยากอันใดเพิ่มอีก

“เห็นแต่ไกลว่าที่นี่มีปรากฏการณ์ประหลาดบนท้องฟ้า ฮ่ะๆ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นดินแดนแห่งมรดก!” สายลมสีดำมาถึงท้องฟ้าเหนือแท่นศิลา เสียงแหบสากเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากด้านใน

จากนั้นสายลมสีดำพลันหมุนติ้วแล้วหยุดนิ่ง กลายเป็นศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับผู้มีตาเล็กจมูกบี้ หน้าตาอัปลักษณ์คนหนึ่ง

“ที่แห่งนี้คือดินแดนแห่งมรดก คนได้รวมตัวกันครบแล้ว ในเมื่อท่านไม่มีชิ้นส่วนมรดกก็รีบจากไปจะดีกว่า” บุรุษผมม่วงเอ่ยเรียบๆ ประโยคหนึ่ง

ศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับผู้นี้แม้พลังแลดูอ่อนแอ แต่เรื่องมาจนถึงตอนนี้ย่อมไม่มีผู้ใดอยากให้มีคนมาแบ่งน้ำแกงอีก

“อ้อ? เศษชิ้นส่วนมรดก…”

ศิษย์อัปลักษณ์ของนิกายปีศาจลี้ลับยิ้มน่าขนลุกทีหนึ่ง สายตาพลันกวาดบนร่างผู้คนที่นั่นอย่างรวดเร็วแล้วจับจ้องอยู่บนร่างของคนชุดเทาผู้นั้น จากนั้นสายตาพลันเย็นเยียบ ร่างกายพร่าเลือนวูบหนึ่งก็แปลงกลายเป็นสายลมสีดำพัดหวีดหวิวลงมา

“เจ้า อ้าก…”

คนชุดเทาตกตะลึง ทันเพียงสะบัดแขนเสื้อรีบร้อนโยนแผ่นกลมแผ่นหนึ่งออกมาก็ถูกสายลมสีดำที่พัดลงมากะทันหันกลบเข้าไปมิดอย่างสิ้นเชิง

นาทีต่อมาสายลมสีดำก็พัดโถมคลั่งหมุนติ้วอยู่กับที่ไม่หยุด มีเสียงร้องแหลมแสบแก้วหูดังออกมาจากด้านในเป็นระยะ

หลังเสียงกรีดร้องโหยหวนทีหนึ่ง ศพอ่อนยวบประหนึ่งทั้งร่างไร้กระดูกร่างหนึ่งก็ถูกโยนออกมาจากด้านใน ร่วงหล่นไปนอกหุบเขา

ดูจากเสื้อผ้าที่หลงเหลืออยู่บนศพ เขาก็คือคนชุดเทาเมื่อครู่นั่นเอง

หลังสายลมสีดำมลายหายไป เงาร่างของศิษย์อัปลักษณ์นิกายปีศาจลี้ลับก็โผล่ออกมาอีกหน ทว่าในมือเขามีเศษชิ้นส่วนมรดกสีทองเรืองรองชิ้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา พร้อมกันนั้นไอหมอกสีเทาสายหนึ่งก็มุดเข้าไปในโซ่แห่งโชคชะตาบนข้อมือของเขาอย่างว่องไวเช่นกัน

“ตอนนี้ข้ามีคุณสมบัติเข้าไปข้างในแล้วกระมัง”

ชายหนุ่มอัปลักษณ์ชูเศษชิ้นส่วนในมือขึ้น เอ่ยกับทุกคนอย่างน่าขนลุก

คนที่อยู่ที่นั่นเห็นศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับผู้นี้ชั่วเวลายกมือยกเท้าก็สังหารผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลายผู้หนึ่งได้ในทันทีแล้ว ใบหน้าของพวกเขาปรากฏสีหน้าแตกต่างกันออกไป

ในดวงตาบุรุษผมม่วงทอประกายเย็นเยียบจางๆ แต่นาทีต่อมาก็ฟื้นคืนเป็นปกติแล้วเอ่ยเรียบๆ ขึ้นว่า

“ในเมื่อท่านเอาเศษชิ้นส่วนมรดกมาได้ ย่อมไม่มีปัญหาอันใดแล้ว”

“เอาล่ะ เสียเวลาไปไม่น้อยแล้ว ทุกท่านยังอ้อยอิ่งอะไรอีก รีบลงมือเข้าเถอะ ได้ยินว่าถึงเข้าไปในดินแดนแห่งมรดกได้ก็ยังต้องผ่านการทดสอบอีกหลายด่านถึงจะได้ผลประโยชน์ด้านใน” ขณะที่คนที่เหลือเงียบงันไม่พูดจา โอวหยางเชี่ยนฉับพลันก็เอ่ยขึ้น จากนั้นนางก็ยกมือขึ้น เศษชิ้นส่วนสีทองเรืองรองชิ้นหนึ่งบินพุ่งออกมาจากแขนเสื้อยาว

พวกเผิงเยวี่ยเห็นภาพนี้ก็ทยอยโยนเศษชิ้นส่วนมรดกออกมาด้วย เศษชิ้นส่วนฝังลงในช่องว่างของค่ายกลอย่างแม่นยำไม่พลาด

หลังชายหนุ่มอัปลักษณ์ผู้นั้นโยนเศษชิ้นส่วนมรดกชิ้นสุดท้ายไปบนแท่นศิลาอย่างไม่ใคร่ใส่ใจแล้ว ค่ายกลทั้งหมดฉับพลันส่องแสงสว่างจ้า ตรงใจกลางปรากฏอักขระห้าสีมหึมาตัวหนึ่ง จากนั้นม่านแสงสีทองชั้นหนึ่งก็แตกสลายหายไปทีละชั้นๆ หุบเขาทั้งหมดสั่นไหวเล็กน้อย

เสียงบึ้มดังสนั่นจนแก้วหูแทบดับดังขึ้นพักหนึ่ง จากนั้นแท่นศิลามหึมาก็ค่อยๆ จมลงไปใต้ดิน หลังจมลงไปใต้ดินจนมิด อักขระมหึมาฉับพลันกลายเป็นแสงสีทองดวงหนึ่งพุ่งไปบนกำแพงหินผืนหนึ่งด้านหลังแท่นศิลา

ทันใดนั้นผิวหน้าของกำแพงหินนี้ก็เริ่มส่องแสงสีน้ำเงิน เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด

สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินไปเป็นเวลาชั่วจิบชาครึ่งถ้วย แสงสีน้ำเงินในที่สุดก็กระจายออก หุบเขาทั้งหมดก็หยุดสั่นคลอน

เสียงแครกดังขึ้นทีหนึ่ง บนหน้าผาฉับพลันปรากฏช่องรอยแยกสูงหนึ่งจั้งกว่า ยาวสามสี่จั้งช่องหนึ่งประดุจประตูใหญ่เชื่อมไปยังห้วงอเวจีไร้ก้นบึ้ง ด้านในมืดสนิท จิตสัมผัสไม่อาจหยั่งเข้าไปได้สักนิด

“เอาล่ะ ทางเข้าแดนลึกลับแห่งมรดกเปิดออกแล้ว พวกเราไปกันเถอะ” หลังบุรุษผมม่วงหัวเราะ เขาก็ทะยานร่างกระโจนไปเป็นคนแรกกลายเป็นเงาสีม่วงสายหนึ่งไหววูบนำเข้าไปก่อน

หลัวเทียนเฉิงแค่นเสียงเหอะทีหนึ่ง ไม่ยอมแพ้แสงสีเงินม้วนวูบหนึ่งพุ่งเร็วรี่ตามหลังเขาเข้าไปติดๆ ด้วยเช่นกัน

ทุกคนเห็นดังนั้นก็พากันกลายเป็นลำแสงหลากสีพุ่งเข้าไปในรอยแยกด้วย

หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ หลังยิ้มเล็กน้อย เท้าก็เหยียบเมฆสีดำบินเข้าไปด้านในทันทีเช่นกัน

หลังเผิงเยวี่ยเข้าไปในปากทางเป็นคนสุดท้าย หุบเขาฉับพลันก็สั่นสะเทือนอีกหน ตรงรอยแยกค่อยๆ ประสานกัน ครู่เดียวทุกสิ่งก็กลับคืนสู่สภาพเดิม

ในเวลาเดียวกันนี้ พวกหลิ่วหมิงอยู่ในอุโมงค์หินเขียวทอดยาวแห่งหนึ่ง แม้สัมผัสได้ว่าทางเข้าเบื้องหลังปิดลง แต่ทุกคนทำประหนึ่งมองไม่เห็น ต่างคนเพียงทิ้งระยะห่างบินลงด้านล่างไปพลาง สำรวจสภาพแวดล้อมรอบด้านไปพลาง

พูดไปแล้วอุโมงค์เส้นนี้กว้างเพียงจั้งกว่า เคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมกันได้เพียงสองคน นอกจากนี้ในอุโมงค์ยังมืดสนิทไปหมด จิตสัมผัสคล้ายออกจากร่างไปได้สองสามจั้งเท่านั้น แต่คนที่เข้ามาที่นี่ได้ล้วนเป็นผู้ที่จิตใจแน่วแน่ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา ต่างคนต่างทำเพียงเหอะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังเท่านั้น

ในอุโมงค์แคบเช่นนี้ หากมีผู้ใดลงมือลอบโจมตีอย่างไม่ทันคาดคิด ป้องกันอย่างไรก็ป้องกันไม่ได้ ดังนั้นระหว่างคนสองคนในแถวจึงรักษาระยะห่างอย่างน้อยหลายจั้ง ต่างระวังคนด้านหน้าและด้านหลังทั้งหมด

หลังบินลงไปใต้หุบเขาได้ระยะทางราวร้อยกว่าจั้ง ประตูศิลาที่ส่องแสงสีเทาบานหนึ่งก็ปรากฏเบื้องหน้าพวกเขา

ทุกคนพากันร่อนลงเบื้องหน้าประตูศิลา มองสำรวจจากบนจรดล่างไม่หยุดทันที

ประตูศิลาบานนี้สูงถึงเจ็ดแปดจั้งและปิดแน่นสนิท บนผิวมีอักขระสีเทาสิบกว่าตัวเคลื่อนวนอย่างต่อเนื่องและแผ่กลิ่นอายเย็นเยียบสายหนึ่งออกมาอยู่เลือนราง

สองตาของหลิ่วหมิงหรี่ลง เขากรอกพลังเวทเข้าไปในดวงตาแต่ก็ค้นพบว่าไม่อาจมองทะลุประตูศิลาได้สักนิด จากนั้นเขากวาดจิตสัมผัสออกไปอีกแต่ก็ไม่ได้ผลเช่นเดียวกัน เห็นชัดว่าบนประตูถูกลงชั้นจำกัดพิเศษบางอย่างไว้

เรื่องนี้หลิ่วหมิงไม่รู้สึกประหลาดใจนัก หากประตูศิลาเบื้องหน้าไม่มีชั้นจำกัดเสริมไว้เลยจริงๆ กลับจะประหลาดใจอยู่บ้าง

หลังบุรุษผมม่วงมองประตูเสร็จ มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยคล้ายเผยรอยยิ้มเย็นชาจางๆ ออกมา เขาสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง พลังมหาศาลล่องหนสายหนึ่งทะลักออกมาในทันที

เสียงเปรี้ยงดังขึ้นทีหนึ่ง

ประตูศิลาที่ดูแล้วหนักอึ้งอย่างยิ่งถึงกับถูกผลักเปิดอย่างง่ายดาย ด้านหลังกลับเป็นแสงสีขาวขมุกขมัวผืนหนึ่ง มองสิ่งใดไม่ชัดสักนิด

“เป็นประตูเคลื่อนย้ายจริงๆ!” บุรุษผมม่วงกลับเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา เขาคำรามพึมพำทีหนึ่งก็กระโจนเข้าไปข้างในก่อน อักขระสีเทาบนประตูศิลากะพริบวูบวาบพร้อมกัน จากนั้นร่างกายของคนผู้นี้ก็หายไปท่ามกลางแสงสีขาว

หลัวเทียนเฉิงเห็นภาพนี้สองคิ้วพลันกลายเป็นเส้นเดียว ทั่วร่างแสงเรืองรองสีเงินสาดออกมา กลายเป็นรุ้งสีเงินสายหนึ่งพุ่งเข้าไปในประตูเช่นกัน

หลังจากนั้นศิษย์อัปลักษณ์ของนิกายปีศาจลี้ลับ บุรุษหน้าเหยี่ยว เซวียผาน ชายหนุ่มรถสีเงิน สตรีชุดเขียวสำนักเฮ่าหราน พี่น้องตระกูลโอวหยางก็ไม่รั้งรอนาน ทยอยขยับร่างเข้าไปเช่นกัน

หลิ่วหมิงลอบถือโล่พสุธาเอาไว้ในมือ จากนั้นก็กระทืบสองเท้าพุ่งเข้าไปในประตูศิลาด้วยเช่นกัน

เขาเหยียบเข้าไปในประตูศิลาปุบก็รู้สึกเพียงเบื้องหน้าดำมืด หลังกระแสลมรอบด้านปั่นป่วนวูบหนึ่ง เบื้องหน้าก็สว่างขึ้น เขามาปรากฏตัวในมิติที่มีหมอกสีเทาขมุกขมัวเต็มไปหมด ไอหมอกรอบด้านม้วนตลบเมื่อมองไปไกลๆ กลับไม่เห็นอะไรเลยสักนิด

บุรุษผมม่วง ชายหนุ่มอัปลักษณ์นิกายปีศาจลี้ลับ บุรุษหน้าเหยี่ยว ล้วนยืนอยู่ใกล้ๆ ไม่ไกล พวกเขามองรอบด้านประเมินไม่หยุดเช่นกัน

ร่างของหลิ่วหมิงเพิ่งเหยียบมั่นคงได้ไม่นาน สองสามจั้งข้างกายเขาก็ปรากฏแสงสีเทาก้อนหนึ่งออกมาจากความว่างเปล่า หลังแสงดับลงก็เผยร่างของเผิงเยวี่ยออกมา

พร้อมกับการปรากฎตัวของเขา ไอหมอกสีเทารอบด้านพลันเคลื่อนไหวรุนแรงจากนั้นกระจายออกอย่างรวดเร็ว

หลิ่วหมิงเงยหน้ามองไปก็เห็นเพียงหลังไอหมอกสีเทาสลาย ทิวทัศน์รอบด้านฉับพลันกลายเป็นพื้นราบสีดำกว้างไร้ที่สิ้นสุดผืนหนึ่ง มองไปไม่มีสิ่งอื่น

“ที่นี่คือดินแดนแห่งมรดกงั้นหรือ เหมือนจะไม่มีสิ่งใดเลยนะ?” ขณะที่ทุกคนกำลังเผยสีหน้าสงสัย ไม่รู้ผู้ใดเอ่ยพึมพำออกมาประโยคหนึ่ง

ผลปรากฏว่าคำพูดเพิ่งเอ่ยจบก็ได้ยินเสียงแกรกๆ ดังขึ้นมาจากพื้นด้านหน้า

นาทีต่อมาท่ามกลางสายตาประหลาดใจของทุกคน กำแพงหยกขาวสะอาดเกลี้ยงเกลาไร้ตำหนิที่มีความสูงร้อยกว่าจั้งผืนหนึ่งก็ทะลึ่งพรวดขึ้นมาจากใต้ดิน

กำแพงหยกไร้ตำหนิโผล่ออกมาจากพื้นดินปุบก็เลื่อนขึ้นไม่หยุด จนกระทั่งห่างจากพื้นดินหลายสิบจั้งถึงฉับพลันหยุดลง

หลังสั่นเบาๆ พักหนึ่ง กลางกำแพงหยกแสงสีขาวก็กะพริบวูบวาบ อุโมงค์ทรงกลมที่ส่องแสงสีขาวขมุกขมัวสามอันค่อยๆ ปรากฏออกมา แต่ละอุโมงค์ล้วนมีขนาดสองสามจั้งคล้ายเข้าไปได้พร้อมกันสามสี่คน

ทุกคนเห็นสถานการณ์นี้ สีหน้าล้วนเปลี่ยนไปมาไม่หยุดพักหนึ่ง

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset