ค่ายกลสีทองค่ายหนึ่งผุดขึ้นใต้เท้าบุรุษผมม่วงตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ เบาะกลมสีเหลืองทองที่เขานั่งขัดสมาธิอยู่สั่นครู่หนึ่งแล้วลอยขึ้นกลางอากาศ จากนั้นส่องแสงรัศมีเจิดจ้าประหนึ่งดอกบัวสีทองแย้มกลีบบาน ค่อยๆ หมุนไม่หยุด แผ่คลื่นแสงสีทองจางๆ วงแล้ววงเล่าไปรอบด้าน
จุดที่แสงสีทองผ่าน อักษรสันสกฤตสีดำตัวแล้วตัวเล่าพลันลอยออกมาจากความว่างเปล่า
หลัวเทียนเฉิงกับชายหนุ่มอัปลักษณ์เห็นสภาพนี้ล้วนสีหน้าย่ำแย่อย่างที่สุด ไหนเลยจะไม่เข้าใจว่าบุรุษผมม่วงชิงก่อนก้าวหนึ่งบรรลุวิชาลับสายพุทธบนกำแพงแล้ว
“ฮ่าฮ่า ผู้แซ่หลี่ว์ไร้ความสามารถ ขอไปรับสมบัติลับแห่งพุทธนั่นก่อน ทั้งสองท่านอยู่ที่นี่ค่อยๆ ฝึกฝนไปเถอะ!” บุรุษผมม่วงหัวเราะร่า ร่างกายค่อยๆ พร่าเลือนไปกลางค่ายกล ท้ายที่สุดหายวับไปไร้ร่องรอย
……
ในป้อมโบราณสีเงิน ไอหมอกจำนวนมากยังคงลอยอบอวล เพียงแต่เทียบกับหลายชั่วยามก่อนหน้านี้แล้วหนาทึบกว่าเดิมมาก ก่อตัวเป็นรูปชามยักษ์คว่ำอยู่เลือนราง นอกจากนี้กลางไอหมอกยังมีอักขระแวววาวนานาสีสันจำนวนหนึ่งสอดแทรกอยู่เลือนรางด้วย บ้างก่อตัวเป็นภาพสัญลักษณ์ประหลาด บ้างระเบิดเป็นระยะทำให้ทะเลหมอกทั้งหมดแลดูลึกลับยิ่งนัก
บุรุษหน้าเหยี่ยว เซวียผาน สตรีชุดเขียวกับชายหนุ่มรถเงินล้วนถูกขังอยู่กลางไอหมอก สองตาต่างเลื่อนลอยเล็กน้อย แต่ใบหน้ากลับเรียบเฉย เห็นชัดว่าตกอยู่ในภาพลวงตา
เงาร่างของทั้งสี่คนเดินวนเวียนไร้จุดหมายอยู่ท่ามกลางไอหมอกสีเงินประหนึ่งศพเดินได้ เพียงแต่ทุกช่วงระยะเวลาหนึ่งจะมีคนหนึ่งในนั้นดวงตากระจ่างใสขึ้นมาเล็กน้อยเป็นบางครั้ง ทว่าพริบตาเดียวก็หายไป
เมื่อสังเกตให้ละเอียดกลับพบว่า พร้อมกับที่เวลาเคลื่อนคล้อยจำนวนครั้งที่พวกเขาตื่นได้สติก็คล้ายจะเพิ่มขึ้นอยู่เลือนราง
ตอนที่ดวงตาชายหนุ่มรถเงินฟื้นกลับมากระจ่างใสอีกครั้ง ทันใดนั้นสีหน้าเขาก็เคร่งขรึม ร่างกายฉับพลันลอยขึ้นมา พุ่งเร็วรี่ไปยังทิศทางหนึ่ง ชั่วพริบตามาถึงตรงขอบหมอกสีเงิน
ทว่าขณะที่เขากำลังจะพุ่งออกไปรวดเดียวนั้น แววตาที่หม่นแสงลงกลับมาเลื่อนลอยอีกครั้ง ลำแสงฉับพลันเปลี่ยนไปยังทิศทางหนึ่งอีกหน
ไม่ใช่แค่เขา สามคนที่เหลือก็ล้วนเป็นเช่นนี้ คล้ายกับทุกครั้งที่กำลังจะบินออกจากหมอกสีเงินล้วนล้มเหลวก้าวหนึ่งก่อนสำเร็จอย่างน่าเสียดายทั้งสิ้น
หลังเป็นเช่นนี้ผ่านไปอีกราวครึ่งชั่วยาม แม้ทั้งสี่จะยังตกอยู่ในภาพลวงตา ทว่าสีหน้าบนใบหน้าคล้ายจะค่อยๆ สงบลง ช่วงเวลาที่ตื่นได้สติแต่ละครั้งก็ยาวขึ้นมากบ้างน้อยบ้าง
ดูท่าพวกเขาจะคลำพบหนทางทำลายค่ายกลมายานี้อยู่เลือนรางแล้ว
ผ่านไปไม่นานนัก เมื่อชายหนุ่มรถเงินสติกลับมาแจ่มชัดอีกครั้ง เขากัดฟันอย่างแรง อ้าปากพ่นหมอกโลหิตผืนหนึ่งออกมา ต่อจากนั้นสองมือเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็วพักหนึ่ง ปากท่องมนตร์งึมงำแผ่วเบาฟังไม่ชัดหลายประโยค
หมอกโลหิตแต่ละหยด รวมตัวกันกลายเป็นแสงโลหิตกลุ่มหนึ่งบินถอยหลังจมเข้าไปตรงหว่างคิ้วของเขา
นาทีต่อมาชายหนุ่มรถเงินพลันตวาดเสียงดัง หลังจากใบหน้าปรากฏไอโลหิตชั้นหนึ่งแล้ว ดวงตาทั้งสองข้างก็ฟื้นกลับมากระจ่างใสโดยสมบูรณ์
ผลปรากฏว่าในใจเขายังไม่ทันได้ยินดี เกราะป้องกันสีเลือดที่เกิดมาจากวิชาลับโลหิตบริสุทธิ์ในทะเลจิตรับรู้ก็สั่นไหวอย่างรุนแรง เส้นด้ายสีเงินเส้นแล้วเส้นเล่าโจมตีเกราะป้องกันไม่หยุดเหมือนคิดจะครอบงำสติของเขาอีกครั้ง
ดูเชื่องช้าแต่ความจริงกลับรวดเร็ว เขาไม่สนใจใช้วิชาลับอันใดอีก ไม่พูดพร่ำคำที่สองร่างกายไหววูบกลายเป็นแสงอสนีบาตเส้นหนึ่งพุ่งไปด้านนอกของไอหมอกสีเงิน
ทว่าขณะที่เขาจวนเจียนจะบินถึงขอบไอหมอกแล้วนั่นเอง เสียงฟึบทีหนึ่งก็ดังขึ้น แสงแวววาวสีเงินเจิดจ้าอีกสายหนึ่งชิงบินออกจากทะเลหมอกสีเงินตัดหน้าบุรุษรถเงินไปอย่างหวุดหวิด
เมื่อแสงแวววาวดับลง นอกทะเลหมอกก็ปรากฏเงาร่างของบุรุษหน้าเหยี่ยว
ในมือคนผู้นี้ถือกระจกหกเหลี่ยมกระจิ๋วหลิวบานหนึ่งไว้ เขากำลังหอบหายใจถี่เร็ว หน้าอกพองขึ้นยุบลงประหนึ่งหีบลม บนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ
เวลานี้เองเสียงเปรี้ยงแผ่วเบาพลันดังมาจากใต้ดิน เสาแสงกลมสีเงินขนาดเท่าปากบ่อต้นหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากพื้นใต้เท้าบุรุษหน้าเหยี่ยวแล้วล้อมตัวเขาไว้
เสาแสงสีเงินหมุนติ้วเพียงชั่วครู่ ด้านล่างก็ปรากฏค่ายกลแสงสีขาวค่ายหนึ่ง
ค่ายกลส่งเสียงฮึมดังขึ้นหนหนึ่งจากนั้นมิติพลันสั่นไหวระลอกแล้วระลอกเล่า บุรุษหน้าเหยี่ยวใบหน้ายิ้มหยันหายไปท่ามกลางแสงสีเงิน
เวลานี้ชายหนุ่มรถเงินจากนิกายเทียนกงเพิ่งหายวับรีบเร่งมาถึงตรงนี้ เขามองภาพเบื้องหน้าแล้วอดไม่ได้ยิ้มขมขื่น
……
ขณะที่ศิษย์แต่ละนิกายแต่ละสำนักต่อสู้เพื่อโชคชะตาอยู่ในแดนลึกลับของงานประตูสวรรค์ นอกแดนลึกลับที่ตีนเขาหิมะขาวโพลนแห่งนั้นคนก็ยังคงมากมาย เทียบกับตอนแดนลึกลับประตูสวรรค์เปิดออกมีแต่เพิ่มขึ้นไม่มีลดลง
แต่ผู้นำของสี่ยอดนิกายใหญ่กับแปดตระกูลใหญ่กลับไปยังที่พำนักของแต่ละคนนานแล้ว
ทว่าเหล่าศิษย์ที่เหลือของแต่ละนิกายส่วนใหญ่กลับเลือกรั้งอยู่ด้านนอก
นอกจากนี้ที่ตีนเขายังมีศิษย์และคนของนิกายเล็กไร้ชื่อเสียงจำนวนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา พวกเขาไม่ได้รับเชิญจากวังสวรรค์ ทว่าวันนี้ทยอยมารวมตัว ณ ที่แห่งนี้เพื่อดูลำดับบนป้ายศิลายักษ์ครึ่งดำครึ่งขาวแผ่นนั้น
คนเหล่านี้ส่วนใหญ่หวังจะคาดคะเนอำนาจและความรุ่งเรืองตกต่ำร้อยปีให้หลังของนิกายและตระกูลต่างๆ จากอันดับโชคชะตาบนป้ายศิลาเพื่อใช้สิ่งนี้เป็นการอ้างอิงว่าวันหน้าควรเลือกเข้าหาเพิ่ม หรือถอยหนีให้ห่าง
หากสำนักเล็กสำนักน้อยทั้งหลายเลือกที่พึ่งผิด อย่างเบาสำนักก็ไม่รุ่งเรือง อย่างหนักก็ประสบภัยร้ายสิ้นสำนัก
มีผู้ฝึกฝนอิสระมากมายมารวมตัวกันที่แห่งนี้ใจหมายจะชมดูเรื่องสนุกเช่นเดียวกัน พวกเขาจับกลุ่มสองคนสามคนกระซิบถกอะไรบางอย่างกันเป็นระยะ
บนป้ายศิลายักษ์ชื่อศิษย์ทุกคนที่เข้าทดสอบในแดนลึกลับสลักอยู่มากมายถี่ยิบ หลังชื่อแต่ละชื่อล้วนมีภาพโซ่เส้นน้อยหนึ่งถึงสิบเส้น หน้าตาเหมือนโซ่แห่งโชคชะตาที่ปรากฏอยู่บนข้อมือของทุกคนที่เข้าไปในแดนลึกลับทุกประการ
ภาพโซ่น้อยเหล่านี้หมายถึงจำนวนโชคชะตาที่ศิษย์ผู้เข้าทดสอบสะสมได้ มีทั้งหมดสามสีได้แก่สีทองแดง สีเงินและสีทอง เมื่อโชคชะตาสะสมจนเต็มโซ่น้อยเส้นหนึ่ง สีก็จะเปลี่ยนกลายเป็นสีทองแดง หลังจากนั้นด้านขวาของมันก็จะปรากฏภาพโซ่เส้นน้อยอีกเส้นหนึ่ง
หลังสะสมจนเต็มโซ่สีทองแดงสิบเส้น มันก็จะเปลี่ยนมาเป็นโซ่น้อยสีเงินเส้นหนึ่งด้วยตัวเอง ด้วยหลักการเดียวกันหลังสะสมโชคชะตาจนเต็มโซ่สีเงินสิบเส้นก็จะกลายเป็นโซ่น้อยสีทองเส้นหนึ่ง
ส่วนศิษย์เหล่านั้นที่โชคร้ายตายไปในแดนลึกลับ ไม่ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาสะสมโชคชะตาได้เท่าไร ชื่อของพวกเขาก็จะหม่นแสงร่วงตกไปยังอันดับสุดท้ายทันทีตามกฎของงานประตูสวรรค์ ภาพโซ่น้อยด้านหลังชื่อก็จะหายไปเช่นเดียวกัน โชคชะตาที่ได้มาก่อนหน้าจะไม่นับรวมอยู่ในโชคชะตารวมของแต่ละกลุ่มอำนาจ
เวลานี้โชคชะตาของหลิ่วหมิงมีเพียงโซ่เงินสามเส้นครึ่ง อยู่ลำดับที่สามสิบห้าบนป้ายศิลาอย่างหวุดหวิด ในหมู่ศิษย์ของนิกายยอดบริสุทธิ์ทั้งหมดลำดับของหลัวเทียนเฉิงอยู่ในอันดับต้นๆ ที่สุด เขามีโชคชะตาเท่ากับโซ่สีเงินห้าเส้น แต่ก็ยังอยู่แค่อันดับที่สิบสามเท่านั้น
หลงเหยียนเฟยจวนเจียนรวบรวมโชคชะตาได้เต็มโซ่สีเงินสองเส้นเท่านั้น
ในเวลาเดียวกันนี้นิกายยอดบริสุทธิ์กลับมีสามชื่อหม่นแสงลงไปแล้ว นอกจากศิษย์สองคนที่อยู่ด้วยกันกับหลัวเทียนเฉิง ยังมีศิษย์ของยอดเขาทองคำคนหนึ่งโชคร้ายตายไปด้วย
บนป้ายศิลายักษ์ ผู้ที่อยู่ลำดับหนึ่งคืออิ๋นเซ่อ สตรีผมเงินแห่งหอเป๋ยโต่ว
“เวลาผ่านไปเพียงสั้นๆ อันดับหนึ่งตอนนี้ก็มีโชคชะตาเต็มโซ่ทองหนึ่งเส้นแล้ว มากกว่าอันดับสองมากนัก” ชายหนุ่มหน้าดำไม่ทราบสำนักผู้หนึ่งในกลุ่มคนเอ่ยพึมพำขึ้นมา
“อิ๋นเซ่อ? ไม่ทราบว่าคนผู้นี้เป็นคนของนิกายหรือสำนักไหน?” ไม่รู้ใครด้านข้างชายหนุ่มหน้าดำเอ่ยถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“สหายผู้นี้เจ้ามาช้า สตรีผู้นี้ก่อนหน้าการทดสอบจะเริ่ม เป็นศิษย์หญิงผู้หนึ่งที่ประมุขหอเป๋ยโต่วผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์พามาด้วยตนเอง” ผู้เฒ่าเครายาวคนหนึ่งใกล้ๆ ฉับพลันหัวเราะแล้วเอ่ยบอก
ได้ยินว่าหอเป๋ยโต่ว ผู้ฝึกฝนที่ไม่รู้เรื่องหลายคนรอบตัวผู้เฒ่าเครายาวล้วนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พากันสงบปากสงบคำมองลำดับด้านล่างอย่างละเอียด
อำนาจของหอเป๋ยโต่วมากอย่างที่สุดไม่เป็นรองสี่ยอดนิกายใหญ่ ผนวกกับการเคลื่อนไหวลึกลับไม่อาจหยั่งถึงของพวกเขายิ่งทำให้กลุ่มอำนาจขนาดเล็กเหล่านี้หวาดกลัว
เวลานี้ที่ห้องลับห้องหนึ่งในหอของนิกายยอดบริสุทธิ์ตรงตีนเขา เทียนเกอเจินเหรินกำลังนั่งขัดสมาธิสำรวจดูอันดับบนป้ายศิลาด้านบนเขาหิมะผ่านภาพที่แผ่นค่ายกลแผ่นหนึ่งฉายตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ข้างกายเขาก็คือบุรุษชุดเทาผู้นั้นที่เดินทางมาด้วยกันกับเขา สีหน้าอีกฝ่ายก็ไม่ได้ดีไปกว่า
“เดิมคิดว่ามีหลัวเทียนเฉิงเด็กคนนี้อยู่ งานประตูสวรรค์ครั้งนี้จะดีขึ้นบ้าง คิดไม่ถึงงานประตูสวรรค์ครั้งนี้เหมือนศิษย์ที่หุบเขาปีศาจสวรรค์รวมถึงแปดตระกูลใหญ่ส่งมาจะไม่อ่อนแอ คนของหอเป๋ยโต่วยิ่งโผล่มาโดดเด่น ดูท่าครานี้เกรงกว่าอันดับสามก็คงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว” บุรุษชุดเทามองอันดับบนป้ายศิลาแล้วส่ายศีรษะเอ่ยขึ้น
“พูดไปแล้ว งานประตูสวรรค์ครานี้จังหวะไม่ดีอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้ศิษย์สายในที่มีแววหลายคนเลื่อนขึ้นระดับแก่นแท้ไปแล้ว ผู้ที่พลังโดดเด่นที่เหลืออยู่อย่างเสี่ยวอู่ของยอดเขาลั่วโยวก็อายุเกิน นี่ถึงได้แต่ส่งศิษย์ไม่กี่คนนี้ไป แม้หลัวเทียนเฉิงพลังไม่ธรรมดา แต่อย่างไรก็อายุน้อยเกินไป พลังเพียงขั้นต้นเท่านั้น ท้ายที่สุดเกรงว่าอันดับคงไม่ดีอย่างที่คิดไว้” เทียนเกอเจินเหรินมองอันดับของหลัวเทียนเฉิงอีกครั้งหนึ่ง บนใบหน้าสีหน้าจนปัญญาเล็กน้อยฉายผ่านไป
“แต่ไม่ใช่ยังมีหลิ่วหมิงที่พลังทัดเทียมกับหลัวเทียนเฉิงอีกคนหนึ่งหรือ เด็กคนนี้ตอนนี้ลำดับที่เท่าไร?” บุรุษชุดเทาคล้ายนึกสิ่งใดขึ้นได้ ดวงตามองไปบนภาพป้ายศิลาที่ฉายบนแผ่นค่ายกลอีกครั้ง
“ลำดับที่สามสิบห้า…ดูท่าหลิ่วหมิงผู้นี้ก็คงไม่เก่งเหมือนชื่อ” เมื่อสายตาของบุรุษชุดเทาเพ่งมองบนคำว่า “หลิ่วหมิง” แล้ว ดวงตาก็หม่นลง ส่ายศีรษะพลางถอนหายใจเอ่ยขึ้น
เวลานี้เองป้ายศิลาพลันส่องแสงสีทองขมุกขมัวพักหนึ่ง หลังแสงสีทองดับลง อันดับก็เปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในทันใด ชื่อของหลิ่วหมิงถึงกับปรากฏอยู่ที่ลำดับเก้าของป้ายศิลา ด้านหลังชื่อของเขามีสัญลักษณ์รูปโซ่สีเงินเก้าเส้นส่องสว่าง
“เอ๋ โชคชะตาของหลิ่วหมิงผู้นี้พริบตาเดียวเพิ่มขึ้นมากปานนี้ หรือเด็กคนนี้จะพบโชควาสนาใหญ่หลวงอันใดเข้า? หรือว่าจะ…” เทียนเกอเจินเหรินเลิกคิ้วเผยสีหน้าคาดไม่ถึงเล็กน้อยพลางเอ่ยถามขึ้นมา
“ดินแดนแห่งมรดก! เวลาสั้นๆ ได้แต้มโชคชะตาน่าตะลึงเช่นนี้มา น่าจะได้ของดีมาจากดินแดนแห่งมรดกสักแห่ง นอกจากนี้ไม่ใช่มรดกธรรมดา หากเด็กคนนี้เอามรดกส่วนใหญ่มาได้ ไม่แน่อาจมีหวังทำให้นิกายเรารักษาตำแหน่งอันดับสามของครั้งก่อนไว้ได้แล้ว!” บุรุษชุดเทาเห็นภาพนี้ ฉับพลันสีหน้ายินดียิ่งเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น
“ก็หวังว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่ในเมื่อเป็นดินแดนแห่งมรดก การแย่งชิงในนั้นคงยิ่งดุเดือด หวังว่าเด็กคนนี้จะไม่เจอกับศิษย์ร้ายกาจเหล่านั้นของนิกายอื่นเข้า มิเช่นนั้นเกรงว่าความหวังคงริบหรี่” เทียนเกอเจินเหรินสีหน้าผ่อนคลายลงเช่นกัน ปากเอ่ยนิ่งๆ แต่ในใจไม่รู้ทำไมถึงมีคำพูดที่จินเทียนชื่อเคยบอกเขาเกี่ยวกับหลิ่วหมิงก่อนหน้านี้ผุดขึ้นมา
……
ในเวลาเดียวกัน หลิ่วหมิงซึ่งอยู่ด้านในดินแดนแห่งมรดกย่อมไม่ทราบสถานการณ์ด้านนอกและลำดับของตนเอง ยิ่งไม่ทราบว่าหลังเขาได้ทรายธารดาราถุงนั้นมาจะนำโชคชะตามากมายเช่นนี้มาให้แก่นิกายและตนเอง
ตอนนี้เขากำลังวนเวียนอยู่ด้านในอุโมงค์ ขบคิดว่าจะเดินออกไปจากเขาวงกตแห่งนี้ตรงหน้าได้อย่างไร
จะว่าไปแล้วเขาวงกตแห่งนี้ก็ใหญ่และซับซ้อนเกินกว่าที่เขาคิดไว้ก่อนหน้านี้มาก ระหว่างที่เดินผ่าน เริ่มแรกสิ่งที่พบยังเป็นทางแยกสามทางเท่านั้น ต่อมาทางแยกกลับกลายเป็นสี่ทาง ห้าทาง เมื่อเป็นเช่นนี้อยากหาทางที่ถูกต้องให้พบจึงยิ่งลำบากมากขึ้น
ดูท่าเขาอยากออกไปจากเขาวงกตแห่งนี้จะไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ในเวลาสั้นๆ