ณ ตีนเขาหิมะ ในสิ่งก่อสร้างที่พำนักของตระกูลมู่หรง ผู้เฒ่าชุดดำคนหนึ่งกำลังเอนกายอยู่บนเก้าอี้โยกตัวหนึ่ง ในมือสะบัดพัดขนนกสีดำเล่มหนึ่งด้วยสีหน้าสบายอุรา
“รายงานผู้อาวุโสใหญ่ ตอนนี้คุณชายอยู่ลำดับที่สอง คุณหนูก็ได้ลำดับสูงเช่นกันอยู่ลำดับที่แปดขอรับ” ศิษย์อายุน้อยสวมชุดยาวสีดำทั้งร่างคนหนึ่งก้าวเท้าเร็วไวเดินเข้ามาคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นแล้วประสานมือเอ่ยขึ้น
“ดี! ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปก่อนเถอะ” ผู้เฒ่าชุดดำสะบัดพัดขนนกในมือพลางเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ขอรับ!” ศิษย์ชุดยาวสีดำขานรับคำหนึ่งจากนั้นถอยออกจากห้องลับไปอย่างรวดเร็ว
“คิดไม่ถึงว่าเวลาสั้นๆ ไม่กี่สิบปีหลงเอ๋อร์กับเฟิ่งเอ๋อร์จะเติบใหญ่เร็วปานนี้ หากเป็นเช่นนี้ครานี้แต้มโชคชะตาที่สะสมได้จากในงานประตูสวรรค์จะเข้าไปในสี่อันดับแรกก็คงไม่เป็นปัญหา หากทั้งสองคนร่วมมือกันจัดการศิษย์หญิงหอเป๋ยโต่วอันดับหนึ่งคนนั้นเสีย…”
หลังเอ่ยกับตนเองหลายประโยค บนหน้าของผู้เฒ่าชุดดำก็เผยรอยยิ้มน่าขนลุกออกมา แล้วผุดลุกขึ้นในทันใด หยิบยันต์ที่ส่องแสงสีดำขมุกขมัวแผ่นหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ จากนั้นใช้เคล็ดวิชาสายหนึ่งยิงลงไปบนยันต์
หลังผิวหน้ายันต์ทั้งแผ่นอาบแสงสีดำพักหนึ่งก็ลุกไหม้ขึ้นกลางอากาศ เวลาไม่กี่ลมหายใจสั้นๆ ก็กลายเป็นเพลิงจิตวิญญาณขนาดเท่าฝ่ามือดวงหนึ่ง
หลังผู้เฒ่าใช้พัดขนนกสีดำในมือพัดเบาๆ หนึ่งหน สายลมสีดำหอบหนึ่งก็ม้วนออกมา หอบเพลิงจิตวิญญาณแล่นออกนอกหน้าต่างหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ผู้เฒ่าชุดดำมองนอกหน้าต่างแล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจกลับไปนั่งบนเก้าอี้โยกอีกครั้ง
ในห้องลับแห่งหนึ่งที่นิกายเทียนกง บุรุษวัยกลางคนผู้สวมชุดสั้นสีเหลืองสามคนกำลังนั่งประจันหน้าหารือกันเสียงเบาอยู่
“ครั้งนี้พวกเราลงทุนควักเนื้อมอบหุ่นหลายตัวที่เป็นสมบัติลับให้ศิษย์เหล่านั้นใช้ คิดไม่ถึงกลับปล่อยให้หอเป๋ยโต่วกับตระกูลมู่หรงชิงโชคชะตาไปได้ก่อน” บุรุษรูปร่างผอมเหมือนลำไผ่ผู้หนึ่งขมวดคิ้วแน่นเอ่ยขึ้นช้าๆ
“คนของตระกูลมู่หรงหนึ่งเดือนก่อนยังลงมือทำร้ายศิษย์ของข้าด้วย เหิมเกริมอย่างยิ่ง วันนี้ที่อู๋เชาเด็กคนนี้สิ้นชีวิตไป ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับพี่น้องมู่หรงด้วยหรือไม่” ชายฉกรรจ์เปลือยท่อนบนอีกคนหนึ่งเอ่ยด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด
“เสียดายที่ข้ามอบเกราะจักรกลชุดนั้นให้แก่เผิงเยวี่ย หากมอบให้อู๋เชา บางทีเขาอาจหนีพ้นเคราะห์ครั้งนี้ได้” บุรุษผอมเหมือนลำไผ่เผยสีหน้าเสียใจเล็กน้อยออกมา
ตอนนี้บนป้ายศิลาลำดับของศิษย์นิกายเทียนกงด้อยกว่านิกายยอดบริสุทธิ์อยู่เล็กน้อย ไม่มีผู้ใดเข้ามาในสิบอันดับแรกเลย เผิงเยวี่ยอยู่อันดับที่ยี่สิบ ส่วนชายหนุ่มรถเงินที่พวกเขาฝากความหวังมากมายไว้ ตอนนี้ก็อยู่ในลำดับที่สิบเอ็ดเท่านั้น
“ศิษย์น้องทั้งสองไม่ต้องกังวลใจเกินไป การทดสอบเพิ่งดำเนินมาถึงครึ่งทางเท่านั้น ท้ายที่สุดจะเป็นอย่างไรก็ยังไม่อาจทราบได้ ครั้งนี้ศิษย์ของพวกเราสี่ยอดนิกายใหญ่ลำดับค่อนข้างรั้งท้าย นอกจากนี้ยังมีศิษย์ไม่น้อยตายตก เรื่องเช่นนี้ในการทดสอบครั้งก่อนๆ เกิดขึ้นน้อยอย่างยิ่ง” บุรุษวัยกลางคนผู้มีลักษณะเยี่ยงบัณฑิตอีกผู้หนึ่งเอ่ยนิ่งๆ ขึ้นประโยคหนึ่ง
หลังชายฉกรรจ์ผู้เปลือยท่อนบนกับอีกคนที่เหลือมองหน้ากันก็เผยสีหน้าเหมือนคิดบางอย่างออกขึ้นมาทั้งคู่
……
ภาพเช่นนี้ฉายซ้ำในที่พำนักของแต่ละนิกายที่ตีนเขาหิมะเป็นระยะ ลำดับบนป้ายศิลายักษ์ที่ยอดเขาหิมะไม่เพียงเกี่ยวข้องกับโชควาสนาของเด็กรุ่นหลังในนิกายเหล่านี้ ยังเกี่ยวข้องกับความรุ่งเรืองตกต่ำในอนาคตอีกเกือบพันปีของทั้งนิกายอีกด้วย ผู้อาวุโสคนสำคัญของแต่ละนิกายย่อมไม่กล้าเมินเฉยต่อเรื่องนี้
ทว่าไม่ว่าแต่ละนิกายนอกแดนลึกลับจะมีปฏิกิริยาอย่างไร งานประตูสวรรค์ก็ยังคงดำเนินไปเช่นเดิม
ในแดนลึกลับ ณ ที่แห่งหนึ่งที่ลึกไม่อาจหยั่งด้านในมิติขนาดใหญ่รูปเสากลม
พระราชวังโบราณหลังหนึ่งลอยอยู่ ณ ที่นี้ ทั้งหลังก่อขึ้นจากหินเขียว รอบด้านยังมีเสาศิลาสีขาวหลายต้นตั้งตระหง่านค้ำม่านแสงสีขาวชั้นหนึ่ง ปกป้องพระราชวังทั้งหมดไว้ด้านใน
ค่ายกลชั้นจำกัดที่อยู่ด้านนอกพระราชวังแข็งแกร่งอย่างที่สุดและแผ่ปราณจิตวิญญาณเย็นเยียบระลอกแล้วระลอกเล่าออกมา เห็นชัดว่านี่เป็นดินแดนมรดกอีกแห่งหนึ่ง
ตอนนี้ประตูใหญ่ด้านหน้าพระราชวังเปิดกว้าง ด้านในโล่งอย่างยิ่ง นอกจากแท่นบูชาที่ค่อนข้างอลังการแท่นหนึ่งก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก
แท่นบูชายาวกว้างสิบกว่าจั้ง สูงสิบจั้ง ด้านหน้าบันไดศิลาหลายร้อยขั้นเชื่อมตรงไปยังยอดของแท่นบูชา
บนบันไดศิลาหุ่นรูปมนุษย์ระดับผลึกสิบกว่าตัวนอนระเกะระกะอยู่ ตรงหน้าอกของหุ่นเหล่านี้แต่ละตัวล้วนถูกควักจนว่างเปล่า แก่นบริสุทธิ์ของพวกมันไม่มีปีกแต่บินหายไปแล้ว
บนยอดของแท่นบูชาคือแท่นสี่เหลี่ยมเรียบขนาดหลายจั้งแท่นหนึ่ง บนแท่นเรียบวาดลวดลายค่ายกลสีเลือดประหลาดบิดเบี้ยวไว้ เหนือใต้ออกตกสี่ทิศต่างมีเสาศิลาสีเขียวสูงกว่าคนเล็กน้อยต้นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่
ยามนี้สตรีผมเงินผู้หนึ่งกำลังนั่งสง่าอยู่บนเสาศิลาต้นหนึ่งทางทิศตะวันออกเงียบๆ ในมือถือตำราโบราณเล่มหนึ่งไว้กำลังศึกษาอย่างเพลิดเพลิน ข้างกายนางตำราคล้ายๆ กันซ้อนกันเป็นกอง มีมากถึงสิบกว่าเล่ม
เห็นชัดว่าสตรีผู้นี้ก็คืออิ๋นเซ่อ ศิษย์หอเป๋ยโต่วที่เป็นอันดับหนึ่งบนป้ายศิลาโชคชะตา
ด้านล่างของเสาสองสามต้นที่เหลือ ศพที่สวมเครื่องแบบต่างกันสี่ห้าร่างทอดกายอยู่ คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เลือดออกเจ็ดทวาร สภาพยามตายน่าอนาถยิ่งนัก
มรดกของที่แห่งนี้เห็นชัดว่าถูกเปิดออกแล้ว ทว่าคนที่ยังมีชีวิตอยู่ที่นี่กลับมีเพียงสตรีผู้นี้คนเดียวเท่านั้น
สตรีผมเงินคล้ายไม่สนใจภาพคลุ้งคาวเลือดรอบด้านแม้แต่น้อย เพียงพลิกอ่านตำราในมืออย่างจดจ่อตั้งใจ ใบหน้าเผยสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยออกมาเป็นระยะ
“ดูท่าในเวลาสั้นๆ อยากบรรลุคัมภีร์ลับเหล่านี้ให้หมดจะเป็นไปไม่ได้ นำกลับไปที่หอแล้วค่อยศึกษาให้ละเอียดก็แล้วกัน”
ชั่วครู่ให้หลังสตรีผมเงินจึงเงยศีรษะขึ้น นางหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยกับตนเองจากนั้นปิดตำราในมือ
หลังจากนั้นนางก็ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางงดงาม นางลูบแขนเสื้อทีหนึ่ง หมอกสีเงินจางๆ สายหนึ่งพลันม้วนออกมาจากด้านในเก็บตำรารอบด้านไปในครั้งเดียว หลังจากนั้นนางจึงทะยานร่างลงจากเสาศิลาประหนึ่งใบไม้ร่วงร่อนแผ่วเบาลงบนแท่นสูงด้านล่าง กระทั่งเสียงสักนิดก็ไม่มี
“ปั้บ” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นทีหนึ่ง!
แขนกลมกลึงของสตรีผมเงินยกขึ้นเบาๆ ฝ่ามือขาวกระจ่างตบเบาๆ ลงบนจุดหนึ่งของเสาศิลาข้างกาย ลวดลายค่ายกลบนพื้นฉับพลันสว่างขึ้นมา
นาทีต่อมาค่ายกลรูปเสากลมค่ายกลหนึ่งพลันส่งเสียงผุดขึ้นมา อักขระนับไม่ถ้วนในค่ายกลโลดแล่นไม่หยุด
สตรีผมเงินเห็นภาพนี้ ร่างกายพลันขยับก้าวเข้าไปในค่ายกล หลังแสงสว่างสีเงินแสบตาสายหนึ่งฉายขึ้น ร่างของสตรีผู้นี้ก็หายไปจากในห้องโถงใหญ่แล้ว
……
ในหุบเขาหินเขียวที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้โบราณเขียวชอุ่มเต็มสายตาแห่งหนึ่ง น้ำไหลเอื่อยๆ อยู่ในลำธารสายน้อยใสกระจ่างกว้างหนึ่งจั้งกว่าสายหนึ่งที่ทอดขวางคดเคี้ยวผ่านป่า
สองข้างลำธารหญ้าจิตวิญญาณหลากสีสันนับไม่ถ้วนงอกปะปนกันแผ่ปราณจิตวิญญาณเข้มข้นอย่างที่สุดระลอกแล้วระลอกเล่าออกมา เห็นชัดว่าเป็นสวนสมุนไพรตามธรรมชาติประหนึ่งสรวงสวรรค์บนโลกมนุษย์
ลึกเข้าไปในหุบเขา เงาคนสีดำสองร่างกำลังเคลื่อนที่รวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าแลบ
ด้านหลังร่างของทั้งสองคนฝุ่นควันม้วนตลบรอบด้าน เสียงเปรี้ยงเขย่าขวัญดังขึ้นไม่ขาด ปีศาจอสูรร่างยักษ์สูงถึงสิบกว่าจั้ง ครึ่งท่อนบนคล้ายกวางครึ่งท่อนล่างคล้ายม้าตัวหนึ่งกำลังไล่ตามมาติดๆ อย่างไม่ลดละประหนึ่งบิน
อสูรตัวนี้ไม่ใช่เพียงหน้าตาประหลาด บนร่างยังมีลวดลายจิตวิญญาณสีดำแดงสองสีเส้นแล้วเส้นเล่าเกี่ยวกระหวัดพันกับวุ่นวายไร้ระเบียบ ดวงตาสีดำเขียวสองข้างยิ่งมีประกายดุร้ายสาดออกมาเป็นระยะ
ทันใดนั้นปีศาจอสูรตัวนี้ก็ส่งเสียงร้องประหลาดดังโฮกๆ ออกมาแล้วกระโจนไปข้างหน้า เพิ่มความเร็วขึ้นฉับพลันกลางอากาศ มันอ้าปากกว้างพ่นลำแสงสีดำแดงหนาเท่าถังน้ำเส้นหนึ่งออกมา ยิงเร็วรี่เข้าใส่เงาดำสองร่างซึ่งเคลื่อนที่เร็วประหนึ่งสายฟ้าอยู่เบื้องหน้า
จุดที่ลำแสงพุ่งผ่าน อากาศรอบด้านล้วนส่งเสียงครวญครางบิดเบี้ยวตาม
ผลสุดท้ายตอนที่ลำแสงกำลังจะโจมตีลงบนเงาดำทั้งสอง เงาคนสีดำสองร่างพลันพร่าเลือนวูบหนึ่ง ขยับหลบหนึ่งซ้ายหนึ่งขวาหลบพ้นการโจมตีนี้ไป
เสียงเปรี้ยงดังขึ้น ลำแสงสีดำแดงส่งเสียงหวีดหวิดเฉียดผ่านทั้งสองคนไปร่วงตกบนหน้าผาแห่งหนึ่งด้านหน้า
จุดที่ลำแสงผ่านไป ไม่ว่าหินเขียว หญ้าจิตวิญญาณหรือสมุนไพรจิตวิญญาณล้วนสลายกลายเป็นเถ้าธุลีในชั่วพริบตาไม่มียกเว้น
“หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อ หญ้าจิตวิญญาณในหุบเขาเกรงว่าคงถูกทำลายไปไม่น้อย” เสียงสตรีแหลมเล็กเสียงหนึ่งดังขึ้นจากเงาดำด้านซ้ายในพริบตา
“อย่าดึงดันสู้ที่นี่ พวกเราล่อมันออกจากหุบเขาก่อนค่อยว่ากัน” เงาดำอีกร่างหนึ่งเอ่ยเสียงเข้ม
เป้าหมายของทั้งสองคนย่อมเป็นการเก็บสมุนไพรจิตวิญญาณ จึงไม่อาจลงมือใหญ่โตในหุบเขาได้ มิเช่นนั้นแม้สังหารอสูรตัวนี้ได้ ก็เลี่ยงทำลายสมุนไพรจิตวิญญาณค่อนครึ่งหุบเขาไปด้วย เช่นนั่นย่อมได้ไม่คุ้มเสีย
เสียงสตรีแหลมเล็กขานตอบเบาๆ คำหนึ่ง จากนั้นมือก็ใช้เคล็ดวิชา ปราณสีดำที่ปกคลุมแผ่นหลังอยู่ฉับพลันยืดออกเป็นปีกยาวหนึ่งจั้งกว่าคู่หนึ่ง ปีกกระพือเบาๆ เล็กน้อยความเร็วก็เพิ่มขึ้นหลายส่วนในทันใด
หุบเขาแห่งนี้ขนาดแค่ไม่กี่หมู่เท่านั้น เมื่อเงาดำสองร่างตั้งใจล่อ ปีศาจอสูรประหลาดครึ่งกวางครึ่งม้าก็ถูกล่อมาถึงนอกหุบเขาอย่างรวดเร็วยิ่ง
“ท่านพี่ ท่านไม่ต้องลงมือ ปีศาจอสูรตัวนี้มอบให้ข้าจัดการเองเถิด” หลังสตรีนางนั้นเอ่ยเรียบๆ นางก็หมุนตัวหยุดอยู่กลางอากาศในทันใด เพลิงปราณสีดำทั่วร่างลุกโชนออกมาแล้วผนึกรวมรอบตัวนางอย่างรวดเร็ว ถักทอเป็นภาพสัญลักษณ์วิหคเพลิงมหึมาสูงสี่ห้าจั้งตัวหนึ่ง
“ได้ ถ้าเช่นนั้นก็ยกให้น้องเล็กแล้ว”
เงาดำอีกร่างหัวเราะ แสงสีดำม้วนไปปรากฏอยู่บนศิลายักษ์สีเทาก้อนหนึ่ง ยืนสองมือไพล่หลัง
เงาดำสองร่างนี้ไม่ใช่ใครอื่น พวกเขาก็คือเซียนหงส์ดำกับพี่ชายของนางนั่นเอง
ระหว่างที่ทั้งสองคนไล่สังหารศิษย์ตระกูลอื่นสองสามคนอยู่ก็มาถึงที่แห่งนี้ พบสมุนไพรจิตวิญญาณตามธรรมชาติในหุบเขาแห่งนี้พอดี
พวกเขาสองคนจึงไม่ไล่ตามศิษย์เหล่านั้นอีก ไม่พูดพร่ำเป็นคำที่สองบุกเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขา
ผลสุดท้ายพบว่าในหุบเขาแห่งนี้มีสมุนไพรจิตวิญญาณอายุหลายร้อยปีกระทั่งพันกว่าปีอยู่จำนวนหนึ่งจึงยินดีอย่างที่สุดในทันใด!
ทว่าแดนจิตวิญญาณเช่นนี้ย่อมมีปีศาจอสูรเฝ้าพิทักษ์อยู่
สัตว์ประหลาดครึ่งกวางครึ่งม้าที่ซ่อนตัวอยู่ใจกลางหุบเขาตัวนี้เป็นปีศาจอสูรระดับแก่นเสมือนตัวหนึ่ง ไม่เพียงพลังป้องกันน่าตะลึง ลำแสงสีดำแดงที่พ่นออกมายิ่งมีพลังมหาศาลเผาทุกสิ่งเป็นขี้เถ้าได้ นอกจากนี้ด้วยความเกรี้ยวกราดมันจึงไม่สนใจไยดีสมุนไพรจิตวิญญาณเต็มสวนในหุบเขาสักนิด
เพียงแต่เมื่อครู่นี้ทั้งหุบเขาจิตวิญญาณก็เกรงว่าคงมีพื้นที่หนึ่งในสิบส่วนกลายเป็นพื้นดินไหม้เกรียม สมุนไพรจิตวิญญาณที่เสียไปกับเหตุการณ์นี้หากอยู่ที่โลกภายนอกคงราคาสูงเทียมฟ้า
นี่ทำให้เซียนหงส์ดำกับพี่ชายปวดใจมากยิ่งนัก
ปีศาจอสูรประหลาดเห็นเซียนหงส์ดำหยุดก็แหงนหน้าส่งเสียงร้องทุ้มต่ำประหลาดออกมา สี่ขากระทืบพื้นพุ่งเข้าไปอย่างไม่ลังเลสักนิด
เซียนหงส์ดำเห็นเช่นนี้ ในดวงตางามพลันมีแววตาเย้ยหยันจางๆ เปลวเพลิงสีดำทั่วร่างลุกโหม ร่างกายผสานเข้ากับเงาวิหคเพลิงสีดำเบื้องหลัง
เสียงวิหคดังกังวานไปถึงเก้าชั้นฟ้า!
วิหคเพลิงสีดำบินวนบนท้องฟ้ารอบหนึ่ง จากนั้นสองปีกพลันหุบ ไม่ถอยกลับรุกคืบกลายเป็นลูกบอลแสงสีดำสนิทดิ่งลงไปหาปีศาจอสูรประหลาดตัวนั้น