เวลานี้เองบุรุษชุดม่วงหกคนที่เดิมทีเดินไม่หยุดอยู่ฝั่งตรงข้ามก็พากันชะงักฝีเท้า ชายฉกรรจ์ผู้รูปร่างดั่งหอคอยเหล็กที่อยู่ตำแหน่งตรงกลางฉับพลันตวาดลั่น สามง่ามบินเจ็ดเล่มยกขึ้นพร้อมกันลำแสงสีม่วงสายหนึ่งพุ่งออกมาจากปลายแหลม ชั่วพริบตารวมกันเบื้องหน้าชายฉกรรจ์ผู้รูปร่างดั่งหอคอยเหล็กอย่างพร้อมเพรียง
เสียงเปรี้ยงดังขึ้นหนึ่งหน ลำแสงมหึมาหนาเท่าถังน้ำเส้นหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมาจากตรงที่ชายฉกรรจ์อยู่
มู่หรงเซวี่ยเยวี่ยเห็นภาพนี้ ดวงตาพลันฉายแววโหดเหี้ยม มือหนึ่งกำด้านพัดของพัดขนนกสีดำ พัดไปด้านหน้าอย่างรุนแรง
เสียงฟู่ดังขึ้นหนึ่งหน!
เปลวเพลิงดำสนิทสายหนึ่งโถมออกมาจากบนพัด ต่อจากนั้นเปลวเพลิงพลันรวมตัวอยู่ตรงกลางกลายเป็นหงส์เพลิงสีดำขนาดหนึ่งจั้งกว่าตัวหนึ่ง หลังมันโต้ลมก็ขยายขึ้นจนใหญ่สิบกว่าจั้ง ลากขนหางยาวสองเส้นประจันหน้าเข้าใส่ลำแสง
…….
เวลาชั่วจิบชาหนึ่งถ้วยให้หลัง บุรุษชุดม่วงเจ็ดคนล้วนหายตัวไปไร้ร่องรอย จุดที่พวกเขาเคยยืนอยู่ปรากฏรอยไหม้สีดำสนิทขนาดมหึมาราวหนึ่งหมู่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งจุด
เซียนหงส์ดำมองรอยไหม้ที่อยู่ไกลๆ แล้วอ้าปากเล็กน้อย บนหน้ายังคงหลงเหลือสีหน้าตกใจอยู่ มู่หรงเซวี่ยเยวี่ยด้านข้างยกแขนขึ้นเล็กน้อย ไอหมอกสีเทาขมุกขมัวสายแล้วสายเล่าไหลเข้าไปตรงข้อมือของเขา ทำให้ผิวของโซ่เส้นน้อยสว่างขึ้นหลายส่วนในทันใด
งานประตูสวรรค์ดำเนินมาจนถึงตอนนี้ ผู้ฝึกฝนของแต่ละนิกายแต่ละสำนักล้วนสั่งสมโชคชะตามาได้ไม่น้อยแล้ว ความขัดแย้งระหว่างกันยิ่งมากขึ้นทุกทีจนกลายเป็นบ่อยครั้งอย่างที่สุด สืบเนื่องจากเรื่องนี้ชื่อที่หม่นแสงหายไปจากบนป้ายศิลาโชคชะตานอกแดนลึกลับก็ยิ่งมากขึ้นจนหายไปเกือบหนึ่งในสองส่วนแล้ว
…….
ในแดนลึกลับ หน้าหอคอยศิลามหึมาที่ด้านนอกดูเก่าแก่แห่งหนึ่ง บนศิลายักษ์ขาวสะอาดไร้ตำหนิก้อนหนึ่ง ค่ายกลขนาดใหญ่หนึ่งจั้งกว่าค่ายกลหนึ่งถูกแสงสีเงินจางๆ ล้อมไว้ รอบด้านค่ายกลมีช่องว่างขนาดเท่าไข่ไก่สี่ช่องที่ส่องแสงจิตวิญญาณจางๆ อยู่
ที่แห่งนี้เห็นชัดว่าคือดินแดนมรดกแห่งหนึ่งเช่นกัน เพียงแต่ดูแล้วขนาดไม่ใหญ่นัก
รอบด้านค่ายกลบนศิลายักษ์ บุรุษผู้ปกปิดหน้าตา สวมชุดยาวสีเขียวปักภาพสัญลักษณ์งูยักษ์สีแดงฉานสองคนกับชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ผู้เปลือยท่อนบน ท่อนล่างพันหนังอสูรสองคนกำลังถือเศษชิ้นส่วนมรดกที่ทอประกายสีเงินชิ้นหนึ่งอยู่ในมือ ยืนกระจายกันอยู่ ไม่ไกลจากพวกเขาศพที่เลือดเนื้อเละเทะสิบห้าสิบหกร่างทอดนอนนิ่งสงบ สภาพการตายอนาถจนทนดูไม่ได้
“เอาล่ะ ในเมื่อตอนนี้อุปสรรคถูกกำจัดแล้ว เช่นนั้นก็รีบเปิดมรดกเถอะ เวลาเหลืออยู่ไม่มากแล้ว” บุรุษผู้สวมชุดอสรพิษคนหนึ่งเอ่ยเสียงเข้มด้วยเสียงแหบพร่าอย่างยิ่ง
“จำไว้ล่ะว่าต้องทำตามที่พวกเราสองนิกายตกลงก่อนหน้านี้ มรดกที่ได้ แบ่งกันสามส่วนเจ็ดส่วน พวกเรานิกายสามพนาได้เจ็ดส่วน พวกเจ้านิกายภูตพรายได้สามส่วน!” ชายฉกรรจ์เคราเฟิ้มเท้าเปลือยเปล่าผู้หนึ่งอ้าปากเอ่ยด้วยเสียงกังวานประหนึ่งระฆัง
“รู้แล้ว เข้าไปก่อนค่อยว่ากันก็ไม่สาย!” บุรุษผู้ปิดบังใบหน้าเสียงแหบพร่าคนหนึ่งฝั่งตรงข้ามได้ยินก็รีบร้อนทนรอไม่ไหวอยู่บ้าง
ขณะที่ทั้งสี่คนโยนเศษชิ้นส่วนในมือไปในค่ายกล เงาเลือนรางที่ถูกแสงสีแดงหุ้มไว้ร่างหนึ่งพลันพุ่งเร็วรี่ออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งใกล้ๆ ชั่วพริบตาปรากฏขึ้นเบื้องหน้าคนทั้งสี่ ในเวลาเดียวกันแสงสีแดงแถบหนึ่งก็ส่องออกมาจากร่างพุ่งออกไปสี่ด้านแปดทิศ
เสียงชือๆ ดังขึ้นกลางอากาศ แสงเรืองรองสีแดงฉานประหนึ่งสายฟ้าแลบแล่นผ่านบนร่างทั้งสี่คนไป
บุรุษผู้ปิดบังใบหน้าสวมชุดอสรพิษสองคนรวมถึงชายฉกรรจ์เท้าเปล่าอีกคนหนึ่งไม่ทันป้องกัน ปราณแกร่งคุ้มครองร่างถูกแสงแดงฉานฟันทีเดียวสลาย ล้มโครมลงไปกับพื้นพร้อมกัน ตรงลำคอเลือดสดไหลทะลัก เห็นชัดว่าถูกฟันทีเดียวขาด
โซ่แห่งโชคชะตาบนข้อมือของพวกเขาแตกสลายตาม ไอหมอกสีเทาหลายสายลอยออกมาทยอยม้วนเข้าไปในแสงสีเลือด
ชายฉกรรจ์เคราเฟิ้มผู้นั้นในชั่วเส้นยาแดงผ่าแปดเร่งเคลื่อนร่างหลบแสงสีแดงพ้นอย่างหวุดหวิด แต่บนใบหน้าก็ทิ้งรอยฟันเล็กยาวรอยหนึ่งไว้ ด้วยความตกตะลึงและเกรี้ยวโกรธเขารีบเคลื่อนพลังเวทในร่าง สร้างเกราะป้องกันสีแดงฉานอันหนึ่งรอบร่างแล้วตวาดเกรี้ยวกราดเสียงดัง
“ผู้ใดกล้าลอบโจมตีข้า…”
ผลปรากฏว่ายังไม่ทันสิ้นเสียง แสงเรืองรองสีแดงฉานประหลาดก็ซัดมา แล่นผ่านตรงลำคอของชายฉกรรจ์เคราเฟิ้มด้วยความเร็วที่เร็วยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ เกราะป้องกันที่ล้อมร่างเขาประหนึ่งไม่มีอยู่ถูกโจมตีทีเดียวทลายอีกหน
เสียงเปรี้ยงดังขึ้น!
บนใบหน้าของชายฉกรรจ์เคราเฟิ้มเต็มไปด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ เขาอ้าปากเอ่ยวาจาฟังไม่ชัดสองสามคำในลำคอ จากนั้นหงายล้มตึงไปกับพื้น
เวลานี้เสียงถอนหายใจแผ่วเบาก็ดังออกมาจากแสงสีแดง ชายหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลาผู้หนึ่งเดินออกมาช้าๆ
“ขออภัยทั้งสี่ท่านด้วย แม้ผู้แซ่หลี่ไม่มีความแค้นใดๆ กับพวกท่าน แต่เพื่อความรุ่งเรืองของตระกูลในภายภาคหน้าก็ได้แต่เอาชีวิตของพวกท่านแล้ว” ชายหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลาประสานมือคำนับศพของพวกเขาแล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้านิ่งสงบ
เวลานี้ค่ายกลที่ใส่เศษชิ้นส่วนมรดกสี่ชิ้นเข้าไปแล้วฉับพลันก็เปล่งแสงสีเงินสว่างจ้า สายใยสีเงินสายแล้วสายเล่าพุ่งขึ้นมาจากตรงกลางรวมตัวกลายเป็นลูกบอลหมอกสีเงินขนาดหนึ่งจั้งกว่าลูกหนึ่งกลางอากาศเหนือศิลายักษ์ ลูกบอลหมอกกะพริบวิบวับสองสามหนก็บินไปยังประตูใหญ่ของหอคอยศิลาจากนั้นจมหายไปในประตูใหญ่ในทันใด
นาทีต่อมาลวดลายจิตวิญญาณสีเงินรูปร่างคล้ายอสรพิษนับไม่ถ้วนบนประตูก็ส่องสว่าง จากนั้นเสียงเปรี้ยงดังสนั่นก็ดังขึ้นหนึ่งหน ประตูใหญ่เปิดออก
ชายหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลาเห็นเช่นนี้ มือข้างหนึ่งก็ยกขึ้น หลังแสงสีแดงฉานสายหนึ่งเก็บยันต์เก็บของและของอื่นๆ ของทั้งสี่คนไป เขาก็กลายเป็นเงาสีแดงพร่ามัวเงาหนึ่งพุ่งเร็วรี่เข้าไปในประตูใหญ่ของหอคอยศิลา
…….
บนทุ่งหญ้ากว้างซึ่งมองไปไร้ที่สิ้นสุด ท้องฟ้าสีครามสะอาด เมฆขาวก้อนแล้วก้อนเล่า มองจากที่สูงทำให้คนรู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง
มุมหนึ่งของทุ่งหญ้าอันเงียบสงบแห่งนี้ เงาคนที่แบ่งเป็นสองกลุ่มอย่างชัดเจนสิบกว่าร่าง ประจันหน้ากันอยู่ไกลๆ บรรยากาศตึงเครียดอย่างที่สุด
ฝั่งหนึ่งคือคนห้าหกคนที่ศีรษะสวมขนนก ร่างห่มชุดหนังสัตว์ แต่งกายประหนึ่งเผ่าหมาน อีกฝั่งหนึ่งเป็นผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจสิบคนที่ไอปีศาจท่วมท้น หน้าตาแตกต่างกันไป
“สหายทั้งหลาย พวกเราฝั่งนี้มีถึงสิบคน พวกเจ้ามีเพียงหกคนเท่านั้น ในงานประตูสวรรค์เวลาล้ำค่ายิ่งนัก จะสู้เอาเป็นเอาตายกับพวกเราให้ได้จริงหรือ?” ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจด้านนี้ เผ่าปีศาจที่หน้าตาดั่งหนูไว้เครายาวเอ่ยขึ้นอย่างคุกคาม
“เหอะ! หากสั่งสมโชคชะตาได้อันดับรั้งท้ายในงานประตูสวรรค์นี้ เผ่าของพวกเราจักต้องพบภัยครั้งใหญ่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไม่สู้ตัดสินเป็นตายที่นี่เสียก่อน แย่งโชคชะตากลับไปเพิ่มขึ้นหน่อย เช่นนี้ความรุ่งเรืองร้อยปีของเผ่าเราถึงจะเริ่มต้นขึ้นตรงนี้ได้”
ชายหนุ่มบึกบึนเผ่าหมานผู้เป็นหัวหน้าแค่นเสียงหยันตอบกลับ ต่อจากนั้นมือข้างหนึ่งก็ตบเอวอย่างไม่รีรอสักนิด แสงสีเทาสามสายม้วนออกมาจากข้างเอวแปลงกายกลายเป็นหมาในสีเทาขนาดสองสามจั้งสามตัว เขี้ยวยาวเผยออกมาด้านนอก ดวงตาสีเขียวเรืองๆ จ้องเผ่าปีศาจฝั่งตรงข้ามเขม็ง
เผ่าหมานคนอื่นเห็นเช่นนี้ก็พากันสะบัดแขนเสื้อปล่อยอสูรเลี้ยงนานาชนิดออกมาด้วย หนอน อสรพิษ เสือ เสือดาวล้วนมีทั้งสิ้น รวมเข้าด้วยกันมีมากถึงสามสี่สิบตัว เมื่อรวมกันแล้ว อำนาจน่าหวั่นเกรงยิ่งนัก
“ฮ่ะๆ เล่นอสูรเลี้ยงต่อหน้าพวกเรา น่าขำจริงๆ ในเมื่อสุราคารวะไม่ดื่มจะดื่มสุราลงทัณฑ์ ถ้าเช่นนั้นก็อย่าโทษข้าไม่เตือนเจ้า พี่น้องทั้งหลาย พวกเราบุก!”
เมื่อเห็นว่าเจรจาล้มเหลว เผ่าปีศาจหน้าหนูก็ไม่สิ้นเปลืองคำพูดอีก รอบร่างไอปีศาจสีเทาพวยพุ่งออกมาฉับพลันกลายร่างเป็นหนูตะเภายักษ์ขนาดสิบกว่าจั้งตัวหนึ่ง สองตาทอประกายแดงฉาน โถมไปด้านหน้าพุ่งเข้ากัด
ด้านหลังร่างเขาไอปีศาจนานาสีสันผุดขึ้นตามต่อกัน ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่เหลือเก้าคนพากันกึ่งกลายร่างเป็นปีศาจหรือเผยร่างเดิม พุ่งเร็วรี่เข้าใส่หกคนเบื้องหน้าตามหนูตะเภาไปติดๆ เช่นเดียวกัน
ชั่วขณะหนึ่งบนท้องฟ้าเหนือทุ่งหญ้าเวิ้งว้างที่เดิมทีเงียบสงบ หมอกแสงนานาสีสันพุ่งขึ้นฟ้า เสียงดังสนั่น เสียงเข่นฆ่า เสียงกรีดร้องสะเทือนฟ้าดังลอยล่องออกไปไกลโพ้นไม่ขาด
……
ลึกเข้าไปในเขาวงกตอุโมงค์หินเขียว หลิ่วหมิงเข้ามาในเขาวงกตแล้วสองชั่วยาม
หลิ่วหมิงเวลานี้ยังคงหาทางออกจากเขาวงกตไม่พบ ถึงขั้นที่ยิ่งเดินยิ่งรู้สึกร้อนรนจิตใจไม่สงบ
เขาวงกตทั้งหมดแรกเริ่มยังนับว่าธรรมดา เขาอาศัยพลังจิตอันแข็งแกร่งกับความเร็วอันว่องไว ดันทุรังจดจำทางแยกก่อนหน้าแล้วตัดออกทีละอันๆ ก็คล้ายจะแก้เขาวงกตไปได้ค่อนครึ่งแล้ว
ทว่าต่อมาเมื่ออุโมงค์หินเขียวปรากฏขึ้นมากขึ้นทุกที แม้จิตสัมผัสของเขาจะแข็งแกร่งก็ไม่ไหวเช่นกัน
ตอนนี้เขายืนพักเท้าอยู่ตรงอุโมงค์ทางแยกสามทางแห่งหนึ่ง สีหน้าเริ่มย่ำแย่อยู่บ้าง
จากความทรงจำในสมองของเขา เบื้องหน้าสมควรมีทางแยกคดเคี้ยวสองทางถึงจะถูก
“เป็นอย่างที่คิด เขาวงกตแห่งนี้ทุกช่วงเวลาหนึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตลอด” หลิ่วหมิงพึมพำแล้วยิ้มเจื่อนๆ
อยู่ต่อหน้าเขาวงกตที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความจำของเขาดีขนาดไหนก็ไร้ประโยชน์
“นายท่าน ไม่สู้ให้เซียเอ๋อร์ลองดูเถิด บางทีข้าอาจหาทางออกจากเขาวงกตนี้พบ!”
ขณะที่หลิ่วหมิงลังเลอยู่นั่นเอง ในถุงหนังถุงหนึ่งข้างเอวพลันมีเสียงใสกังวานรื่นหูของหญิงสาวดังออกมา
“อ้อ เซียเอ๋อร์ เจ้ามีวิธีดีๆ อันใด?” หลิ่วหมิงได้ยิน สองตาพลันเป็นประกาย
“นายท่าน ท่านลืมเสียแล้วหรือว่าตอนนี้ข้ามีพลังควบคุมพลังงานธาตุดิน ในเมื่อที่นี่อยู่ลึกลงมาใต้ดิน สัมผัสของข้าจึงเฉียบคมยิ่งกว่าปกติมาก บางทีใช้ประโยชน์จากจุดนี้อาจหาทางออกพบ ก่อนหน้านี้เซียเอ๋อร์อยู่ในถุงจึงไม่อาจสำแดงพลังนี้ได้เต็มที่” เซียเอ๋อร์หัวเราะเบาๆ เอ่ยบอก
“ในเมื่อเจ้าเชื่อมั่นในตนเองเช่นนี้ เช่นนั้นตอนนี้ก็ลองดูก่อนเถิด” หลังหลิ่วหมิงครุ่นคิดชั่วครู่ก็พยักหน้า มือข้างหนึ่งตบข้างเอว ไอหมอกสีดำสายหนึ่งม้วนออกมาหมุนติ้วเบื้องหน้าร่างจากนั้นรวมตัวกันเผยสตรีชุดตาข่ายสีดำรูปร่างเพรียวระหงคนหนึ่งออกมา
“นายท่าน โปรดรอสักครู่”
หลังสตรีผู้งดงามยิ้มหวานให้หลิ่วหมิงก็ลงไปนั่งขัดสมาธิ หลับตาสองข้าง ปากเอ่ยท่องมนตร์
หลังจากนั้นครู่หนึ่งบนร่างของนางพลันปรากฏเพลิงปราณสีเหลืองจางๆ ชั้นหนึ่งเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ นิ่งสงบราบเรียบ แลดูเชื่องอ่อนโยนอย่างยิ่ง
พริบตาที่เพลิงปราณสีเหลืองปรากฏ หลิ่วหมิงก็เลิกคิ้วสองข้างขึ้น
เขาสัมผัสได้เลือนรางว่ามีคลื่นพลังเวทธาตุดินวงแล้ววงเล่าขยายออกมาจากเพลิงปราณสีเหลืองที่ไม่สะดุดตาสักนิดนี้
ชั่วครู่ให้หลังเซียเอ๋อร์พลันลืมตาสองข้างขึ้น ทันใดนั้นเพลิงปราณสีเหลืองอ่อนบนร่างก็ผนึกรวมหน้าร่างนางกลายเป็นเงาแมงป่องกระดูกสีน้ำตาลทองตัวหนึ่ง มันสูงถึงสามจั้ง แทบจะแตะถูกเพดานอุโมงค์
ในดวงตาหลิ่วหมิงฉายประกายประหลาด เขาเพิ่งเคยเห็นแมงป่องกระดูกใช้พลังเช่นนี้เป็นครั้งแรก ชั่วความคิดแล่นร่างกายเขาก็ไหววูบมาปรากฏตรงหน้าร่างเงาแล้วยื่นนิ้วออกมาจิ้ม
นิ้วจมลงไปในเงาอย่างง่ายดาย แตะไม่ถูกมวลสารอันใด ตรงปลายนิ้วสัมผัสความอบอุ่นจางๆ สายหนึ่งไหลผ่านไป
หลังเซียเอ๋อร์ผนึกเงาแมงป่องสีน้ำตาลทองตัวนี้ออกมา บนหน้าก็ฉายแววเหนื่อยล้าเล็กน้อย ดูแล้วกินแรงไปหลายส่วน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ คิดก็ไม่คิดรั้งนิ้วกลับมา จากนั้นมืออีกข้างหนึ่งใช้เคล็ดวิชา สะบัดมือส่งพลังเวทบริสุทธิ์สายหนึ่งเข้าไปในร่างนาง
เมื่อได้ความช่วยเหลือของหลิ่วหมิง สีหน้าของเซียเอ๋อร์ก็นับว่าดีขึ้นอยู่บ้าง มือข้างหนึ่งแตะตรงกลางหว่างคิ้ว สองตาฉับพลันเปล่งแสงสีเหลืองขมุกขมัว
เงาแมงป่องกระดูกยักษ์คล้ายได้รับคำสั่ง ขาทั้งหกเคลื่อนพร้อมกันพุ่งดังฟึบไปยังทางแยกเบื้องหน้า