ครู่ต่อมากลิ่นไอบนตัวชายหน้าดำก็เข้มขึ้นมาทันที เส้นโลหิตบนผิวหนังสั่นไหวจนนูนออกมาเป็นสีเขียวราวกับไส้เดือน ท่ามกลางเสียงที่ดังราวกับจุดประทัดร่างของเขาก็สูงขึ้นมาประมาณหนึ่งช่วงศีรษะ อักขระสีแดงเลือดจำนวนมากพุ่งออกมาจาก มันโอบล้อมร่างของชายหนุ่มไว้
ชายหน้าดำหัวเราะ ขณะที่กระบองสีทองในมือก็ขยายใหญ่ไปกว่าเดิมเกือบครึ่งหนึ่ง มือทั้งสองจับมันไว้แน่นจากนั้นก็หวดไปปะทะกับท่อนไม้ใหญ่สีเขียวในมือวานรยักษ์
พริบตาเดียวก็มีเสียงดังสนั่นดังออกมาติดต่อกันจากป่าดงดิบ
พอหลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกแสบแก้วหูราวกับว่ามีเสียงฟ้าแลบฟ้าร้องดังอยู่ข้างหนู
เขารับทำท่ามือด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป หลังจากส่งพลังเวทย์ขึ้นไปที่หูแล้วถึงค่อยรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่ก็อดรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้
ตั้งแต่ที่เขาฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำ ก็คิดเอาเองมาตลอดว่าพลังของตนเองแข็งแกร่งกว่าศิษย์ทั่วไปมาก แต่เมื่อเทียบกับชายหน้าดำกับวานรยักษ์ตรงหน้าแล้วมันแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ถ้าหากเขาเข้าไปต่อสู้กับทั้งสองด้วยลักษณะที่ปะทะกันเช่นนี้ เกรงว่าภายในไม่กี่กระบวนท่าเขาคงกระอักเลือดถอยออกมาแล้ว
แต่ในขณะที่เขากำลังตกใจอยู่นั้นกลับค้นพบถึงสาเหตุที่พลังของชายหน้าดำเปลี่ยนไปจนน่าตกตะลึงเช่นนี้ มันดูเหมือนจะเกิดจากการใช้เคล็ดวิชาบางอย่างกระตุ้นพลังศักยภาพออกมา และความแข็งแกร่งของมันก็มีมากกว่าเคล็ดวิชาทั่วไปมากนัก แต่ก็ไม่รู้ว่าหลังจากการกระตุ้นแล้วมันจะมีผลกระทบอะไรหรือไม่
ขณะนี้ ดูเหมือนว่าบริเวณรอบๆ ป่าดงดิบจะมีเงาร่างของคนสามสี่คนเคลื่อนไหวอยู่ ประจักษ์ชัดว่าพวกเขาเหล่านั้นต่างก็ได้รับผลกระทบของเสียงจนต้องหลบซ่อนตัว
อย่างไรก็ตาม หลิ่วหมิงมองเห็นเพียงเงาร่างที่เคลื่อนไหว และไม่สามารถมองเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของพวกเขาได้ เพราะพวกเขาอยู่ค่อนข้างไกล
แน่นอน ถ้าหากเข้าไปใกล้อีกหน่อยจะต้องมองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่ถ้าทำเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเปิดเผยตำแหน่งของตัวเองไปด้วย
การทำเช่นนี้ในขณะที่ยังไม่รู้ว่าคนเหล่านี้เป็นมิตรหรือศัตรู มันย่อมเป็นเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว แต่พริบตาเดียวก็นึกอะไรบางอย่างได้อย่างรวดเร็ว เขาทำท่ามือพร้อมกับหยิบผลึกมุกสีขาวเม็ดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ และปล่อยวิชาต่างๆ ใส่มัน
ครู่ต่อมา ผลึกมุกก็เปล่งแสงสีขาวสลัวออกมา ขณะเดียวกันก็มีจุดสีดำขนาดเล็กเท่าเมล็ดข้าวสารจุดหนึ่งปรากฏอยู่ในนั้น
ไม่คาดคิดว่าจะมีศิษย์นิกายปีศาจอยู่ที่นั่นด้วย!
หลังจากที่หลิ่วหมิงกะดูตำแหน่งคร่าวๆ ของจุดสีดำในผลึกมุก และมองไปยังป่าดงดิบแล้วก็ปรากฏสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา
และในขณะนั้นเองการต่อสู้อันดุเดือดในป่าดงดิบนั้นก็สิ้นสุดลง
หลังจากที่ชายหนุ่มหน้าดำแสดงเคล็ดวิชาเฉพาะที่ทำให้พลังในร่างเพิ่มขึ้นเท่ากว่าๆ แล้วก็คำรามเสียงต่ำออกมา กระบองสีทองในมือก็โจมตีท่อนไม้ใหญ่สีเขียวจนแตกละเอียด และถือโอกาสฟาดลงบนไหล่ข้างหนึ่งของวานรยักษ์อย่างรุนแรง
วานรยักษ์สีเทาส่งเสียงร้องแหลมอย่างน่าเวทนาออกมาพร้อมกับแขนของมันที่ร่วงลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง เห็นได้ชัดว่ามันถูกกระบองยักษ์ฟาดเข้าที่ไหล่จนบาดเจ็บสาหัสมาก ในที่สุดดวงตาทั้งสองที่เต็มไปความฮึกเหิมก็ฉายแววหลาดกลัวออกมา มันหมุนตัวกระโดดถอยออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รอให้ชายหน้าดำโจมตีอีกครั้ง
ชายหน้าดำทำเสียงฮึดฮัดแล้วคิดที่จะถือกระบองไล่ตามไป แต่เท้าทั้งสองพลันอ่อนแรงแล้วล้มลงไปบนพื้น
ดูเหมือนว่าการต่อสู้อันดุเดือดเมื่อครู่จะทำให้เขาสูญเสียพลังไปไม่ใช่น้อย
เกราะโลหิตกับอักขระโลหิตบนตัวของชายหน้าดำหายไปอย่างรวดเร็ว กระบองสีทองในมือก็ค่อยๆ ลดขนาดจนเล็กลง
ขณะเดียวกัน ตอนที่วานรยักษ์ตนนั้นเพิ่งจะหนีมาถึงอีกฝั่งของชายป่าดงดิบ พลันมีเสียงดังขึ้นมาจากพื้นบริเวณนั้น ท่ามกลางเศษดินจำนวนมากที่ปลิวว่อน ปีศาจกระดูกขนาดใหญ่ที่มีหัวเป็นวัวร่างเป็นมนุษย์ก็พุ่งออกมาพร้อมกับไอสีดำที่ปกคลุมอยู่ หลังจากที่คำรามเสียงต่ำออกมาแล้วก็กระโจนเข้าใส่วานรยักษ์จนล้มลงบนพื้น
พริบตานั้นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาสองตัวก็เริ่มต่อสู้และกัดกันอย่างรุนแรง
มีเงาร่างเคลื่อนไหวออกมาจากต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ตรงหลังชายหน้าดำ ชายชุดคลุมสีเทาสวมหน้ากากสีเงินผู้หนึ่งเดินเข้ามาโดยไร้สุ้มเสียง และถามออกไปอย่างราบเรียบ
“เป็นอย่างไรบ้าง ยังเคลื่อนไหวได้อยู่ไหม?”
“เฮ่อๆ วางใจเถอะ ข้าแค่สูญเสียพลังไปเล็กน้อยเท่านั้น พักผ่อนอีกสักหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว แต่ถ้ามีเจ้าอยู่ล่ะก็ เจ้าพวกที่คิดจะฉวยโอกาสคงไม่กล้าเข้ามาแล้ว” ชายหน้าดำกล่าว
“ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ รู้ทั้งรู้ว่าหุบเขาเก้าช่องชำนาญวิชาควบคุมหุ่นมากที่สุด เจ้าเป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ของหุบเก้าช่องกลับไปฝึกวิชาต่อสู้แบบประจัญบานสำหรับร่างฝึก แต่ด้วยพลังอันดุร้ายของเจ้าในตอนนี้ เกรงว่าเมื่อศิษย์หอสายธารโลหิตผู้นั้นเห็นเข้าคงต้องร้องปวดหัวเลยล่ะมัง” ชายชุดคลุมสีเทาผู้นั้นก็คือหยางเฉียนนั่นเอง ฟังจากน้ำเสียงแล้วเขากล่าวด้วยความรู้สึกไม่พอใจ
“ครั้งก่อนวิชาฝึกร่างของข้ายังไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบ ถ้าหากครั้งนี้ยังได้พบเจอกับอสรพิษตนนั้นอีกล่ะก็ จำต้องขอคำชี้แนะดูว่าวิชาดาบโลหิตของมันว่าฝึกฝนไปถึงขั้นไหนแล้ว” ชายหน้าดำหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น
“ช่างเถอะ! ข้าไม่ได้สนใจชัยชนะเลยแม้แต่น้อย แต่อยากจัดการวานรยักษ์บนเขาเหล่านี้ให้หมดโดยเร็ว จะได้ค้นหาของล้ำค่าได้มากขึ้น นั่นถึงเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับข้า” หยางเฉียนทำเสียงฮึดฮัดกล่าวออกมา
“ถ้าจะจัดการวานรยักษ์บนเขาจริงๆ ลำพังแค่เราสองคนคงต้องใช้พลังเยอะหน่อย เพียงแค่หลอกล่อตนนี้ให้ออกมาได้ก็ใช้เวลาไปสามสี่วัน ถ้าใช้วิธีเดียวกันนี้กับวานรยักษ์ที่เหลือล่ะก็ เกรงว่าคงมีเวลาไม่มากพอ อย่าลืมสิ! พวกเราต้องเผื่อเวลาสำหรับกลับไปตรงทางเข้าด้วย” ชายหน้าดำกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งครึม
“ในเมื่อเราสองคนไม่เพียงพอ งั้นก็หาอีกสองคนเถอะ! ถ้าข้าดูไม่ผิดล่ะก็คนที่แอบหลบดูอยู่เมื่อครู่นั้น คงมีคนหนึ่งที่เป็นศิษย์หุบเขาเก้าช่องของพวกเจ้า ส่วนอีกคนนั้น…” ขณะที่หยางเฉียนกล่าวออกมานั้น ก็หยิบผลึกมุกสีขาวออกมาแล้วกวาดสายตามองดูอยู่ครู่หนึ่ง
หลังจากที่ผลึกมุกเปล่งแสงสีขาวออกมาก็มีจุดสีดำอยู่ในนั้นหนึ่งจุด
ขณะนี้ ท่ามกลางการต่อสู้ของสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาทั้งสองนั้น เนื่องจากแขนของวานรยักษ์บาดเจ็บไปข้างหนึ่งทำให้ไม่สามารถใช้การได้ เห็นได้ชัดว่ากำลังเสียเปรียบอยู่ ตอนนี้มันโดนปีศาจกระดูกขนาดใหญ่กดอยู่บนพื้น และใช้เขาวัวอันแหลมคมทั้งสองแทงเข้าไปตรงอกจนโลหิตสดๆ ทะลักออกมาเป็นจำนวนมาก
วานรยักษ์ร้องออกมาอย่างเวทนาในทันที มันใช้แขนอีกข้างที่เหลืออยู่โจมตีไปยังร่างของปีศาจกระดูก แต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้เลยแม้เต่น้อย สุดท้ายมันก็ค่อยๆ อ่อนแรงลง
ในขณะที่ปีศาจกระดูกแหงนหน้าคำรามเสียงต่ำออกมานั้น เขาทั้งสองของมันผ่าเข้าตรงอกของวานรยักษ์จนแยกออกมา อวัยวะสีสดจำนวนหนึ่งเผยออกมาในทันที
วานรยักษ์ร้องโหยหวนพยายามเอาชีวิตรอด สุดท้ายคอก็บิดงอสิ้นลมหายใจไป
หลิ่วหมิงที่อยู่บนต้นไม้ใหญ่เห็นฉากนี้ก็ส่ายหน้าแล้วคิดที่จะไปจากตรงนี้
ในเมื่อยอดเขาลูกนี้มีคนร้ายกาจเช่นนี้หมายตาไว้แล้ว เขาย่อมต้องเปลี่ยนไปยอดเขาลูกอื่นแล้ว
แต่ในขณะนั้นเอง หยางเฉียนที่อยู่ในป่าดงดิบก็หันหน้ามองมาทางเขาอย่างรวดเร็ว และยกมือขึ้นโบกมาทางเขา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย ขณะที่กำลังคิดว่าฝ่ายตรงข้ามโบกมือเรียกเขาหรือเปล่านั้น พลันได้ยินเสียงราบเรียบของหยางเฉียนดังเข้ามาในหู
“ไม่ว่าศิษย์น้องจะเป็นใครก็ตาม ตอนนี้ไม่ต้องหลบซ่อนแล้ว เข้ามานี่เถอะ! ข้ากับพี่อวิ๋นมีเรื่องอยากจะพูดคุยกับพวกเจ้าเจ้า”
“พวกเจ้า?”
หลิ่วหมิงเป็นผู้ที่ปราดเปรื่องมาก พอได้ยินคำพูดนี้ ก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว และจ้องมองออกไปด้วยความแปลกใจ
ในป่าดงดิบฝั่งนั้น ไม่รู้ว่าชายหน้าดำใช้วิธีการสื่อสารแบบไหน ถึงได้เรียกคนอีกผู้หนึ่งเดินออกมาจากป่าบริเวณนั้นได้ ซึ่งคนผู้นั้นก็เป็นศิษย์หุบเขาเก้าช่องที่สวมชุดคลุมสีน้ำเงินเช่นกัน เพียงแต่สีหน้าค่อนข้างจะหม่นหมอง
“คือเขา”
พอหลิ่วหมิงเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของชายหนุ่มก็รู้สึกเหนือความคาดหมายเป็นอย่างมาก
ชายหนุ่มที่โผล่ออกมานี้ คือ ‘จินอวี่’ ศิษย์หุบเขาเก้าช่องที่ถูกเขาเอาชนะได้ในครั้งก่อนนั้น
“ฮึ! เจ้ายังลังเลอะไรอยู่อีก หรือว่าต้องให้ข้าไปเชิญเจ้าด้วยตนเองหรือ? ในเมื่อข้าเรียกเจ้าย่อมมีผลประโยชน์ดีๆ ให้กับเจ้า” ในขณะที่หลิ่วหมิงกำลังลังเลอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงของหยางเฉียนที่ส่งเข้ามาอย่างทนรำคาญไม่ได้
หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งสอง แต่หลังจากที่คิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็กระโดดลงจากต้นไม้ใหญ่แล้วเดินไปยังทิศทางที่อยู่ไกลๆ
ไม่นานเขาก็มาปรากฏตัวขึ้นในป่าดงดิบ และยืนอยู่หน้าหยางเฉียนกับคนอีกสองคน
“คือเจ้า ไป๋ชงเทียน!”
พอจินอวี่เห็นใบหน้าของหลิ่วหมิงชัดเจน ก็กล่าวเสียงต่ำออกมาโดยที่มือกำหมัดไว้แน่น
“ต่อให้ศิษย์น้องจินกับข้าจะรู้จักกันมาก่อน แต่ก็ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนี้ก็ได้” หลิ่วหมิงกลับตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนยิ้ม
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร ถึงแม้ครั้งก่อนข้าจะพ่ายแพ้ให้แก่เจ้า แต่นั่นเป็นเพราะว่าข้าชะล่าใจเกินไป มันไม่ใช่เพราะว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้า ในเมื่อตอนนี้ได้พบกันแล้วข้ากับเจ้าจะได้มาต่อสู้กันอีกสักครั้ง” จินอวี่ได้ยินก็กล่าวอย่างไม่เกรงใจด้วยความโมโห
“ที่แท้เจ้าก็คือไป๋ชงเทียนที่ศิษย์น้องจินพูดถึงอยู่บ่อยๆ มิน่าล่ะศิษย์น้องของพวกเราถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้ แต่ศิษย์น้องจิน ที่ครั้งนี้ข้ากับพี่หยางเรียกพวกเจ้ามาไม่ได้ให้พวกเจ้าต่อสู้กันเอง แต่มีเรื่องสำคัญที่จะหารือกับพวกเจ้าจริงๆ” หลังจากที่ชายหน้าดำได้ยินก็มองดูหน้าหลิ่วหมิงด้วยความประหลาดใจ แต่ครู่เดียวก็หันมากล่าวกับจินอวี่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ทราบ! ศิษพี่อวิ๋น งั้นก็รอจัดการเรื่องนี้เสร็จก่อน แล้วข้าค่อยคิดบัญชีกับเจ้าเด็กแซ่ไป๋ก็แล้วกัน” ดูเหมือนจินอวี่จะรู้สึกยำเกรงชายหน้าดำมาก แต่ยังคงจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสายตาที่โหดเหี้ยม
“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่เจ้า!” รอยยิ้มบนใบหน้าหลิ่วหมิงหายไปก่อนที่ตอบกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
หยางเฉียนกลับยืนกอดอกยืนอยู่อีกฝั่งโดยไม่คิดที่จะเอ่ยปากแทรกแซงอะไรใดๆ
“ไม่ทราบว่าศิษย์พี่ทั้งสองเรียกพวกข้ามามีเรื่องสำคัญอันใดหรือ?” หลิ่วหมิงหันหน้าไปถามหยางเฉียน
“พวกเจ้าอยากได้ทรัพยากรล้ำค่าบนยอดเขาแห่งนี้หรือไม่?” หยางเฉียนถามด้วยแววตาที่เป็นประกาย
“ความหมายของศิษย์พี่หยางคือ…” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“ถ้าหากพวกเจ้าช่วยพวกข้าจัดการวานรยักษ์ที่เหลือบนเขาล่ะก็ อีกประเดี๋ยวก็สามารถขึ้นเขาไปหาพืชจิตวิญญาณพร้อมกันกับพวกเราได้ ยอดเขาแห่งนี้สูงใหญ่เช่นนี้ ต่อให้พวกเราทั้งสี่ขึ้นไปพร้อมกันก็คงได้สิ่งของกลับไปมากมาย” ชายหน้าดำกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ
……………………………………….