ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 829 กวางชะมดว่างเปล่า

ตอนที่ 829 กวางชะมดว่างเปล่า
ในตอนที่หลิ่วหมิงตกใจกับความใจป้ำของนายน้อยนิกายหยกทองผู้นี้ ภาพที่ทำให้เขายิ่งตาโตลิ้นพันกันก็บังเกิดขึ้น

เฟิงชิงโม่กวาดสายตามองรอบด้าน ดวงตาเผยแววตาไม่พอใจค่ายกลนี้นัก เขาพลิกมืออีกครั้ง เรียกธงน้อยที่ส่องแสงสีฟ้าขมุกขมัวออกมาอีกหลายสิบผืน จากนั้นโยนไปกลางอากาศ นิ้วทั้งสิบของทั้งสองมือเปลี่ยนแปรดั่งวงล้อ ยิงเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าไปยังธงน้อยสีฟ้าอ่อน

หลังธงน้อยเหล่านี้วนกลางอากาศรอบหนึ่งก็พากันกระจายออกไปรอบด้าน ร่วงลงในค่ายกลที่วางเมื่อครู่อย่างเป็นระเบียบ พร้อมกันนั้นม่านแสงสีฟ้าอ่อนชั้นแล้วชั้นเล่าก็ส่องสว่างต่อกัน จากนั้นหายวับไปกลางอากาศดุจเดียวกัน

พลังสายตาของหลิ่วหมิงเฉียบแหลมปานใด ในชั่วเวลาสั้นๆ เมื่อครู่ เขาเห็นชัดว่าคนผู้นี้ถึงกับวางค่ายกลที่เหมือนกันทุกประการออกมาซ้ำอีกหกชุด!

แม้ตัวเขานับว่าเป็นคนที่มีทรัพย์สินไม่ธรรมดา แต่เห็นภาพเช่นนี้ ในใจก็ยังอดไม่ได้ลอบหัวเราะเฝื่อนๆ กับตนเองหลายที

ถึงในมือจะมีหินจิตวิญญาณมากหลายสิบล้าน แต่จะต้องเสียหินจิตวิญญาณมากเช่นนี้เพื่อวางกับดักเพียงอันเดียว เกรงว่าเขาก็คงรู้สึกลังเลอยู่มากเช่นกัน

ผู้เฒ่าอวบอ้วนจากนิกายหยกทองผู้นั้นกลับสีหน้าสงบนิ่งกับภาพเช่นนี้ ท่าทางประหนึ่งเห็นจนชิน

“ผู้อาวุโสหวง ค่ายกลห้วงนทีเจ็ดชุดนี่เพียงพอสกัดการเคลื่อนไหวของปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าตัวนั้นแล้วหรือยัง หากยังไม่พอ ในมือข้ายังมีอุปกรณ์ค่ายกลที่ทรงพลังมากกว่าอีกสองชุด เพียงแต่ต้องรบกวนท่านเสียพลังเวทมากหน่อยตอนควบคุม” เฟิงชิงโม่สะบัดแขนเสื้อ มองไปหาผู้เฒ่าร่างอ้วนพลางเอ่ยปากถามเช่นนี้อย่างไม่ใส่ใจสักนิด

“ฮ่ะๆ เจ็ดชุดเพียงพอแล้ว หากนายน้อยเพิ่มไปอีกสองชุด ข้าเกรงว่าคงไม่มีพลังเวทเหลือไปควบคุม ใช่แล้ว นายน้อยอย่าลืมวางยันต์วายุสะบั้นที่นิกายทำขึ้นมาเป็นพิเศษไว้ในค่ายกลนะขอรับ” ผู้เฒ่าอวบอ้วนหัวเราะฮ่ะๆ เอ่ยขึ้น

“นั่นแน่นอน”

หลังเฟิงชิงโม่หัวเราะฮ่าๆ ก็เหลือบมองหลิ่วหมิงทีหนึ่งเหมือนตั้งใจแต่ก็ไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นเอายันต์ที่ส่องแสงสีขาวขมุกขมัวตั้งหนาตั้งหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ มีมากถึงยี่สิบกว่าแผ่น

ร่างกายเขาขยับวูบหนึ่งก็มาถึงใจกลางค่ายกลอีกครั้ง ร่างกายหมุนอยู่กับที่รอบหนึ่ง แสงสีขาวในมือสว่างขึ้นต่อเนื่อง ส่งยันต์เหล่านี้ในมือจมลงไปรอบด้านค่ายกล

ต่อจากนั้นเฟิงชิงโม่ก็พลิกมือเรียกแก่นจันทน์สีแดงก่ำยาวครึ่งฉื่อกำหนึ่งออกมาแล้วเสียบไว้ใจกลางค่ายกล

หลังจากนั้นเขาก็ลูบคางคล้ายคิดสิ่งใดอีก มือข้างหนึ่งคลำข้างเอว ในมือมีแก่นจันทน์สีแดงก่ำเหมือนก่อนหน้านี้กำหนึ่งออกมาเพิ่มอีก เสียบลงไปใต้เท้าทั้งหมดอย่างไม่ลังเลสักนิด

“เช่นนี้ถึงแน่ใจว่าจะไม่พลาด!” หลังทำทุกสิ่งนี้เสร็จ ในดวงตาผู้ฝึกฝนชุดขาวถึงปรากฏแววตาพึงพอใจจางๆ พร้อมกับเอ่ยพึมพำ

เวลานี้หลิ่วหมิงกลับกวาดสายตามองแก่นจันทน์สีแดงก่ำสองแท่งนั้นอีกหน…

แก่นจันทน์นี่ดูแล้วไม่สะดุดตา ภายนอกเหมือนธูปเทียนธรรมดาที่คนปกติทั่วไปใช้เซ่นไหว้ ไม่มีจุดที่ผิดปกติเรียกสายตา

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ในดวงตาก็อดไม่ได้ฉายแววประหลาดใจจางๆ

“สหายหลิ่วอาจไม่ทราบหอมทากหยกเหล่านี้ใช้แก่นปีศาจของทากหยกเพศผู้หลอมขึ้นมา กลิ่นหอมของมันเป็นสิ่งที่อสูรกวางชะมดว่างเปล่าชอบที่สุด” ผู้อาวุโสหวงคล้ายมองความสงสัยในดวงตาของหลิ่วหมิงออกจึงอธิบายประโยคหนึ่งทันที

“ทากหยก”

หลิ่วหมิงได้ยิน ในใจก็สะท้านเล็กน้อย

ทากหยกนี่คือปีศาจอสูรที่มีพิษรุนแรงซึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนทะเลทรายทางตะวันตกสุดของแผ่นดินจงเทียน นิสัยดุร้ายอย่างที่สุด พลังโดยทั่วไปอาจไปถึงระดับผลึกขั้นปลาย ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ทั่วไปก็ไม่ยินดีไปหาเรื่องง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีอันตรายถึงชีวิตอสูรตัวนี้จะระเบิดแก่นปีศาจของตนเองอย่างไม่ลังเลสักนิด หมอกพิษที่ปล่อยออกมาหากแตะถูกจะตายในทันทีจึงจัดการยากอย่างยิ่ง

แก่นปีศาจของมันเป็นวัตถุดิบหลักในการหลอมหอมทากหยกจริง! แต่สิ่งที่อีกฝ่ายไม่ได้พูดคือหอมทากหยกนี่ไม่ได้มีแต่กวางชะมดว่างเปล่าที่ชื่นชอบ ปีศาจอสูรอื่นก็ถูกกลิ่นของมันดึงดูดได้เช่นกัน ดังนั้นหอมทากหยกจึงเป็นสิ่งล้ำค่าของนิกายรวมถึงตระกูลมากมาย อยู่ข้างนอกพบเห็นยากนัก

“ที่แท้ก็เป็นเครื่องหอมชนิดนี้ มิน่าทั้งสองท่านจึงมั่นใจเช่นนี้ ดูท่านิกายของท่านจะทุ่มเทไม่น้อยเพื่อปีศาจอสูรตัวนี้จริงๆ! ทว่ากำใหญ่เช่นนี้เกรงว่าคงมีไม่น้อยกว่าสิบกว่าชิ้นกระมัง จะมากเกินไปหน่อยจนกลับกลายเป็นเตือนอสูรตัวนี้หรือไม่?” หลังหลิ่วหมิงพยักหน้าก็เอ่ยถามช้าๆ อีกประโยคหนึ่ง

“ฮ่ะๆ สหายคิดมากเกินไปแล้ว! เครื่องหอมนี่ยิ่งมาก ยิ่งดึงดูดปีศาจอสูรมาก อสูรแห่งความว่างเปล่าโดยทั่วไปเจ้าเล่ห์จัดการยากอย่างที่สุด ต้องมีเครื่องหอมนี้มากพอถึงแน่ใจว่าจะดึงมันออกมาได้ไม่มีพลาด” ผู้เฒ่าอ้วนโบกมือพลางหัวเราะเสียงเบาเอ่ยขึ้น

“ท่านไม่เชื่อวิธีการของข้าหรือ?” เฟิงชิงโม่ได้ยินกลับหน้าบึ้ง

“ใช่ที่ไหน ในเมื่อพี่หวงเอ่ยเช่นนี้ ข้าย่อมไม่มีความเห็นอื่น” หลิ่วหมิงกลับหัวเราะฮ่ะๆ มุมปากแย้มรอยยิ้มนิดหนึ่งเอ่ยตอบ

“นายน้อย หลังจากนี้ข้าจะตั้งสมาธิควบคุมค่ายกล ส่วนท่านต้องกระตุ้นยันต์วายุสะบั้นเหล่านั้นล้อมโจมตีอสูรตัวนี้ ทว่าอสูรตัวนี้อย่างไรร่างกายก็เป็นธาตุว่างเปล่า วิชาหลบหนีประหลาดยากเข้าใจ ถึงเวลาต้องใช้กระบี่บินธาตุว่างเปล่าของสหายหลิ่วถึงจะสังหารมันได้ แต่ยามสหายลงมือจะต้องเล็งจังหวะให้แม่นยำหนึ่งการโจมตีสังหารมันเสีย!” ผู้อาวุโสหวงเอ่ยเช่นนี้อีก

หลิ่วหมิงย่อมไม่มีความเห็นอื่น ท่ามกลางสายตาเย็นชาของผู้ฝึกฝนชุดขาว เขาลงไปนั่งขัดสมาธิบนพื้นกลางพงไม้ดงใหญ่ที่ค่อนข้างมิดชิดแห่งหนึ่งทันที นั่งสมาธิอยู่เงียบๆ

ส่วนเฟิงชิงโม่ร่างกายขยับวูบหนึ่งก็ออกจากค่ายกล เขายกมือขึ้นอีกครั้ง นิ้วหนึ่งจิ้มอากาศไปทางที่แก่นจันทน์อยู่ต่อเนื่องหลายครั้ง แสงสีแดงหลายสายพุ่งเฉียดผ่านพวกมัน

แก่นจันทน์สีแดงก่ำสิบกว่าแท่งฉับพลันส่องแสงสีแดง พริบตาเดียวก็ถูกจุด ควันสีแดงหม่นสายแล้วสายเล่าลอยวนเวียนขึ้นบนอากาศจากนั้นลอยอ้อยอิ่งไปด้านหน้าตามการชักนำของเคล็ดวิชาของเฟิงชิงโม่

ไม่นานบริเวณที่ค่ายกลทั้งหมดอยู่ก็ถูกหมอกสีแดงหม่นสายนี้ห้อมล้อมไว้

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้หางตาก็เลิกขึ้นเล็กน้อย กลิ่นคาวจางๆ ที่หมอกสีแดงแผ่ออกมาค่อนข้างคล้ายกลิ่นอายที่ส่งออกมาจากในหมอกสีเทาเบื้องหน้า

ในเวลาเดียวกันเฟิงชิงโม่กับผู้เฒ่าอวบอ้วนก็สบตากันทีหนึ่ง ร่างกายขยับวูบ ซ่อนตัวอยู่หลังศิลายักษ์ก้อนหนึ่งไม่ไกล รอคอยอย่างนิ่งสงบเช่นกัน

พร้อมกับที่เวลาเคลื่อนคล้อย อาณาเขตที่หมอกสีแดงหม่นล้อมก็ยิ่งกว้างขึ้นทุกที แทบจะครอบคลุมพื้นที่หนึ่งหมู่กว่าทั้งหมดอยู่แล้ว กลิ่นคาวจางๆ ที่แผ่ออกมาจากด้านในยิ่งไม่รู้ลอยไปไกลเท่าไร

ใช้เวลาราวหนึ่งเค่อ ด้านในไอหมอกสีเทาขมุกขมัวไกลออกไปก็เกิดคลื่นสั่นไหวน้อยๆ แสงเปลวเพลิงสีเขียวเข้มดวงหนึ่งฉับพลันปรากฏออกมา ทั้งยังกะพริบอยู่ท่ามกลางหมอกสีเทาขมุกขมัวไม่หยุด ชวนให้รู้สึกประหลาดคล้ายไม่อาจจับตำแหน่งที่แน่ชัดได้แม้แต่น้อย

ทันใดนั้นหัวที่คล้ายกวางหัวหนึ่งก็ยื่นออกมาจากไอหมอกสีเทา ดวงตาสีเขียวหยกแวววาวคู่หนึ่งชะเง้อมองรอบด้านอย่างระแวดระวังอย่างยิ่ง

ทั้งสามคนที่หลบอยู่ห่างหลายร้อยจ้างเห็นสิ่งนี้ก็กระตุ้นวิชาลับของแต่ละคน เก็บงำกลิ่นอายทันที ไม่กล้าส่งเสียงออกมาแม้แต่น้อย

หลังอสูรกวางชะมดว่างเปล่าแน่ใจว่าบริเวณใกล้ๆ ไม่มีสิ่งผิดปกติถึงเดินออกมาจากไอหมอกสีเทาช้าๆ

อสูรตัวนี้สูงถึงสองสามจั้ง ใหญ่กว่าในข้อมูลที่หลิ่วหมิงได้มาก่อนหน้านี้ไม่น้อย หน้าตาคล้ายกวางตัวหนึ่ง บนหัวมีเขาคมสีเทาสลับดำคู่หนึ่งส่องแสงจิตวิญญาณอยู่เรืองๆ ทั้งร่างสีน้ำตาล บนขนสั้นๆ ทุกหนทุกแห่งเห็นลายสีเทาแถบแล้วแถบเล่ากะพริบวูบวาบเดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวเลือนหาย

อสูรตัวนี้สูดจมูกดมไอหมอกสีแดงหม่นที่เบาบางไปบ้างแล้วซึ่งลอยอยู่เบื้องหน้าร่าง บนหน้าเผยสีหน้ามีความสุข คล้ายดื่มด่ำกับกลิ่นเช่นนี้อย่างยิ่ง เมื่อลายสีเทาทั่วร่างส่องสว่างวูบหนึ่ง ทันใดนั้นร่างกายก็พร่าเลือนหายไปในทันใด

เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้นทีหนึ่ง!

ครู่ต่อมาแสงสีเทาก็สว่างวูบขึ้นสิบกว่าจั้งด้านหน้า ร่างกายของอสูรตัวนี้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

หลิ่วหมิงที่หลบอยู่ในที่มิดชิดห่างไปหลายร้อยจั้งเห็นภาพนี้ หางตาก็เลิกขึ้นเล็กน้อย…

ปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าไม่ถูกมิติจำกัดไว้จริงๆ เคลื่อนย้ายชั่วพริบตาได้ตามอำเภอใจ!

อสูรกวางชะมดว่างเปล่าดมไอหมอกสีแดงหม่นที่ลอยอยู่เบื้องหน้าอย่างละโมบอีกหน ทว่าในดวงตากลับเผยแววตาลังเลอยู่บ้างอีกครั้ง ต่อจากนั้นสองตาก็กวาดมองรอบด้านอย่างระแวดระวังอย่างยิ่งรอบหนึ่ง ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ

ในขณะที่หลิ่วหมิงหรี่สองตาลง ในใจก็คาดเดาว่าอสูรตัวนี้นานเท่าไรถึงจะเข้าใกล้ค่ายกล ทันใดนั้นกวางชะมดว่างเปล่าก็ยกหัวขึ้น อ้าปากออก พ่นวงแหวนแสงสีขาวจางๆ วงแล้ววงเล่าออกมาอย่างเงียบเชียบ มันส่องสว่างวูบหนึ่งก็หายไปกลางอากาศใกล้ๆ

“แย่แล้ว”

หลิ่วหมิงเป็นผู้มีประสบการณ์การต่อสู้โชกโชน เห็นภาพนี้ปุบสีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันใด คิดก็ไม่ต้องคิดมือข้างหนึ่งใช้เคล็ดวิชาทันที รอบร่างม่านแสงสีดำจางๆ ชั้นหนึ่งปรากฏออกมาปกป้องร่างของตนไว้อย่างแน่นหนาในทันใด พร้อมกันนั้นใบหูสองข้างศีรษะก็ขยับทีเดียวพับปิดรูหูจนสนิท

แทบจะในเวลาเดียวกัน ทันใดนั้นเสียงร้องแหลมแสบแก้วหูสะเทือนถึงเก้าชั้นฟ้าก็ก้องกังวานอากาศบริเวณใกล้ๆ สะเทือนพงหญ้าต้นไม้ใกล้เคียงทั้งหมดจนสั่นไหวส่ายเอนเป็นระลอก ถึงขนาดที่มีต้นไม้ลำต้นเล็กที่ค่อนข้างใกล้กวางชะมดว่างเปล่าหลายต้นส่งเสียงดังแครกหักโค่นไปเองทันที

แสงสีดำรอบร่างหลิ่วหมิงสว่างวูบหนึ่ง ต้านพลังคลื่นเสียงล่องหนสายนี้ไว้ได้อย่างไม่มีปัญหา

หลังศิลายักษ์อีกด้านหนึ่งที่เฟิงชิงโม่กับผู้อาวุโสหวงหลบอยู่ก็ไม่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นสักนิด เห็นชัดว่าคงต้านการโจมตีคลื่นเสียงระลอกนี้ไว้ได้อย่างเงียบๆ เช่นกัน

นี่ทำให้หลิ่วหมิงที่เดิมทีกังวลใจอยู่บ้าง ในใจผ่อนคลายลงเล็กน้อย

กวางชะมดว่างเปล่าร้องเสียงแหลมอีกครู่หนึ่ง หลังมั่นใจว่ารอบด้านปลอดภัยถึงวางใจลงจริงๆ รอบร่างส่องแสงสีเทาวูบหนึ่งเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาอีกครั้ง

หลังอสูรตัวนี้ยืนยันอีกหนว่ารอบด้านไม่มีสิ่งผิดปกติ ในที่สุดถึงวางความระแวดระวังลงอย่างสิ้นเชิง ดวงตาสีเขียวหยกแวววาวทั้งคู่ทอประกายจับนิ่งอยู่ตรงจุดที่ไอหมอกสีแดงหม่นล่องลอย ลายสีเทาทั่วร่างส่องสว่าง ร่างกายก็พร่าเลือนไม่ชัดอีกหน

“พรึ่บ” เสียงแหวกอากาศดังก้องขึ้นสองสามหน

อสูรตัวนี้ถึงกับใช้พลังเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาข้ามมิติต่อเนื่อง บินเร็วรี่ตรงมาหาแก่นจันทน์ไม่หยุด ทิ้งเงาเลือนรางสายหนึ่งไว้กลางอากาศ

หลิ่วหมิงมองจนอ้ำอึ้งอยู่บ้าง ยามอสูรว่างเปล่าทุ่มเต็มกำลังใช้พลังเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา ความเร็วน่าตะลึงอย่างที่สุดจริงๆ !

อสูรกวางชะมดสีน้ำตาลหายตัวตามกลิ่นคาวแสบจมูกเข้มข้นสายหนึ่งซึ่งลอยแผ่ออกมาจากกลางไอหมอกสีแดงจนในที่สุดก็ปรากฏตัวขึ้นกลางค่ายกล ตรงจุดที่แก่นจันทน์สิบกว่าแท่งอยู่

เวลานี้หอมทากหยกสิบกว่าแท่งไหม้ไปจวนเจียนจะครึ่งหนึ่งแล้ว

อสูรกวางชะมดว่างเปล่าเพิ่งหยัดร่างมั่นคงก็อ้าปากสูดไอหมอกสีแดงหม่นหลายเฮือก ดวงตาสีเขียวหยกแวววาวคู่หนึ่งยังคงชะเง้อมองไปรอบด้านไม่หยุดเป็นระยะ

“นายน้อย ลงมือ!”

หลังผู้เฒ่าอ้วนที่ซ่อนกายอยู่หลังศิลายักษ์สีเขียวไม่ไกลส่งกระแสจิตให้เฟิงชิงโม่ด้านข้างหนึ่งประโยค ร่างกายก็พุ่งออกมาในทันใด สิบนิ้วบนสองมือดีดรัวเข้าใส่ตรงค่ายกล

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset