ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 841 สู้กับระดับดาราพยากรณ์อีกครั้ง (ต้น)

ตอนที่ 841 สู้กับระดับดาราพยากรณ์อีกครั้ง (ต้น)
เป็นเช่นนี้ผ่านไปอีกสองปี

หลิ่วหมิงฝึกฝนทุกวันจนปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้อีกครั้ง ทั้งเวลานี้เขายังควบคุมเงาได้คล่องดั่งใจยิ่งกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด ระดับความเป็นวัตถุของเงาและคลื่นพลังจิตวิญญาณที่แผ่ออกมายิ่งใกล้เคียงกับร่างต้นขึ้นทุกที

แต่การผนึกเงาที่สามกลับยังไม่สำเร็จโดยสมบูรณ์

ดังนั้นเขาจึงเพิ่มความยากขึ้นอีกครั้งอย่างไม่รีรอ

เวลาผ่านไปทีละน้อย หนึ่งปี สองปี พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกห้าปี

ปราณดำห้อมล้อมร่างต้นของหลิ่วหมิงจนทั้งร่างประหนึ่งดวงวิญญาณสีดำเคลื่อนทะลุผ่านกลางป่าศิลาอย่างว่องไว ไม่มีเสียงดังออกมาแม้แต่น้อย

ข้างกายเขายังคงเป็นเงาที่ลักษณะภายนอกเหมือนกับเขาทุกประการสองร่าง แต่เงาสองร่างนี้สมบูรณ์กว่าก่อนหน้านี้มากอย่างเห็นได้ชัด มือเท้าครบถ้วน กระทั่งเครื่องหน้าบนใบหน้าก็เห็นชัดเจน

เมื่อมีปราณดำพลุ่งพล่านพร้อมทั้งเคลื่อนที่เร็วจี๋ก็แทบมองไม่เห็นความแตกต่างกับร่างต้นแม้แต่นิด

ตัวเขาในวันนี้ พริบตาที่ร่างกายเผชิญสภาพแวดล้อมอันตรายจะปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมรอบด้านได้อย่างไม่ต้องคิด ระหว่างที่วิ่งรวดเร็วอยู่ ร่างกายจะปรับเป็นองศาที่ดีที่สุดตามสภาพแวดล้อมรอบด้านดั่งตอบสนองตามเงื่อนไข

ทั้งเขายังไม่จำเป็นต้องตั้งใจควบคุมเงาสองร่างข้างกายอีกแล้ว ราวกับว่าพวกมันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายตน

เพียงแค่คิด เงาก็ขยับตาม

จิตของเขาคล้ายจะเข้าสู่สภาวะอันยอดเยี่ยมบางประการอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทุกสิ่งรอบด้านคล้ายสงบนิ่งทั้งที่กำลังเคลื่อนเร็วจี๋

ลึกลงไปในร่างเขาความรู้สึกปั่นป่วนสายหนึ่งผุดออกมา

หลิ่วหมิงกระตุ้นพลังเวทในร่างแทบจะโดยสัญชาตญาณ ปราณดำรอบร่างฉับพลันลุกโหม ชั่วพริบตาด้านหลังร่างเขาก็ปรากฏเงาที่สามออกมา!

พริบตานั้นที่เงาสีดำสนิทร่างที่สามปรากฏขึ้นหลังร่างเขา มันก็วิ่งเคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมกับเงาร่างทั้งสามที่มีอยู่เดิม ไม่ว่าความเร็วหรือหน้าตาภายนอกมองความแตกต่างไม่ออกแม้แต่น้อย

กระบวนการนี้เป็นธรรมชาติคล้ายกับว่าเขาไม่ได้ใช้ผนึกเงาที่สาม แต่เหมือนเงาที่สามน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา

เพียงพลัดหายไปหลายปี ตอนนี้กลับมาแล้ว!

ก็คงเป็นความรู้สึกเช่นนี้!

วันนี้เงาทั้งสามร่างนี้แต่ละร่างล้วนเริ่มแผ่คลื่นพลังเวทจางๆ ออกมา ดูแล้วมีพลังจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นอยู่บ้าง

ในที่สุดก็ฝึกฝนวิชาเงาสามส่วนก้าวสุดท้ายสำเร็จ

ครู่ต่อมาหลิ่วหมิงก็หลุดออกมาจากสภาวะสงบนิ่งท่ามกลางความเร็วนั้น บนใบหน้าเผยสีหน้ายินดีอย่างยิ่งออกมาทันที

จากนั้นเมื่อเขาคิด ร่างกายก็กลายเป็นเงาดำสายหนึ่งพุ่งทะยานออกไป เงาสามร่างก็ติดตามไปด้วยเช่นกัน

มองจากไกลๆ ไม่ว่ารูปลักษณ์ภายนอก การเคลื่อนไหวหรือคลื่นพลังจิตวิญญาณที่แผ่ออกมาก็แยกไม่ออกสักนิดว่าเงาคนสีดำทั้งสี่ร่างไหนถึงเป็นร่างต้นของเขา!

หลิ่วหมิงอารมณ์ดีอย่างที่สุด ความเร็วไวว่องขึ้นทุกที เงาดำสี่ร่างเดี๋ยวแยกเดี๋ยวรวมตัว จุดที่ผ่านไปปรากฏเงาติดตานับไม่ถ้วน แม้มีเงาดำเพียงสี่ร่าง แต่ดูเหมือนมีเงาคนนับพันนับร้อยบินทะลุทะลวงไปทุกหนทุกแห่ง

ทันใดนั้นเงาคนทั้งหมดก็รวมเข้าด้วยกันกลายเป็นคนเดียว ยืนนิ่งอยู่บนยอดศิลาก้อนหนึ่ง

หลิ่วหมิงนั่นเอง

เวลานี้รอยยิ้มบนใบหน้าของเขายิ่งกว้างขึ้นอีก ในดวงตาก็ฉายแววพึงพอใจเล็กน้อยเช่นกัน

เขารู้สึกได้ว่าวิชาเงาสามส่วนขั้นสมบูรณ์คงใช้ประโยชน์ในสถานการณ์จริงได้เพิ่มขึ้นมาก

สิ่งที่น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวก็คือพลังเวทที่ใช้ก็หมดลงเร็วกว่าเดิมมากด้วย

แต่ในเมื่อวิชานี้เป็นขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว เขาจึงหยุดฝึกฝนวิชานี้ทันที หลังใคร่ครวญพักหนึ่งก็ตัดสินใจใช้เวลาที่เหลือฝึกฝนการต่อสู้จริงด้วยดวงตามายาของศิลาหุนเทียน

………

ปีที่สามสิบที่หลิ่วหมิงเข้ามาในแดนมายาของห้องว่างเปล่าลึกลับ

เงาคนสีดำร่างหนึ่งกับผู้ที่มีแสงอสนีบาตสีม่วงล้อมรอบร่างผู้หนึ่งกำลังไล่ล่ากันอยู่กลางหมู่เขาร้าง

นั่นคือหลิ่วหมิงกับเลี่ยเจิ้นเทียนปีศาจสายฟ้าผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจระดับดาราพยากรณ์แห่งหนานฮวง!

ก่อนหน้านี้หลิ่วหมิงก็เคยจำลองการต่อสู้กับปีศาจสายฟ้าในแดนมายาอยู่ แต่เวลานั้นเขาฝึกฝนวิชาหลบหนีของเขาเป็นหลัก แต่ครั้งนี้เขาคิดจะประมือกับปีศาจสายฟ้าผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์คนนี้ซึ่งหน้า

เขาไม่ได้เพ้อฝันว่าจะสู้ชนะผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ผู้นี้ได้ เขาหวังจะฝึกปรือความสามารถในการพลิกแพลงสถานการณ์เมื่อประมือกับผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์เท่านั้น

แสงกระบี่สีทองอ่อนสายหนึ่งใต้เท้าหลิ่วหมิงยกร่างเขาลอยเคลื่อนลดเลี้ยวระหว่างหมู่เขาเกิดเป็นเงาติดตาร่างแล้วร่างเล่า ร่างกายว่องไวอย่างที่สุด

ด้านหลังอสนีบาตสีม่วงรอบร่างปีศาจสายฟ้าหนาทึบขึ้นจนกลายเป็นแสงสายฟ้าเส้นหนาที่ฉีกทึ้งทุกอย่างได้สายหนึ่ง แสงอสนีบาตสีม่วงส่องสว่างแล้วพุ่งเร็วรี่เข้าใส่หลิ่วหมิงเบื้องหน้า

เสียง “บึ๊ม” ดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังขึ้น!

พริบตาที่แสงอสนีบาตสีม่วงไปถึงยอดเขาน้อยลูกหนึ่งเบื้องหน้า มันก็กลายเป็นเศษหินกองหนึ่ง

หลิ่วหมิงที่อยู่ด้านหน้าไม่รู้ร่างกายบิดท่าประหลาดอย่างไรจึงหลบพ้นอย่างสบายๆ ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย นอกจากนี้ความเร็วเหมือนจะเพิ่มขึ้นอยู่บ้างอย่างไม่ใส่ใจ

ปีศาจสายฟ้าคำรามเกรี้ยวกราด มันสะบัดแขนท่ามกลางแสงอสนีบาต หอกยาวสีม่วงหนาเท่าถังน้ำสองเล่มพุ่งพรวดแหวกอากาศเข้าใส่หลิ่วหมิงด้านหน้า

ครั้งนี้หลิ่วหมิงกลับไม่ได้หลบ

พร้อมกับที่อีกฝ่ายใช้การโจมตีเขาก็หันหลังกลับปานสายฟ้าแลบ หลังตวาดเบาๆ คำหนึ่ง หนึ่งหมัดก็ต่อยพรวดออกมา พลังเวทในร่างเสริมส่ง หมอกดำรอบร่างพลุ่งพล่าน เสียง “ฟุบๆ” ดังขึ้นแผ่วเบาหลายครั้ง ก่อตัวเป็นเงามังกรดำมหึมาห้าตัวกับพยัคฆ์ดำดุดันห้าตัวอย่างเร็วไว

ห้ามังกรห้าพยัคฆ์หลังร่างเขาบินวนรอบหนึ่งก็ยืดร่างยืน แต่ละตัวส่งเสียงคำรามพ่นเพลิงดำโหมกระหน่ำออกจากปาก พุ่งเข้าใส่หอกสายฟ้าสีม่วงสองเล่ม

ทว่าหอกสายฟ้าสีม่วงสองเล่มนั้นกลับส่องแสงอสนีบาตเจิดจ้า ยิงสายฟ้าหนาเท่าแขนสิบกว่าเส้นออกมารอบด้านกะทันหัน ดับเปลวเพลิงสีดำที่โถมมาถึงจนเกลี้ยงอย่างง่ายดาย

หลิ่วหมิงดวงตาทอประกาย เคล็ดวิชาในมือแปรเปลี่ยนอย่างเร็วไว ห้ามังกรห้าพยัคฆ์พุ่งออกมาตามการเคลื่อนไหวของเขา หลังพวกมันส่ายไปมาอย่างคลุ้มคลั่งพักหนึ่งก็ทยอยหลุดออกจากร่างมาผสานร่างกลางอากาศกลายเป็นอสูรยักษ์สีดำที่ศีรษะมีเขาหนึ่งคู่ เท้ามีสี่กรงเล็บตัวหนึ่ง

อสูรตัวนี้มีขนาดถึงสิบกว่าจั้ง ร่างกายคล้ายพยัคฆ์แต่ไม่ใช่พยัคฆ์ คล้ายมังกรแต่ไม่ใช่มังกร เกล็ดสีดำแผ่ทั่วร่าง ยามผนึกร่างแสงสีดำระลอกแล้วระลอกเล่าฉายออกมาแลดูประหนึ่งมีชีวิต สภาพไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตสักเท่าไร

ในเวลาเดียวกันนี้ปราณแข็งแกร่งสายหนึ่งก็แผ่ออกมาจากร่างของมัน

“ไป!”

คิ้วเรียวของหลิ่วหมิงตั้งตรง แขนสะบัดในทันใด

อสูรยักษ์สีดำอ้าปากกว้าง สี่เท้าขยับทันที ร่างกายมหึมาพริบตาพร่าเลือนไม่ชัดกลายเป็นสายลมคลั่งสีดำวูบหนึ่งโถมใส่หอกสายฟ้าสีม่วง

ปีศาจสายฟ้าเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ปากกลับส่งเสียงหัวเราะหยัน

ไม่เห็นเขาเคลื่อนไหวอย่างไร แต่หอกยาวสีม่วงสองเล่มกลับแล่นตัดกันทีหนึ่งแล้วระเบิดแสงอสนีบาตรุนแรงออกมา แสงสีม่วงพุ่งท่วมฟ้าทำให้คนไม่อาจมองได้ตรงๆ

เสียง “บึ๊ม” สนั่นสะเทือนฟ้าดังขึ้นทีหนึ่ง

แสงสายฟ้าสีม่วงกับอสูรยักษ์สีดำปะทะกัน แสงสีม่วงกับแสงสีดำโรมรันคล้ายต่างฝ่ายไม่มีใครยอมใคร

ทว่าครู่ต่อมาอสูรยักษ์สีดำก็ร้องครวญครางออกมา ร่างกายพังทลายพร้อมเสียงดังกึกก้อง

แม้หอกยาวสีม่วงจะโจมตีอสูรยักษ์สีดำสลายไปได้ แต่พลังที่เคลื่อนมาก็ชะงักไปเพราะเหตุนี้อย่างช่วยไม่ได้

หลิ่วหมิงสีหน้าซีดเผือด แต่หลังเขาสูดลมหายใจลึก มือก็ยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งใส่กระบี่บินสีทองใต้ร่าง

แสงสีทองรอบร่างเข้มขึ้นก่อตัวเป็นเงากระบี่ยักษ์ขนาดสิบกว่าจั้งสายหนึ่งในพริบตา

เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง!

แสงอสนีบาตสีทองพลันหุ้มร่างกายเขาไว้ ความเร็วที่หลบหนีเพิ่มขึ้นในพริบตา ในที่สุดก็หลบการจู่โจมของหอกอสนีบาตสองเล่มไปได้อย่างเฉียดฉิว รอดจากสถานการณ์อันตรายได้จริงๆ!

เสียง “เปรี้ยง” ดังสนั่นถล่มฟ้าถล่มดิน!

ยอดเขาลูกหนึ่งเบื้องหน้าหลิ่วหมิงถูกหอกอสนีบาตสีม่วงสองเล่มพุ่งโจมตีระเบิดเป็นแสงอสนีบาตสีม่วงแสบตาสองดวง

หลังแสงอสนีบาตดับลง บนตัวภูเขาก็ปรากฏหลุมลึกยี่สิบกว่าจั้งดำสนิทสองหลุมเพิ่มขึ้นมา ร่องลึกแตกแขนงดั่งใยแมงมุมมากมายแผ่ขยายไปรอบตัวภูเขา ศิลาใหญ่น้อยนับไม่ถ้วนกลิ้งร่วงลงเบื้องล่าง

ปีศาจสายฟ้าเห็นเช่นนี้พลันคำรามอย่างเกรี้ยวกราด

หลิ่วหมิงหันศีรษะกลับไปมองเงาร่างของปีศาจสายฟ้านิ่งนาน แสงสีดำบนร่างไหลเคลื่อนอยู่เลือนราง ชั่วครู่ให้หลังสีหน้าของเขาจึงฟื้นกลับคืนเป็นปกติ

เมื่อเคล็ดวิชาในมือชักนำ แสงกระบี่สีทองก็เลี้ยวเคลื่อนเป็นเส้นทแยงชิ่งไปมา เหาะรวดเร็วอ้อมยอดเขาที่โงนเงนใกล้พังทลายเบื้องหน้าต่อไปไกล

การท้าสู้นับครั้งไม่ถ้วนทำให้เขาคุ้นชินกับวิชาและการใช้วิชารูปแบบต่างๆ ของปีศาจสายฟ้าดุจฝ่ามือตั้งนานแล้ว แม้ตอนนี้ยังไม่อาจต้านปีศาจสายฟ้าระดับดาราพยากรณ์ตนนี้ซึ่งหน้าได้ แต่แค่หลบหลีก เขามีกำลังเหลือเฟืออย่างยิ่ง

ดวงตาทั้งสองข้างของปีศาจสายฟ้าฉายประกายดุดัน สัมผัสความดุร้ายหนักหน่วงที่แผ่ออกมาจากบนร่างเขาได้อย่างชัดเจนแม้จะกั้นกลางด้วยแสงอสนีบาตชั้นแล้วชั้นเล่า

แขนข้างหนึ่งของเขายกขึ้นวาดกลางอากาศเบื้องหน้า อสนีบาตโค้งสีม่วงหนาเท่าถังน้ำสายหนึ่งพลันพุ่งออกมาแล้วโต้ลมกลายเป็นสายฟ้ารูปอสรพิษสิบกว่าตัว แหวกอากาศกวาดไปเบื้องหน้าเป็นรูปพัด

สายฟ้ารูปอสรพิษแต่ละตัวล้วนหนาเท่าแขน บนตัวมันยังมีสายฟ้าเส้นเล็กสั้นมากมายแยกออกมาอีก วงโค้งสายฟ้าฟาดส่งเสียงดังชี่ๆ คลุมพื้นที่กว้างอย่างที่สุด จุดที่แล่นผ่านทุกสิ่งเบื้องหน้าล้วนกลายเป็นความว่างเปล่า

ความเร็วของสายฟ้าเร็วอย่างที่สุด พริบตาเดียวก็อยู่ห่างแผ่นหลังหลิ่วหมิงไม่ถึงสิบกว่าจั้ง กำลังจะฟาดบ้าคลั่งเข้าใส่ศีรษะและใบหน้า

หลิ่วหมิงเพิ่งผ่อนลมหายใจได้เฮือกเดียว สายตาก็เหล่มองเล็กน้อย จำได้ทันทีว่านี่คือวิชาระดับสูงประเภทสายฟ้า อยู่ในมือระดับดาราพยากรณ์ถึงกับใช้ออกมาได้ในพริบตา

การโจมตีขอบเขตกว้างเช่นนี้ เขาอยากหลบหลีกย่อมเป็นไปไม่ได้ สีหน้าจึงเคร่งขรึมขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ มือสะบัดเคล็ดวิชา ปราณกระบี่สีทองรอบร่างดับหายไป กระบี่บินสีทองที่กะพริบวูบวาบจมลงไปในแขนเสื้อเขาอย่างเร็วไว

ในเวลาเดียวกันนี้แสงสีดำบนร่างเขาก็ส่องสว่างจ้า คนหยุดชะงักกลางอากาศ หมุนวนอย่างรวดเร็วจนหมุนติ้วประหนึ่งลูกข่าง ทั้งร่างเขาฉับพลันกลายเป็นเมฆดำที่พัดเคลื่อนไม่หยุดแถบหนึ่ง

กลางเมฆดำเกิดแสงสีน้ำเงินออกมา มองเห็นเงาวัวสีน้ำเงินตัวหนึ่งปรากฏขึ้นเลือนราง ส่งเสียงวัวร้องออกมาแผ่วเบา

ครู่ต่อมาแสงอสนีบาตสีม่วงก็ขยายลงมาล้อมบริเวณร้อยจั้งไว้ด้านใน

แสงสีม่วงแสบตาสว่างอย่างที่สุด ส่องท้องฟ้ามืดสลัวทั้งหมดจนสว่างไสวอย่างยิ่ง แต่จากนั้นก็สลายไปอย่างรวดเร็วยิ่งอีกหน

บนพื้นปรากฏหลุมลึกหลุมหนึ่งจมลงไปสามฉื่อกว่า ด้านในไหม้เกรียมเป็นแถบ ควันสีดำลอยขโมง

นาทีนี้เอง เงาคนสีดำสนิทร่างหนึ่งก็ทะยานร่างเหาะออกมาจากกลางไอดำ หลิ่วหมิงนั่นเอง

ทว่าเวลานี้บนหน้าของเขากลายเป็นสีเทาปื้นหนึ่งสีดำปื้นหนึ่ง เส้นผมสีดำบนศีรษะส่วนใหญ่ก็ตั้งตรง เสื้อผ้าบนร่างไหม้เกรียมเป็นแถบ บางจุดถึงขั้นมีควันสีดำลอยโชยขึ้นมาด้วย

“หึ วิชาระดับสูงที่ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ใช้ พลังไม่ธรรมดาอย่างยิ่งจริงๆ…” หลิ่วหมิงอ้าปากส่งเสียงหึติดกันหลายครั้ง ลมหายใจที่พ่นมาจากปากคล้ายจะมีควันสีดำสายน้อยออกมาด้วย

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset