ตอนที่ 846 หุบเขาตระกูลเยี่ย
“เรื่องนี้…” บนหน้าของเสี่ยวเอ้อร์เผยสีหน้าลังเลเล็กน้อย
หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ แล้วยกมือขึ้นโยนเงินก้อนหนึ่งลงบนโต๊ะ
เสี่ยวเอ้อร์จ้องเงินเขม็ง บนใบหน้าเผยความละโมบออกมาในทันใด
หนึ่งเค่อให้หลังหลิ่วหมิงก็เดินออกมาจากประตูหน้าของเหลาสุรา เขาไม่ได้อยู่ต่อ ตรงดิ่งออกจากเมืองเล็กๆ นี้ไป
เขาสืบได้ข้อมูลจำนวนหนึ่งมาจากปากเสี่ยวเอ้อร์ แม้คนผู้นี้รู้เพียงข่าวเล่าข่าวลือ สาระมีจำกัด แต่ก็ยังทำให้หลิ่วหมิงตกใจ
ต่อมาเขาสืบหาข่าวจากสถานที่ใกล้ๆ เมืองเล็กอีกหลายแห่ง จากนั้นจึงเหาะขึ้นฟ้าแหวกท้องฟ้าจากไปอีกครั้ง
เจ็ดแปดวันให้หลัง หลิ่วหมิงยืนอยู่ริมเขาสันเขียวที่เสี่ยวเอ้อร์พูดถึงขณะที่มองไปด้านหน้า
เขาสันเขียวเป็นยอดเขาสูงพันกว่าจั้งลูกหนึ่ง มียอดเขาหลักเป็นใจกลาง เทือกเขาสองเส้นตัดผ่านกัน เขาทั้งลูกถูกหมอกหนาทึบปกคลุมอยู่
แต่หมอกนี้ไม่ใช่ไอน้ำสีขาวธรรมดา มันเป็นหมอกบางเบาสีเขียวอ่อนประหนึ่งควันชนิดหนึ่งลอยวนรอบตัวภูเขาอยู่อย่างอ้อยอิ่ง
“เป็นเช่นนี้จริงๆ!”
หลิ่วหมิงมองไอหมอกสีเขียวที่ลอยอยู่บนยอดเขา บนหน้าเผยสีหน้าจริงจังเล็กน้อย
หลายวันก่อนเขาไปสืบข่าวเกี่ยวกับเขาสันเขียวที่ตลาดซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดในเขตข้างเคียง เมื่อรวมกับข่าวลือจากในท้องถิ่นจำนวนหนึ่ง ในที่สุดเขาก็เข้าใจความเป็นมาเป็นไปของที่แห่งนี้คร่าวๆ แล้ว
เดิมทีที่แห่งนี้อยู่ในเขตตงเยว่ของแคว้นฉี ส่วนเขาสันเขียวเบื้องหน้าก็เป็นสถานที่ซึ่งมีชื่อโด่งดังของทั้งเขตตงเยว่
เขตตงเยว่ตั้งอยู่ที่ชายแดนแคว้นฉีกับแคว้นเยว่แคว้นขนาดกลางอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ติดกัน เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนทั้งสองแคว้นเคยมีสงครามโหดร้ายต่อเนื่องยาวนานหลายร้อยปี
และเขาสันเขียวแห่งนี้ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนของทั้งสองแคว้นก็เกิดสงครามไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
กระทั่งสองพันปีกว่าก่อนหน้านี้ไม่ทราบเพราะเหตุใดทั้งสองแคว้นจึงถอนทัพหยุดสงคราม
ด้วยเหตุนี้เขาสันเขียวแห่งนี้จึงกลายเป็นสนามรบเก่าที่ถูกทอดทิ้งแห่งหนึ่ง ทิ้งหลุมศพคนนับหมื่นไว้ ด้านในฝังโครงกระดูกนักรบจากทั้งสองแคว้นที่ตายในสงครามไว้นับไม่ถ้วน ซากศพปล่อยทิ้งไว้ซ้อนเป็นตั้ง กองถมเป็นภูเขา ว่ากันว่าถึงขั้นที่เดินผ่านพื้นดินนิ้วหนึ่งก็เป็นกองเลือดเนื้อนิ้วหนึ่ง
วันเวลาผ่านไปหลุมศพคนนับหมื่นเหล่านี้ก็มีปราณแค้นท่วมฟ้า ปราณหยินลอยวนเวียน ต่อให้เป็นวันฟ้าแจ้งในหน้าร้อนเดินผ่านที่แห่งนี้ก็สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกเสียดกระดูก นับแต่นั้นไม่มีผู้ใดกล้าเดินผ่านสถานที่แห่งนี้อีก จึงเกิดฉายาหุบเขาเขียวสังหารขึ้น
นานเข้าในเขาสันเขียวก็เกิดภูตผีขึ้นมาไม่น้อย
เริ่มแรกเป็นเพียงสัมภเวสีวิญญาณเร่ร่อนจำนวนหนึ่ง แต่ปราณหยินที่นี่มากมายอย่างที่สุด พลังของภูตผีจึงเลื่อนระดับขึ้นรวดเร็วยิ่ง พวกมันเริ่มปรากฏตัวยามค่ำคืน ทำร้ายสิ่งชีวิตรอบด้าน กลืนกินวิญญาณมนุษย์เสริมความแข็งแกร่งให้ตนเอง
เนื่องจากที่แห่งนี้ห่างไกลนัก ทั้งยังไม่มีชีพจรจิตวิญญาณแผ่มาถึง จึงไม่มีนิกายของผู้ฝึกฝนตั้งอยู่ที่นี่
เมื่อไม่มีผู้ฝึกฝนคอยจับตา ขุนนางมนุษย์ธรรมดาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ ภูตผีในที่แห่งนี้นับวันจึงยิ่งเหิมเกริม ผู้คนในะระยะพันลี้ใกล้เขาสันเขียวไม่มีทางเลือกค่อยๆ ย้ายจากไป เกิดเป็นเขตร้างหลายพันลี้
หนึ่งพันกว่าปีก่อนผู้ฝึกฝนผู้เก่งกล้าคนหนึ่งที่เล่ากันว่ามาจากนิกายใหญ่อายุหมื่นปีแห่งหนึ่งเดินทางฝึกฝีมือจนมาถึงที่แห่งนี้ เขาเห็นว่าที่แห่งนี้ผู้คนทุกข์เข็ญจึงลงมือสังหารภูตผีไปเป็นจำนวนมาก แล้วสละโลหิตบริสุทธิ์วางค่ายกลกักขัง ทำร้ายภูตที่ร้ายกาจที่สุดของที่แห่งนี้จนบาดเจ็บหนัก
ทว่าเนื่องจากปราณแค้นของที่แห่งนี้มากมายเกินไป ขณะที่ภูตตัวนี้กำลังจะวิญญาณแตกสลาย ไม่รู้มันใช้วิธีการใดเรียกปราณหยินพันหมื่น ณ ที่แห่งนี้เข้ากระแทกค่ายกล ส่วนตัวมันอาศัยโอกาสนี้พาภูตผีที่เหลือหนีออกจากจากค่ายกลเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขา
ผู้ฝึกฝนผู้มากความสามารถคนนี้เสียลมปราณไปมาก ไร้กำลังจะไล่ตามสังหารต่อ จึงได้แต่ใช้ผนึกหลายอันกับเขตเทือกเขา ผนึกภูตผีเหล่านี้ไว้ที่นี่
ด้วยเกรงว่าภูตผีด้านในจะทลายผนึกออกมา คนผู้นี้จึงรั้งอยู่ที่นี่จนกระทั่งสุดท้ายละสังขารก็ไม่เคยจากไปสักก้าว
ทว่าก็เพราะเหตุนี้ที่แห่งนี้ถึงยังมีสิ่งมีชีวิต หลังผ่านการดูแลหลายร้อยปีก็เฟื่องฟูขึ้นมาอีกครั้ง
ผู้ฝึกฝนคนนี้ยังตั้งรกรากมีลูกหลานที่นี่จนเหลือทายาทไว้มากมาย พวกเขารุ่นแล้วรุ่นเล่าเฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือปราณจิตวิญญาณฟ้าดินที่นี่เบาบางอย่างแท้จริง ทายาทของผู้ฝึกฝนท่านนี้จึงค่อยๆ ตกต่ำ นอกจากจะไม่มีพลังมหาศาลดั่งบรรพบุรุษ พวกเขายังค่อยๆ ตกต่ำกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาสูญเสียพลังเวทไป ถึงขนาดที่มีคนไม่น้อยลืมเลือนหน้าที่ซึ่งบรรพบุรุษส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่นไปแล้ว
ผนวกกับชั้นจำกัดรอบนอกเหล่านั้นไม่มีคนรักษามาเนิ่นนาน มันย่อมรับแรงกระแทกจากวิญญาณแค้นมากมายด้านในไม่ไหว ทานไม่ไหวมานานแล้ว
ปัจจุบันทายาทเหล่านี้ก็ยังคงรวมตัวอยู่ใกล้ๆ เทือกเขาสันเขียว พวกเขาก็คือหุบเขาตระกูลเยี่ยที่เสี่ยวเอ้อร์กล่าวถึง
เรื่องเหล่านี้เป็นข้อมูลทั้งหมดที่หลิ่วหมิงสอบถามมาได้จากหลายๆ ที่ เรื่องราวจริงแท้อย่างไร ขณะนั้นยังไม่อาจตัดสินได้
หลิ่วหมิงมองหมอกภูตเบื้องหน้าก็รู้ว่าเรื่องเล่าเหล่านี้คงเป็นเรื่องจริงแปดเก้าในสิบส่วน
โดยทั่วไปแล้วมีเพียงภูตที่อายุยาวนาน พลังไปถึงระดับผลึกเท่านั้นถึงจะสร้างหมอกภูตสีเขียวหนาทึบระดับนี้ออกมาได้ นอกจากนี้พื้นที่ก็ไม่มีทางใหญ่มาก
แต่หมอกภูตที่นี่กลับครอบคลุมทั้งภูเขา
“หรือที่นี่จะมีภูตระดับแก่นแท้?” หลิ่วหมิงลอบคาดเดาในใจ
ในเวลานี้เองปราณดำก็แล่นออกมาจากในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณถุงหนึ่งข้างเอว เฟยเอ๋อร์บินออกมาจากด้านใน
“นายท่าน ข้าสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าที่นี่มีเจ้าตัวที่ร้ายกาจมากอยู่!” เฟยเอ๋อร์ปรากฏตัวปุบ สองตาก็มองลึกเข้าไปในหมอกภูต บนใบหน้าอ่อนเยาว์เผยสีหน้าจริงจัง แต่ลึกลงไปในดวงตากลับแฝงแววตาปรารถนาจางๆ
หลิ่วหมิงได้ฟังก็พยักหน้า เขาก็รู้สึกจากคลื่นพลังจิตวิญญาณรอบด้านได้อยู่เลือนรางว่าในเทือกเขาสันเขียวมีค่ายกลผนึกอยู่ค่ายกลหนึ่ง
ลักษณะของภูเขาที่นี่โอบล้อมกันอยู่ ปราณหยินส่วนใหญ่รวมตัวกันอยู่ตรงจุดที่เทือกเขาตัดกัน
ส่วนค่ายกลผนึกที่วางไว้ก็ใช้ประโยชน์จากทิศทางการไหลของชีพจรปราณใต้ดินที่นี่วางค่ายกลกักขังค่ายกลหนึ่งไว้ รวมพลังหยินส่วนใหญ่ของที่แห่งนี้ไว้ด้วยกันให้ไม่อาจกระจายออกไปได้
ข้อดีของการทำเช่นนี้เห็นได้ชัดเจนคือทำให้ภูตผีด้านในไม่อาจเหยียบออกจากที่แห่งนี้ไปทำร้ายสิ่งมีชีวิตใกล้เคียงได้ แต่มันกลับละเลยจุดหนึ่งไป นั่นก็คือปราณหยินรวมตัวกันไม่สลายไปย่อมทำให้ที่แห่งนี้ค่อยๆ กลายเป็นสถานที่อันยอดเยี่ยมสำหรับการฝึกฝนของเหล่าภูตผี
หากวันหน้าผนึกนี้ถูกทำลาย ผลที่ตามมาไม่อาจคาดคิดได้เลย
ทว่าแม้เป็นเช่นนี้หลิ่วหมิงก็ยังค่อนข้างนับถือผู้อาวุโสท่านนี้ที่วางค่ายกลชั้นจำกัดนี้
คนผู้นี้คงเป็นปรมาจารย์ค่ายกลคนหนึ่ง นอกจากนี้พลังอย่างน้อยก็ต้องบรรลุถึงระดับแก่นแท้ มิเช่นนั้นผ่านไปหลายปีเช่นนี้ค่ายกลชั้นจำกัดมหึมาขนาดนี้คงทลายไปนานแล้ว
แต่เวลานี้ผนึกมาถึงขั้นวิกฤตแล้ว ตัวค่ายกลปริแตกอยู่หลายจุด ปราณหยินรั่วออกมาไม่น้อย นี่ถึงก่อให้เกิดหมอกภูตหนาทึบรอบด้าน
หลิ่วหมิงครุ่นคิดเพียงครู่หนึ่งก็ลอยขึ้นบนอากาศพาหัวบินมุ่งไปด้านหน้าด้วยกัน
เมื่อเขาพุ่งเข้าไปในไอหมอกที่ล่องลอยอยู่รอบเทือกเขาไม่นาน เบื้องหน้าก็มีเสียงร้องแหลมดังขึ้น
แสงสีเขียวสว่างวาบ เงาสีเขียวขนาดเท่าคนร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากในหมอกภูตเข้าตะปบหลิ่วหมิง
“วานรเขาเน่า…”
หลิ่วหมิงตะลึงเล็กน้อย!
เงาที่โจนเข้ามาคือภูตหน้าตาเหมือนวานรซึ่งมีขนสีเขียวทั่วร่างตัวหนึ่ง บนศีรษะมีเขาสั้นๆ สีเขียวเข้มคู่หนึ่ง ส่วนกรงเล็บสองข้างมีขนแข็งสีดำงอกอยู่เต็มไปหมด
ภูตชนิดนี้ตอนเขายังอยู่ที่นิกายปีศาจเคยพบอยู่ที่แดนปีศาจปรโลกในนิกายหลายครั้ง ตอนที่ยังเป็นระดับศิษย์จิตวิญญาณ เขายังเคยจะลองเก็บมันมาเป็นอสูรเลี้ยง แต่น่าเสียดายที่ล้มเหลว
ขณะที่บนใบหน้าหลิ่วหมิงเผยสีหน้าย้อนความทรงจำ หัวบินที่ยืนอยู่ข้างเขาร่างกายก็หายวับบินพุ่งพรวดออกไปแล้ว มันอ้าปากพ่นเปลวเพลิงสีเขียวสายหนึ่งออกมา
วานรเขาเน่าคล้ายเกรงกลัวเปลวเพลิงสีเขียวนี้อย่างยิ่ง หางสะบัดทันใดหมายจะเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศ
บนร่างวานรเขาเน่าตัวนี้พลังภูตเอ่อล้น พัฒนาไปถึงภูตระดับขุนพลแล้ว แต่เทียบกับเฟยเอ๋อร์ในวันนี้ห่างชั้นอยู่ไม่รู้เท่าไร
แสงสีเขียวสว่างวาบ วานรเขาเน่าตัวนี้ถูกเปลวเพลิงสีเขียวแถบใหญ่หุ้มไว้ด้านใน มันกรีดร้องเสียงประหลาดออกมา ร่างกายสูงเท่าคนคล้ายหลอมละลายท่ามกลางเปลวเพลิงสีเขียวจนหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ชั่วครู่ให้หลังก็ถูกหลอมกลายเป็นก้อนปราณสีเขียวเข้มก้อนหนึ่ง
เฟยเอ๋อร์อ้าปากเล็กพ่นแสงเรืองรองสีเขียวสายหนึ่งออกมาอีกครั้ง มันม้วนทีหนึ่งก็หอบก้อนปราณสีเขียวเข้มเข้ามาในปาก
เฟยเอ๋อร์คล้ายเรอออกมาทีหนึ่ง มือน้อยขาวนุ่มตบหน้าท้องเบาๆ บนใบหน้าเผยสีหน้าพึงพอใจ
“กระทั่งวานรเขาเน่าภูตชนิดนี้ยังถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว ดูท่าเขาสันเขียวแห่งนี้จะกลายเป็นรังภูตแห่งหนึ่งแล้วจริงๆ” หลิ่วหมิงเอ่ยพึมพำขึ้น
จากนั้นหลิ่วหมิงก็พาหัวบินสำรวจรอบนอกเขาสันเขียวรอบหนึ่ง พบว่าหมอกหนานี่แทบจะครอบคลุมตัวภูเขาไปค่อนครึ่ง ยืนอยู่นอกภูเขาไม่อาจมองเห็นสภาพอย่างละเอียดภายในภูเขาได้อย่างสิ้นเชิง และเมื่อปล่อยจิตสัมผัสไปก็ถูกหมอกหนาเหล่านี้กั้นขวางไม่อาจแทรกเข้าไปได้
ระหว่างนั้นพวกเขาพบการจู่โจมของวานรเขาเน่าอีกหลายตัว พวกมันล้วนกลายเป็นอาหารของหัวบินทั้งหมด
ไม่นานนักยามอัสดงก็ค่อยๆ มาเยือน หมอกภูตค่อยๆ ปรากฏขึ้นพร้อมราตรีกาล เสียงดังแสกสากลอยออกมาเลือนรางเป็นพักๆ
“ค่ำคืนพลังหยินเพิ่มพูน ไม่เหมาะสำรวจที่แห่งนี้ต่อ วันนี้พอเท่านี้ พวกเราไปก่อนเถิด” มือหลิ่วหมิงตั้งท่าเคล็ดวิชา ปราณดำสายหนึ่งหุ้มร่างของเขากับหัวบินไว้แล้วจากไปไกลอย่างรวดเร็ว
“นายท่าน…” หัวบินมองไปหาหลิ่วหมิง ปากน้อยอ้าๆ หุบๆ อยากจะพูดแต่ก็หยุดไป
“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดสิ่งใด หากที่นี่มีภูตระดับแก่นแท้ตัวหนึ่งจริง แก่นแท้ของมันก็พอดีเอามาบำรุงเจ้าได้” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ แล้วอ้าปากเอ่ย
หัวบินได้ยินพลันยินดียิ่ง
พลังของมันวันนี้มาถึงจุดสูงสุดของระดับผลึกแล้ว แก่นแท้ของภูตตนหนึ่ง ไม่แน่อาจเป็นโอกาสอันดีให้มันเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนก็ได้
หลิ่วหมิงไม่ได้จากไปไกลนัก เท้าเหยียบเมฆดำก้อนหนึ่งมุ่งหน้าไปยังยอดเขาน้อยลูกหนึ่งห่างจากเทือกเขาสันเขียวสิบกว่าลี้ เตรียมหาถ้ำสักแห่งค้างแรมหนึ่งคืน
ไม่นานนักเขาก็บินมาถึงตีนเขา
“เอ๋!”
สายตาของเขาทอประกาย ไม่ไกลออกไปคือหุบเขาขนาดเล็กที่ค่อนข้างราบเรียบแห่งหนึ่ง ในหุบเขามีควันลอยขึ้นมาเลือนรางเห็นชัดว่าเป็นหมู่บ้านไม่ใหญ่นักแห่งหนึ่ง มีแค่ประมาณยี่สิบสามสิบครอบครัว
ด้านนอกหมู่บ้านใช้ไม้ล้อมเป็นกำแพงชั้นหนึ่งคล้ายใช้ป้องกันสัตว์ร้ายโจมตี ปากทางเข้าหมู่บ้านตั้งศิลายักษ์สีดำสนิทแผ่นหนึ่งไว้ ผิวศิลาเรียบวาวดุจกระจก ด้านบนสลักคำว่า ‘เยี่ย’ ตัวโตคำหนึ่งไว้ ตัวอักษรเฉียบคมทรงพลัง สลักลึกลงไปในหินสามส่วน
“เยี่ย? หรือที่นี่จะเป็นหุบเขาตระกูลเยี่ย?”
สายตาของหลิ่วหมิงทอประกายวูบหนึ่ง จากข่าวที่เขาสืบเสาะมา ผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้เขาสันเขียวเช่นนี้ นอกจากหุบเขาตระกูลเยี่ยก็น่าจะไม่มีผู้อื่นแล้ว