“ผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์?”
โอวหยางเชี่ยนได้ยินคำนี้พลันปิดริมฝีปากงามแผ่วเบา แล้วมองสำรวจซาฉู่เอ๋อร์บนจรดล่างไม่หยุด
โอวหยางฉินก็ตกใจเช่นเดียวกัน แววตาที่มองไปหาซาฉู่เอ๋อร์มีความสงสัยเพิ่มขึ้นมา
ซาฉู่เอ๋อร์ได้ฟังคำพูดของหลิ่วหมิงก็ถอนหายใจทีหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
“ผู้น้อยเป็นศิษย์ของผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญนัก ที่จริงข้าเดินทางมายังตระกูลโอวหยางครานี้ก็เพื่อตามหาบิดา บิดาของข้าเป็นคนของตระกูลโอวหยาง”
โอวหยางเชี่ยนกับน้องสาวได้ฟังย่อมตกตะลึงอีกหน คนชุดม่วงกลับสีหน้าถมึงทึง สายตาวูบไหวไม่ทราบกำลังคิดสิ่งใดอยู่
“ใช่แล้ว ข้าจำได้ ก่อนหน้านี้เจ้าเคยบอกข้าว่าบิดาเจ้าเป็นชาวจงเทียน คิดไม่ถึงว่าเป็นคนจากตระกูลโอวหยาง” หลิ่วหมิงนึกออกลางๆ
“บิดาข้านามว่าโอวหยางหมิง ยามนั้นท่านบอกมารดาเองกับปากว่าท่านเป็นศิษย์ตระกูลโอวหยาง มิเช่นนั้นครั้งนี้ข้าคงไม่ออกจากหนานฮวงตรงมาตามหาที่นี่” ซาฉู่เอ๋อร์เอ่ยเสียงเบา
“โอวหยางหมิง”
ใบหน้าโอวหยางเชี่ยนกับน้องสาวเผยสีหน้างุนงงเล็กน้อย คล้ายกับว่าไม่เคยได้ยินนามนี้มาก่อน
ส่วนบนหน้าชายวัยกลางคนชุดม่วงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ครู่เดียวก็คล้ายนึกบางอย่างขึ้นได้ สีหน้าฟื้นกลับมาเป็นปกติในพริบตา
ความเปลี่ยนแปลงชั่วพริบตานี้อยู่ในสายตาซาฉู่เอ๋อร์และหลิ่วหมิงทั้งสิ้น
“หวังว่าผู้อาวุโสจะให้ผู้น้อยได้พบหัวหน้าตระกูลท่านสักครั้ง เมื่อผู้เยาว์ทราบข้อมูลที่แท้จริงของบิดาจะจากไปทันที ไม่กวนตระกูลโอวหยางอีกเด็ดขาด” ซาฉู่เอ๋อร์เอ่ยถามด้วยเสียงร้อนรน
“ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าตระกูลโอวหยางไม่มีคนชื่อโอวหยางหมิงผู้นี้ เจ้ามาหาผิดที่แล้ว ไยยังงมงายอีก!” โอวหยางซินรำคาญเล็กน้อยแล้ว
“เป็นไปไม่ได้ ท่านพ่อเคยบอกท่านแม่เองกับปากว่าเขามาจากตระกูลโอวหยางหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่แห่งแผ่นดินจงเทียน เป็นศิษย์แกนนำรุ่นที่ยี่สิบแปด นามว่าโอวหยางหมิง…” ซาฉู่เอ๋อร์ร้อนใจรีบเอ่ยขึ้น
“ข้าไม่มีความจำเป็นต้องหลอกเจ้า ตระกูลโอวหยางไม่มีคนผู้นี้อยู่ในบันทึกจริงๆ แผ่นดินจงเทียนมีตระกูลมากมาย แซ่โอวหยางก็ไม่ได้มีแค่ตระกูลเราที่เขาหยกฝัน เจ้ารีบไปเสีย ไปสืบหาข่าวคราวที่อื่นเถิด” ชายวัยกลางคนชุดม่วงเอ่ยอย่างเย็นชา
ซาฉู่เอ๋อร์อ้าปากจะเถียงอีก แต่โอวหยางซินกลับสะบัดแขนเสื้อเอ่ยเสียงเหี้ยม
“ข้าจะพูดเพียงเท่านี้ ตระกูลโอวหยางไม่ยินดีต้อนรับแม่นาง เชิญตามสบายเถิด มิเช่นนั้นอย่าโทษว่าข้าไม่เกรงใจจริงๆ!”
พูดจบ แรงกดดันจิตวิญญาณมหาศาลสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเลือนราง ชักนำให้อากาศรอบด้านเกิดวงกระเพื่อมจางๆ
ไม่ว่าโอวหยางเชี่ยนกับน้องสาวหรือซาฉู่เอ๋อร์ล้วนแค่นเสียงแผ่วเบา ถอยหลังไปก้าวหนึ่งอีกครั้งอย่างห้ามตนเองไม่ได้ จากนั้นรอบร่างถึงเปล่งแสงสีขาวตั้งร่างมั่นคงได้
มีเพียงหลิ่วหมิงที่ร่างกายโงนเงนเล็กน้อยอยู่กับที่ทนรับได้เหมือนไม่มีปัญหา
นี่ทำให้โอวหยางซินอดไม่ได้มองหลิ่วหมิงอย่างคิดไม่ถึงเพิ่มอีกหน แต่หลังแค่นเสียงหยันทีหนึ่งก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่
ซาฉู๋เอ๋อร์เห็นเช่นนี้ก็กัดริมฝีปากเล็กน้อย ท้ายที่สุดจึงฝืนยิ้มให้หลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้วเดินออกไปด้านนอกด้วยสีหน้าหม่นหมอง
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่ได้ไล่ตามไปทันที
จากสถานการณ์ตรงหน้า ในสิบมีแปดเก้าส่วนที่บิดาของซาฉู่เอ๋อร์น่าจะเป็นศิษย์ของตระกูลโอวหยางจริง นอกจากนี้เป็นไปได้อย่างที่สุดว่าเขาอาจเกี่ยวข้องกับความลับบางอย่างของตระกูลโอวหยาง มิเช่นนั้นคนนอกผู้หนึ่งบุกตระกูลโอวหยางดื้อๆ ติดกันหลายครั้งเช่นนี้ ไหนเลยจะปล่อยคนไปง่ายดายเช่นนี้
แต่หากเขาจำไม่ผิด ตอนนั้นซาฉู่เอ๋อร์เคยบอกว่าบิดาของนางสิ้นชีวิตอยู่ในทะเลทรายกุ่ยโม่นานแล้ว หากเป็นเช่นนี้สตรีนางนี้จะมาตระกูลโอวหยางทำอันใดอีก
หากเขาไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของเรื่องราวกระจ่างชัดก็ไม่สะดวกลงมือช่วยเหลือจริงๆ ไม่เช่นนั้นอาจกลายเป็นอวดฉลาดแสดงความโง่
“พี่หลิ่ว หัวหน้าตระกูลอยู่ในห้องโถงใหญ่ พวกเราเข้าไปเถิด” โอวหยางเชี่ยนมองเงาแผ่นหลังของชายวัยกลางคนชุดม่วงแล้วเอ่ยขึ้น จากนั้นเดินเคียงไหล่โอวหยางฉินเข้าไป
หลิ่วหมิงเอี้ยวศีรษะมองซาฉู่เอ๋อร์ที่จากไปไกลทีหนึ่ง หลังดวงตาฉายแววครุ่นคิดเล็กน้อยก็ก้าวไปข้างหน้าต่อ
เมื่อเข้ามาในห้องโถงใหญ่ก็พบทางเดินไม่ยาวนักอีกเส้นหนึ่ง สองฟากฝั่งมีเด็กรับใช้สวมชุดม่วงแบบเดียวกันหลายคนยืนกุมมืออยู่ เบื้องหน้ามีประตูทางเข้าห้องโถงสูงใหญ่บานหนึ่ง ไม่เห็นชายวัยกลางคนชุดม่วงผู้นั้น เห็นชัดว่าเขาคงเข้าไปด้านในแล้ว ส่วนสองพี่น้องโอวหยางเวลานี้กำลังยืนรออยู่หน้าประตู
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ร่างกายพลันขยับวูบหนึ่งมาถึงเบื้องหน้าสตรีทั้งสองนางแล้วเอ่ยขึ้น
“ให้ทั้งสองท่านรอนานแล้ว”
โอวหยางเชี่ยนไม่พูดอันใด หมุนตัวยกแขนเสื้อขึ้นทีหนึ่งแล้วเปิดประตูใหญ่ออก ทั้งสองคนเดินนำเข้าไป
หลิ่วหมิงเดินตามเข้าไปอย่างไม่ลังเลสักนิด
ปรากฏว่าเหยียบเข้ามาปุบก็พบว่าเบื้องหน้าฉับพลันกว้างขวาง
ภายในห้องโถงใหญ่แห่งนี้กว้างถึงหนึ่งหมู่กว่า สูงสี่ห้าจั้ง บนกำแพงสี่ด้านฝังผลึกสีม่วงไว้ บนเพดานโค้งแขวนโคมวังหลวงดวงหนึ่งไว้สูง ดูมีภาพลักษณ์ของชนชั้นสูงผู้มั่งคั่งของโลกมนุษย์อยู่บ้าง
ฝั่งตรงข้ามของห้องโถง บุรุษผิวขาวสะอาดสวมชุดยาวสีม่วงทองผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้แดงตัวโต
คนผู้นี้อายุประมาณสามสิบปี บนริมฝีปากมีหนวดเคราสั้นๆ แลดูท่าทางสง่างาม เวลานี้กำลังมองสำรวจหลิ่วหมิงอย่างสนใจยิ่งนัก
โอวหยางซินก่อนหน้านี้นั่งสีหน้าไร้อารมณ์อยู่ด้านข้าง
เมื่อหลิ่วหมิงสบสายตากับเขา ร่างกายก็อดไม่ได้สั่นสะท้านเล็กน้อย
เขาสัมผัสได้ถึงปราณมหาศาลคล้ายปีศาจสายฟ้าจากตัวของบุรุษผู้สง่างามคนนี้ นอกจากนี้ยังดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าอยู่บ้างด้วย
พี่น้องโอวหยางคำนับบุรุษผู้สง่างามอย่างนอบน้อมครั้งหนึ่ง ริมฝีปากของโอวหยางเชี่ยนก็ขยับเล็กน้อยส่งกระแสจิตรายงานสองสามประโยคแล้วถึงเดินไปยืนกุมมืออยู่ด้านข้าง
“ผู้เยาว์หลิ่วหมิงแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์ คารวะหัวหน้าตระกูลโอวหยาง” หลิ่วหมิงค้อมกายคำนับครั้งหนึ่ง
ก่อนเดินทางมาเขาหยกฝัน เขาก็สืบข่าวหัวหน้าตระกูลโอวหยางมาบ้างเช่นกัน
หัวหน้าตระกูลผู้นี้เบื้องหน้านามว่าโอวหยางเจี้ยนชิว ได้ยินว่าคนผู้นี้รับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลโอวหยางมาไม่ถึงร้อยปี เก็บตัวจากโลกภายนอกยิ่งนักมาตลอด วันนี้ได้พบ รูปลักษณ์ภายนอกถึงกับยังเยาว์วัยปานนี้
“ที่แท้ศิษย์หลานหลิ่วจากนิกายยอดบริสุทธิ์นี่เอง รูปลักษณ์เช่นยอดคนจริงๆ” บุรุษผู้สง่างามฟังเสียงกระแสจิตของโอวหยางเชี่ยนจบก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อย แต่เมื่อเขามองสำรวจหลิ่วหมิงอีกสองสามครั้ง ในที่สุดก็เผยรอยยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงติดจะแหบพร่าอยู่บ้าง
“ผู้เยาว์ก็ได้ยินชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของหัวหน้าตระกูลมานาน วันนี้ได้ยลโฉมตัวจริงนับเป็นวาสนาของผู้เยาว์แล้ว” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างนอบน้อม
“ฮ่ะๆ เจ้าอายุไม่มากแต่ช่างเจรจานัก ฟังจากที่เชี่ยนเอ๋อร์เล่า ศิษย์หลานหลิ่วมาเขาหยกฝันครานี้เพราะอยากขอยืมใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์หรือ?” โอวหยางเจี้ยนชิวยกถ้วยชาขึ้นจิบ ดูราวกับเอ่ยถามอย่างสบายๆ
“หัวหน้าตระกูลชาญฉลาดยิ่งนัก อินจิ่วหลิงอาจารย์ของข้ากับผู้อาวุโสโอวหยางอิงของตระกูลท่านเคยทำสัญญากัน สัญญาจะให้ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ของเรายืมใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ได้สามครั้ง ดังนั้นผู้น้อยถึงกล้าบุ่มบ่ามเดินทางมาขอร้อง” หลิ่วหมิงเอ่ยตอบด้วยเสียงนอบน้อม
“เป็นเช่นนี้เอง…” โอวหยางเจี้ยนชิวฟังแล้วก็พยักหน้าครุ่นคิด
“เรียนหัวหน้าตระกูล เรื่องของผู้อาวุโสอิงกับอินจิ่วหลิงนิกายยอดบริสุทธิ์เมื่อตอนนั้นเป็นสัญญาที่ทำกันเอง หาได้แจ้งให้ผู้อาวุโสประจำตระกูลทราบไม่ ดังนั้นสัญญานี้สมควรทำตามหรือไม่ยังต้องหารืออย่างละเอียด” ชายวัยกลางคนชุดม่วงเวลานี้กลับเอ่ยขึ้นนิ่งๆ
หลิ่วหมิงได้ยินคำนี้ สีหน้าพลันเคร่งขรึมขึ้นทันที แต่ในฐานะคนนอก เวลานี้ย่อมไม่สะดวกเอ่ยวาจาอันใดมาก มิเช่นนั้นจะได้ผลตรงกันข้ามอย่างง่ายดาย
“เรียนหัวหน้าตระกูล ฉินเอ๋อร์คิดว่าคำพูดนี้ของผู้อาวุโสซินไม่เหมาะสม จากที่ข้าทราบยามนั้นผู้อาวุโสอิงไม่ได้รับปากข้อแลกเปลี่ยนนี้อย่างไร้สาเหตุ แต่เขาทำเพื่อแลกโอกาสเข้าทางปีศาจร้ายมาให้ศิษย์หลายคนในตระกูลที่ระดับพลังนิ่งค้างมานานปี ในเมื่อสัญญามาตั้งแต่แรก ไหนเลยจะกลับคำได้? มิเช่นนั้นไยไม่ใช่ให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะตระกูลโอวหยางเราว่าไม่รักษาสัจจะ” โอวหยางฉินกลับโต้ชายวัยกลางคนชุดม่วงทันทีอย่างไม่เกรงกลัว
“เจ้า…” โอวหยางซินสีหน้าเปลี่ยนไปทันที สายตาที่มองโอวหยางฉินฉับพลันฉายแววเหี้ยมเกรียมนิดๆ…
“คำพูดนี้ของฉินเอ๋อร์มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน…” บุรุษผู้สง่างามกลับพยักหน้า
“หัวหน้าตระกูล กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์เป็นของศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเรา ในหมู่ศิษย์ตระกูลโอวหยางหลายพันคนของเรามีคนมากมายรอคอยจะใช้สมบัติชิ้นนี้ทะลวงระดับพลัง ขอหัวหน้าตระกูลโปรดพิจารณาอีกครั้ง! ถึงจะให้คนผู้นี้ยืมใช้…ก็น่าจะให้ไปต่อท้ายแถว” โอวหยางซินเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองหลิ่วหมิงอย่างถมึงทึง แต่น้ำเสียงเห็นชัดว่าไม่แข็งกร้าวเช่นนั้นอย่างก่อนหน้านี้แล้ว
“เหอะ! คำนี้ของผู้อาวุโสซินหมายความว่าคิดจะมอบกำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ให้เจ้าเด็กจากนิกายปีศาจลี้ลับนั่นใช้ก่อนล่ะสิ ไม่รู้จริงๆ ว่านิกายปีศาจลี้ลับมอบผลประโยชน์อันใดให้ผู้อาวุโสซินเป็นการส่วนตัว ทำให้ผู้อาวุโสซินขบคิดเพื่อเขาปานนี้ เรียนหัวหน้าตระกูล นิกายปีศาจลี้ลับไม่ลงรอยกับตระกูลโอวหยางมาตลอด จะเชื่อง่ายๆ ไม่ได้เด็ดขาด!” โอวหยางเชี่ยนไม่ลังเลอีกต่อไป สอดปากเอ่ยขึ้นทันที
“เหอะ พวกเจ้าสองคนพูดจาเหลวไหลไร้สาระต่อหน้าหัวหน้าตระกูล! สภาผู้อาวุโสของตระกูลตัดสินใจแล้วว่าจะให้หลงเซวียนผู้นี้ทำงานใหญ่เรื่องนั้นให้ตระกูล ดังนั้นถึงตกลงให้ยืมใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ครั้งหนึ่งเป็นค่าตอบแทน ในเวลาเดียวกันการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองนิกายก็เป็นการตัดสินใจของสภาผู้อาวุโสของตระกูล ไหนเลยมีที่ให้พวกเจ้าผู้เยาว์สองคนวิพากษ์วิจารณ์” โอวหยางซินกลับฟื้นคืนความสงบ แค่นเสียงหยันเอ่ยขึ้น
“ในเมื่อการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ครั้งนี้เกี่ยวข้องกับพวกเราพี่น้อง พวกเรายังพูดไม่ได้อีกหรือ การตัดสินใจของสภาผู้อาวุโสที่ว่านั่นอาศัยยามที่ผู้อาวุโสกว่าครึ่งในตระกูลไม่อยู่ เป็นการตัดสินกันเองของผู้อาวุโสส่วนน้อยเท่านั้น ไหนเลยจะ..” โอวหยางเชี่ยนใช้เหตุผลเข้าสู้
เวลานี้บุรุษผู้สง่างามที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธานกลับยกถ้วยชาขึ้นดื่มคำหนึ่งอย่างไม่รีบไม่ช้า ประหนึ่งไม่ได้ยินการโต้เถียงเบื้องล่าง
หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์นี้ก็นับถือความสุขุมของคนผู้นี้
“เรียนหัวหน้าตระกูล หากเพื่อทำงานใหญ่เรื่องนั้นของตระกูลให้บรรลุ ข้าคิดว่าสหายหลิ่วเหมาะสมยิ่งกว่าหลงเซวียน อย่างไรงานประตูสวรรค์เมื่อหลายปีก่อน สหายหลิ่วก็ได้อันดับหนึ่ง พลังแข็งแกร่งเหนือกว่าหลงเซวียนผู้นั้นอยู่มาก” โอวหยางฉินพลันเอ่ยขึ้นเสียงดัง
“อ้อ ข้าก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาเช่นกัน” บุรุษผู้สง่างามได้ฟัง สายตาที่มองไปหาหลิ่วหมิงก็ทอประกายขึ้นเล็กน้อยทันที
“ผู้เยาว์เพียงโชคดีเท่านั้น” หลิ่วหมิงได้ยินโอวหยางฉินดึงตนเองมาเป็นโล่บังธนู แม้ลอบขมวดคิ้ว แต่หลังครุ่นคิดเร็วจี๋ในใจสุดท้ายก็ยังไม่ได้เอ่ยปฏิเสธออกมาตรงๆ
“ความจริงแล้วในงานประตูสวรรค์โชควาสนามีส่วนอยู่มากนัก ไม่อาจพิสูจน์ความสูงต่ำของพลังได้ บางทีศิษย์หลานหลิ่วคนนี้ตอนอยู่ด้านในอาจเพียงโชคดีเท่านั้น” โอวหยางซินหัวเราะหยันเอ่ยขึ้น
“ผู้อาวุโสซินพูดเหมือนรู้จริงเช่นนี้ เคยเข้าไปแดนลึกลับประตูสวรรค์หรือ?” โอวหยางเชี่ยนเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“เจ้า…” ชายวัยกลางคนชุดม่วงได้ยินก็ฮึดฮัดทันที
งานประตูสวรรค์ครั้งนี้เขาย่อมไม่อาจเข้าร่วมได้ ส่วนงานประตูสวรรค์ครั้งก่อนก็ห่างจากวันนี้แปดร้อยปี เกรงว่าเวลานั้นถึงเขาจะเกิดมาแล้วแต่ก็ยังห่างไกลไปไม่ถึงเงื่อนไขที่จะเข้าร่วมได้