เทียบกับหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ สภาพของหลิ่วหมิงไม่เปลี่ยนไปเท่าใดนัก แต่เมื่อขยับมือขยับเท้าแรงกดดันที่ไม่อาจพรรณนาได้สายหนึ่งก็แผ่ออกมาเลือนราง
หลิ่วหมิงสัมผัสความเปลี่ยนแปลงของทะเลจิตวิญญาณในร่าง ในใจรู้สึกโชคดียิ่งนักที่เข้าสู่ระดับแก่นเสมือนได้อย่างราบรื่นเช่นนี้
หลังทะลวงเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนก็เท่ากับเหยียบเข้าสู่ระดับแก่นแท้ไปขาหนึ่ง บรรลุสัญญาที่ให้ไว้กับหลัวโหวก่อนหน้านี้แล้ว
ส่วนการเข้าสู่ระดับแก่นแท้ แม้ยากเย็นยิ่งกว่าแต่หลัวโหวสัญญาว่าถึงเวลาจะช่วยเขาอีกแรง นี่จึงทำให้เขามีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นอยู่บ้าง
คิดถึงตรงนี้ หลิ่วหมิงก็อารมณ์ดียิ่งนัก
“ยินดีกับศิษย์หลานหลิ่วที่เข้าสู่ระดับแก่นเสมือนได้ หลังจากนี้ก็นับวันรอผนึกแก่นแท้ได้แล้ว” เสียงแก่ชราเสียงหนึ่งดังขึ้น ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่โอวหยางชิงเฟิงปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าเขา
“คารวะผู้อาวุโสชิงเฟิง ครั้งนี้ผู้เยาว์โชคดีทะลวงระดับสำเร็จได้ล้วนด้วยอิทธิฤทธิ์มหัศจรรย์ของกำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ช่วยเหลือ มิเช่นนั้นแม้ทะลวงคอขวดสิบหน ข้าก็ไม่มั่นใจว่าจะเลื่อนระดับได้สำเร็จ” หลิ่วหมิงรีบร้อนคำนับพลางเอ่ยตอบ
“ศิษย์หลานหลิ่วยังถ่อมตัวเช่นเดิม อายุเท่าเจ้าทำตัวสบายๆ บ้างสิถึงจะสมควร” โอวหยางชิงเฟิงหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ
หลิ่วหมิงฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะ ไม่เอ่ยต่อ
ต่อจากนั้นหลิ่วหมิงก็เดินตามหลังโอวหยางชิงเฟิงผ่านถ้ำอีกครั้งกลับไปในห้องโถงใหญ่ของตำหนักหลิงหลง
เวลานี้หัวหน้าตระกูลโอวหยางผู้สวมชุดสีม่วงตัวใหญ่นั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เมื่อไร เมื่อเห็นหลิ่วหมิงกับผู้อาวุโสเดินเข้ามาในห้องโถง เขาก็ยิ้มน้อยๆ ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยว่า
“ฮ่าๆ ยินดีด้วยศิษย์หลานหลิ่ว”
“หัวหน้าตระกูลชมเกินไปแล้ว” หลิ่วหมิงในใจตกตะลึง พร้อมกันนั้นก็สงสัยอยู่บ้าง เขาคิดว่าตนเองไม่มีคุณสมบัติให้หัวหน้าตระกูลโอวหยางผู้ยิ่งใหญ่มาแสดงความยินดีกับตนเองโดยเฉพาะนะ
“จะว่าไปแล้ว ศิษย์หลานหลิ่วเหตุใดไม่ทำให้ระดับพลังเสถียรมากขึ้นในห้องศิลาแห่งนั้นเล่า ที่แห่งนั้นเดิมทีเป็นสถานที่ฝึกฝนของบรรพบุรุษตระกูลเรา พลังปราณฟ้าดินเข้มข้นกว่าด้านนอกหลายเท่า” หัวหน้าตระกูลส่งสัญญาณให้หลิ่วหมิงนั่งลง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“พลังของผู้เยาว์เสถียรแล้ว หลังจากนี้เพียงต้องใช้เวลาฝึกฝนบ้างเท่านั้นจึงไม่กล้าใช้สถานที่ล้ำค่าของตระกูลโอวหยางต่ออีก” หลิ่วหมิงไม่เข้าใจเจตนาของหัวหน้าตระกูลโอวหยางอยู่บ้าง จึงเอ่ยตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ทันที
หลังเข้าสู่ระดับแก่นเสมือน แม้พลังเวทกับระดับพลังจะก้าวหน้าขึ้นมาก แต่การเลื่อนระดับครั้งนี้ พลังเวทในร่างเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ไปมากนัก ดังนั้นเวลาที่ใช้ทำให้พลังเสถียรที่จริงไม่จำเป็นต้องมากมาย
ระหว่างที่ทั้งสองคนพูดคุย สาวน้อยชุดน้ำเงินผู้นั้นที่หลิ่วหมิงเคยพบก่อนหน้านี้ก็ยกชาจิตวิญญาณสามถ้วยมา ระหว่างที่ยกชามาสาวน้อยมองสำรวจหลิ่วหมิงไม่หยุด ในดวงตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความสงสัยใคร่รู้
“ศิษย์หลานหลิ่วไม่ต้องเกรงใจเช่นนี้ เชิญ!” หัวหน้าตระกูลโอวหยางพยักหน้าเล็กน้อยแล้วยกถ้วยชาขึ้นดื่มคำหนึ่ง
หลิ่วหมิงย่อมไม่กล้าชักช้า รีบยกถ้วยขึ้นจิบเล็กน้อย
หัวหน้าตระกูลโอวหยางสนทนาเรื่อยเปื่อยกับหลิ่วหมิงเช่นนี้พร้อมกับที่สายตากวาดบนร่างหลิ่วหมิงเป็นระยะ ในดวงตาคล้ายแฝงรอยยิ้มมีเลศนัยน้อยๆ ทำให้หลิ่วหมิงอดไม่ได้งงงวยกว่าเดิม
ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินที่อยู่ด้านข้างเอ่ยแทรกขึ้นเป็นระยะก็มีรอยยิ้มน้อยๆ อยู่บนหน้าเช่นกัน
“…จำได้ว่าเคยได้ยินเชี่ยนเอ๋อร์บอกว่า ตอนที่พบกับศิษย์หลานหลิ่วครั้งแรกคือในตลาดแห่งหนึ่งบนยอดเขาต้นกล้าเขียวใช่ไหม?” หัวหน้าตระกูลเอ่ยไปๆ ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามขึ้นมา
“ถูกต้องแล้ว ตอนอยู่ที่นั่นบังเอิญวังมายานภาหยกเปิดออก จึงได้ร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ด้านในกับสหายโอวหยางเชี่ยน” หลิ่วหมิงเอ่ยตอบตามจริง
“งานประตูสวรรค์สิบกว่าปีก่อน ได้ยินเชี่ยนเอ๋อร์กับฉินเอ๋อร์เล่าว่าสุดท้ายต้องขอบคุณศิษย์หลานหลิ่วถึงเอาชีวิตรอดมาจากมือผู้ฝึกฝนต่างเผ่าหลายตนนั้นได้ พวกนางสองคนรู้สึกขอบคุณศิษย์หลานหลิ่วมาตลอด” หัวหน้าตระกูลโอวหยางยิ้มลึกลับเอ่ยขึ้นมา
หลิ่วหมิงได้ยินก็อึ้งไป ไม่ทันตอบอันใด ในใจก็มีลางสังหรณ์ว่าเรื่องยุ่งยากกำลังจะตกใส่หัวอยู่เลือนราง
“ไม่ทราบศิษย์หลานหลิ่วคิดอย่างไรกับเชี่ยนเอ๋อร์และฉินเอ๋อร์สาวน้อยสองคนนี้?” หัวหน้าตระกูลโอวหยางเอ่ยถามขึ้นยิ้มๆ
“เซียนทั้งสองอายุยังน้อยก็พลังระดับผลึกแล้ว พรสวรรค์ไม่ธรรมดา วันหน้าจะต้องสร้างผลงานยิ่งใหญ่ได้แน่…ไม่ทราบหัวหน้าตระกูลเหตุใดจึงถามเรื่องนี้?” หลิ่วหมิงสายตาวูบไหวเล็กน้อย ตอบกลับไปอย่างระมัดระวัง
“ฮ่ะๆ เทียบกับศิษย์หลานหลิ่ว สาวน้อยสองคนนั้นด้อยกว่าอยู่ไกล แต่ในหมู่ศิษย์รุ่นเดียวกันพวกนางสองคนไม่ว่ารูปโฉมหรือพลังล้วนนับว่าเป็นตัวเลือกชั้นดี…จะว่าไปแล้ว ศิษย์หลานหลิ่วน่าจะยังไม่มีคู่รักไว้ฝึกฝนคู่อย่างเป็นทางการสินะ ไม่ทราบว่าคิดจะตบแต่งหนึ่งในพวกนางสองคนเป็นคู่รักฝึกฝน ร่วมกันฝึกฝนมุ่งสู่ทางบรรลุหรือไม่?” หัวหน้าตระกูลโอวหยางอ้อมเป็นโยชน์ ในที่สุดก็เผยเจตนาของเขาออกมา
“ฝึก…ฝึกฝนคู่หรือ?”
หลิ่วหมิงได้ยินก็ตกตะลึง สมองค้างอยู่บ้างไปชั่วขณะ อ้าปากหวอเกือบจะพูดติดอ่าง
“ไม่ผิด ศิษย์หลานหลิ่วเป็นศิษย์ระดับสูงของนิกายยอดบริสุทธิ์ เชี่ยนเอ๋อร์กับน้องสาวพวกนางทั้งสองคนเป็นศิษย์สายตรงของตระกูลโอวหยางเรา เรียกได้ว่าฐานะเหมาะสม เรื่องนี้ไม่ว่ากับเจ้า กับตระกูลโอวหยางหรือนิกายยอดบริสุทธิ์ล้วนเป็นเรื่องดี ไม่ทราบศิษย์หลานหลิ่วคิดอย่างไร?” บุรุษผู้สง่างามยิ้มตาหยีเอ่ยขึ้น
“ขอบคุณเจตนาดีของหัวหน้าตระกูลโอวหยางยิ่ง แม่นางโอวหยางทั้งสองไม่ว่าชาติกำเนิด รูปโฉม ระดับพลังล้วนยากหาคนเทียบเคียง แต่ว่า…” บนหน้าหลิ่วหมิงในที่สุดก็ฟื้นกลับมาปกติแล้วยิ้มเจื่อนๆ ขึ้นมา
“ฮ่ะๆ หรือศิษย์หลานหลิ่วก็…” หัวหน้าตระกูลโอวหยางหัวหราะฮ่ะๆ เอ่ยขึ้น
“หัวหน้าตระกูลโอวหยางอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” หลิ่วหมิงรีบโบกมืออธิบาย
โอวหยางชิงเฟิงที่นั่งอยู่ด้านข้างได้ยินคำนี้ก็หุบยิ้มทันที คิ้วขาวโพลนขมวดน้อยๆ
“อ้อ ถ้าเช่นนั้นหมายความว่าศิษย์หลานหลิ่วไม่ถูกใจพวกเชี่ยนเอ๋อร์หรือ?” หัวหน้าตระกูลโอวหยางก็น้ำเสียงเย็นชาขึ้นในทันใดด้วย อากาศในห้องโถงคล้ายกับจะเริ่มจับตัวแข็งทำให้คนหายใจไม่ออก
“ที่จริงข้ามีคู่รักฝึกฝนที่หมั้นหมายกันไว้คนหนึ่งแล้ว นางเป็นศิษย์สายในของนิกายยอดบริสุทธิ์คนหนึ่งเหมือนกัน เรื่องนี้อาจารย์ของผู้เยาว์กำหนดไว้ตั้งแต่หลายปีก่อนหน้านี้ เพราะเหตุนี้เรื่องที่หัวหน้าตระกูลโอวหยางเอ่ยขึ้นมา จึงได้แต่ขอปฏิเสธ” หลังในใจคิดเร็วไวรอบหนึ่งก็เอ่ยขึ้นอย่างชัดเจนทันที
เขากับพี่น้องโอวหยางพบหน้ากันไม่กี่ครั้ง พูดถึงความรู้สึกอันใดไม่ได้แม้แต่น้อย ผนวกกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเจียหลานยังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อย ไหนเลยยังจะกล้าหาผู้ฝึกฝนหญิงคนอื่นอีก
“ที่แท้ศิษย์หลานหลิ่วก็มีสัญญาหมั้นอยู่แล้ว เช่นนี้ข้าก็ไม่บังคับ” หัวหน้าตระกูลโอวหยางพูดแล้วก็ลุกขึ้น พยักหน้าอย่างเฉยเมยให้หลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้วสะบัดแขนเสื้อก้าวยาวเดินออกไป
หลิ่วหมิงลอบถอนหายใจในใจ รู้ว่าปฏิเสธครานี้ล่วงเกินหัวหน้าตระกูลโอวหยางผู้นี้แล้ว แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เช่นกัน อย่างไรก็รับปากตบแต่งกับคนหนึ่งในพี่น้องโอวหยางจริงๆ ไม่ได้
“ผู้อาวุโสชิงเฟิง เป้าหมายที่ผู้เยาว์เดินทางมายังเทือกเขาหยกฝันครั้งนี้บรรลุแล้วจึงจะขอลาตรงนี้” หลังหัวหน้าตระกูลโอวหยางออกไป หลิ่วหมิงก็ลุกขึ้นเอ่ยลากับโอวหยางชิงเฟิง
“ศิษย์หลานหลิ่วตามสบายเถิด ที่นี่ของข้าจริงๆ ก็ไม่สะดวกรั้งคนนอกไว้นานเช่นกัน” โอวหยางชิงเฟิงในฐานะลุงของพี่น้องโอวหยาง เมื่อหลิ่วหมิงปฏิเสธการแต่งงานตรงๆ ใบหน้าก็ค่อนข้างไม่น่าดู น้ำเสียงเย็นชาขึ้นไม่น้อยเช่นเดียวกัน
หลิ่วหมิงยิ้มเจื่อนในใจ ได้แต่ประสานมือคำนับทีหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินออกไปด้านนอก สุดท้ายเท้าเพิ่งก้าวออกไปก้าวเดียวก็พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ทันใดนั้นจึงเอี้ยวศีรษะกลับมาเอ่ยถามอย่างจริงจังอีกครั้ง
“ก่อนหน้านี้สัญญาว่าหลังข้าใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ ต้องทำงานใหญ่เรื่องหนึ่งให้ตระกูลโอวหยางเป็นการแลกเปลี่ยน แต่จนถึงบัดนี้ตระกูลของท่านก็ยังไม่บอกกล่าวให้ชัดเจนว่าที่แท้เป็นเรื่องใด เวลาใดต้องทำหรือ? ข้าจะได้เตรียมตัวก่อนบ้าง”
“ศิษย์หลานหลิ่วไม่ต้องกังวล เรื่องนั้นยังไม่ถึงเวลา ยามที่ต้องการใช้ท่าน ย่อมมีคนตระกูลโอวหยางเดินทางไปหาท่านเอง” โอวหยางชิงเฟิงมองหลิ่วหมิงนิ่งนานทีหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“เช่นนี้ก็ดี หากตระกูลท่านมีข่าว ส่งคนไปนิกายยอดบริสุทธิ์แจ้งผู้เยาว์คำเดียวก็พอ” หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วหมุนตัวก้าวยาวเดินออกจากตำหนักหลิงหลงไป
เมื่อออกจากตำหนักใหญ่ เขาก็ตั้งท่าเคล็ดวิชาด้วยมือเดียว เมฆดำก้อนหนึ่งยกร่างเขาลอยขึ้นมุ่งไปทางหอต้อนรับแขก
หนึ่งชั่วยามให้หลัง ลำแสงสีดำสายหนึ่งก็บินเร็วรี่ออกจากเทือกเขาหยกฝันเหาะไปยังที่ไกล
ขณะที่ผ่านป่าทึบแห่งหนึ่ง ลำแสงก็หยุดชะงัก แสงสีดำดับลงเผยร่างของชายหนุ่มชุดน้ำเงินคนหนึ่งกับเด็กน้อยคนหนึ่งด้านใน
หลิ่วหมิงกับเยี่ยเฮ่านั่นเอง
“ท่านหลิ่ว ทำไมไม่ไปหรือ?” เยี่ยเฮ่าโคลงศีรษะมองหลิ่วหมิงอย่างประหลาดใจอยู่บ้างแล้วอดไม่ได้เอ่ยปากถาม
หลิ่วหมิงหมุนตัวกลับมา สายตามองไปยังป่าทึบเบื้องล่าง ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นนิ่งๆ
“สหายด้านล่าง เจ้าตามข้ามานานน่าจะเหนื่อยแล้ว ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อีกแล้ว แสดงตนออกมาเถิด”
ในป่าทึบเบื้องล่างมีเสียง “ฟึบ” ดังขึ้น ชั่วขณะที่กิ่งใบสั่นไหว เงาคนสีขาวร่างหนึ่งก็เหาะออกมาจากในป่า เปล่งแสงวูบวาบไม่กี่หนก็เหาะมาถึงเบื้องหน้าหลิ่วหมิงไม่ไกล
“ที่แท้แม่นางซานี่เอง” สายตาของหลิ่วหมิงเคร่งขรึม หลังมองเห็นคนที่มาชัด พลังเวทที่ลอบกระตุ้นขึ้นมาฉับพลันก็สลายไป บนใบหน้าเผยรอยยิ้มน้อยๆ
เงาคนชุดขาวสวมชุดยาวสีขาวอ้อนแอ้นอรชรก็คือซาฉู่เอ๋อร์ที่ไปจากตระกูลโอวหยางเมื่อหนึ่งเดือนกว่าก่อนหน้านั่นเอง
“พี่หลิ่ว ท่าน…ท่านเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนแล้ว!” ซาฉู่เอ๋อร์มองเยี่ยเฮ่าที่อยู่ข้างกายหลิ่วหมิงทีหนึ่ง จากนั้นสายตาก็จับบนร่างหลิ่วหมิง นางแย้มยิ้มงดงาม กำลังจะเอ่ยคำพูด ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากตัวหลิ่วหมิง ดวงเนตรงามจึงอดไม่ได้ฉายแววประหลาดใจแล้วเอ่ยทัก
“ครั้งนี้ข้ามาเยือนตระกูลโอวหยางก็เพื่อยืมใช้สมบัติชิ้นหนึ่งเพื่อเข้าสู่ระดับแก่นเสมือน ช่างเรื่องนี้ก่อนเถิด แม่นางซารั้งอยู่ที่เทือกเขาหยกฝันแห่งนี้เพราะเรื่องบิดาของท่านหรือ?” หลิ่วหมิงอธิบายประโยคหนึ่งก็ย้อนถามกลับหนึ่งประโยค
“ครั้งนี้ข้าลำบากนักกว่าจะออกมาจากทะเลทรายกุ่ยโม่ได้ หากสืบข่าวของบิดาไม่ได้ย่อมไม่มีทางเลิกราโดยง่าย” บนดวงหน้างามของซาฉู่เอ๋อร์เผยสีหน้าเด็ดเดี่ยวออกมา แม้เสียงเบาแต่น้ำเสียงแน่วแน่
หลิ่วหมิงได้ยินก็เงียบไปพักหนึ่ง ชั่วครู่ให้หลังบนใบหน้าจึงเผยสีหน้าประหลาดเล็กน้อยแล้วเอ่ยปากถามเรียบๆ
“ก่อนหน้านี้อยู่ต่อหน้าคนตระกูลโอวหยาง ข้าจึงไม่สะดวกเอ่ยมาก จำได้ว่ายามนั้นในทะเลทรายกุ่ยโม่ แม่นางซาเคยบอกเองกับปากว่าบิดาของท่านหาใช่คนของเผ่าทราย หลังพลัดหลงเข้ามาในทะเลทรายกุ่ยโม่ก็กลายเป็นมนุษย์ธรรมดาแล้วตายจากไป วันนี้เหตุใดแม่นางซายังต้องมาตามหาข่าวคราวของเขาที่แผ่นดินกลางอีก หรือยังมีเรื่องซ่อนเร้นอันใดอยู่?”
“เรื่องนี้เล่าแล้วยาว ในยามนั้นข้าหาได้มีเจตนาจะหลอกลวงพี่หลิ่ว แต่ยามนั้นคนของเผ่าทรายทั้งหมดในทะเลทรายกุ่ยโม่ล้วนถูกนายท่านใช้วิชาลับวิชาหนึ่งบิดเบือนความทรงจำ พวกเราล้วนคิดว่าบิดาแก่ตายไปในทะเลทรายกุ่ยโม่ แต่ที่จริงบิดาถูกนายท่านพยายามส่งออกไปจากทะเลทรายกุ่ยโม่ ข้าก็เพิ่งถูกนายท่านแก้วิชาลับให้แล้วบอกเรื่องเหล่านี้ไม่นานนี้เอง” ซาฉู่เอ๋อร์ถอนหายใจทีหนึ่งแล้วอธิบาย