ลูกจ้างชุดน้ำเงินเห็นป้ายก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมาเล็กน้อย แต่พริบตาเดียวก็เก็บซ่อนไปแล้วเอ่ยขึ้นเหมือนไม่มีอะไร
“แม้ป้ายแผ่นนี้ของท่านดูไม่เลว แต่ต้องผ่านตาผู้ดูแลก่อนถึงจะยืนยันได้ว่าราคาเท่าไร”
“รับไปสิ” สายตาของหลิ่วหมิงทอประกายแล้วโบกมือ
หลังลูกจ้างชุดสีน้ำเงินมองหลิ่วหมิงนิ่งนาน สองมือก็ประคองป้ายก้าวเร็วๆ ไปด้านในตัวร้าน
ผ่านไปไม่นานนัก ลูกจ้างชุดน้ำเงินก็วิ่งออกมาอีก เขาส่งป้ายคืนให้หลิ่วหมิงด้วยสีหน้านอบน้อมหลังจากนั้นคำนับเอ่ยขึ้นว่า
“ท่านลูกค้า ผู้ดูแลเชิญท่านด้านในขอรับ”
หลิ่วหมิงเก็บป้ายกลับไปไว้ข้างเอวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า หลังเขาลุกขึ้นยืนพลางกวักมือเรียกซาฉู่เอ๋อร์ก็ส่งสัญญาณให้ลูกจ้างชุดน้ำเงินนำทาง
ไม่นานลูกจ้างชุดน้ำเงินก็พาทั้งสองคนเข้าไปด้านในร้าน มาถึงในห้องแห่งหนึ่งด้านในสุด
ในห้องบุรุษวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมที่ท่าทางเหมือนผู้ดูแลคนหนึ่งยืนอยู่ตรงกลาง สายตาจับอยู่บนร่างหลิ่วหมิงจากนั้นมองไปทางซาฉู่เอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้าง แววตาแสดงคำถามออกมา
“ไม่เป็นไร แม้คนผู้นี้ไม่ใช่ศิษย์นิกายเราแต่เป็นสหายคนหนึ่งของข้า” หลิ่วหมิงเอ่ยเรียบๆ
ตอนนี้ชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมถึงคำนับอย่างนอบน้อมครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยว่า
“ฉินอู่ศิษย์สายนอกนิกายยอดบริสุทธิ์คารวะศิษย์พี่หลิ่ว”
ซาฉู่เอ๋อร์ถอดผ้าคลุมบนศีรษะออก ใบหน้าแสดงสีหน้าประหลาดใจ
ที่แท้ร้านแห่งนี้เป็นฐานที่มั่นที่ใช้ติดต่อกันลับๆ แห่งหนึ่งของนิกายยอดบริสุทธิ์ในเมืองหนานหมิง!
ในฐานะสี่ยอดนิกายใหญ่แห่งเผ่ามนุษย์ นิกายยอดบริสุทธิ์ดำรงอยู่บนแผ่นดินจงเทียนมาเนิ่นนานไม่รู้เท่าไร ทุกหนทุกแห่งบนแผ่นดินจงเทียนมีฐานที่มั่นทั้งลับทั้งแจ้งอยู่มากมายไว้ใช้รวบรวมส่งต่อข่าวสายนานาประการ
บางครั้งก็จะมีศิษย์ของนิกายตนอย่างหลิ่วหมิงเช่นนี้บังเอิญมาเยือนที่แห่งนี้เพื่อขอความช่วยเหลือหรือถามข่าวบางอย่าง
หลิ่วหมิงรู้มาว่าเมืองมนุษย์แต่ละแห่งใกล้ๆ เขาหยกฝันล้วนมีฐานที่มั่นเช่นร้านแห่งนี้อยู่ไม่น้อยเกินสิบกว่าแห่ง แม้บางแห่งในนั้นถูกเปิดเผยแล้ว แต่ตระกูลโอวหยางก็แกล้งทำเป็นไม่รู้
อย่างไรเรื่องทำนองเดียวกันนี้ นิกายใหญ่และตระกูลใหญ่แต่ละแห่งก็ล้วนกระทำดุจเดียวกัน ตระกูลโอวหยางเองก็ตั้งฐานที่มั่นประเภทเดียวกันนี้อยู่ใกล้ๆ เทือกเขาหมื่นวิญญาณเช่นกัน กลุ่มอำนาจใหญ่แต่ละแห่งล้วนรู้แก่ใจดีจึงไม่เป็นฝ่ายไปเปิดโปง
ในเมื่อตอนนี้ต้องการสืบเรื่องราวของตระกูลโอวหยาง หลิ่วหมิงย่อมนึกถึงที่แห่งนี้
“พี่หลิ่วมาเยือนครานี้ ไม่ทราบศิษย์น้องรับใช้อันใดได้บ้าง?” ชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมคำนับครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยถามด้วยใบหน้าจริงจัง
“ข้าอยากถามเกี่ยวกับตระกูลโอวหยางสักหน่อย ข่าวทั้งหมดของคนที่ชื่อโอวหยางหมิง” หลิ่วหมิงเอ่ยถามตรงเข้าประเด็น
“โอวหยางหมิง!”
บุรุษหน้าเหลี่ยมได้ยินก็ตะลึงไปเล็กน้อย เขามองหลิ่วหมิงอย่างค่อนข้างประหลาดใจแล้วจึงเอ่ยต่อ “คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่หลิ่วจะรู้จักคนผู้นี้ด้วย นี่เหนือความคาดหมายของข้าอยู่บ้าง”
หลิ่วหมิงฟังแล้วก็เงียบไม่เอ่ยวาจา แต่บนหน้าซาฉู่เอ๋อร์กลับปรากฏสีหน้าตื่นเต้นเล็กน้อย
“เจ้าไปเฝ้าด้านนอกไว้ก่อน” ชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อยแล้วโบกมือเอ่ยกับลูกจ้างชุดสีน้ำเงินที่รออยู่ด้านข้าง
ลูกจ้างชุดสีน้ำเงินเข้าใจความหมาย หลังค้อมกายให้ชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมกับพวกหลิ่วหมิงครั้งหนึ่งก็ถอยออกไปแล้วปิดประตูห้องเบาๆ
ตอนนี้ชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมถึงเดินมาข้างตู้ใบหนึ่งที่อยู่ริมห้อง หลังรื้อค้นด้านในอยู่พักหนึ่งก็เอาหนังสือบางๆ เล่มหนึ่งออกมา
“โอวหยางหมิง ศิษย์สายตรงรุ่นที่ยี่สิบแปดของตระกูลโอวหยาง ร่างกายมีชีพจรจิตวิญญาณพสุธา พรสวรรค์เลิศล้ำ อายุสิบหกปีเข้าสู่ระดับของเหลวจิตวิญญาณ อายุสามสิบปีเข้าสู่ระดับผลึก อายุสามสิบเจ็ดปีได้เข้าไปอยู่ในหอหลินอิงของตระกูลและกลายเป็นศิษย์แกนนำ อายุไม่ถึงร้อยปีก็ผนึกแก่นแท้ แต่ข่าวคราวหลังจากนั้นกลับไม่มีสักเท่าไร คล้ายกับว่าคนผู้นี้หายไปตั้งแต่นั้น ทว่าเมื่อสี่สิบปีก่อน คนผู้นี้ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ทั้งตระกูลโอวหยางเหมือนจะเกิดความปั่นป่วนครั้งใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับคนผู้นี้ นับจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวของคนผู้นี้อีก จนกระทั่งวันนี้เป็นตายยังไม่ทราบ” ชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมพลิกมาถึงหน้าหนึ่งในนั้นแล้วอ่านช้าๆ
หลังอ่านจบ ชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมก็ส่งหนังสือให้หลิ่วหมิง
บรรทัดแรกของหนังสือใช้หมึกสีเข้มเขียนอักษรตัวโตไว้สามตัวว่าโอวหยางหมิง ด้านล่างใช้ตัวหนังสือขนาดเล็กบันทึกเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับโอวหยางหมิงไว้
หลิ่วหมิงอ่านอย่างละเอียดพักหนึ่ง สิ่งที่บันทึกอยู่บนนั้นล้วนเป็นประวัติชีวิตจำนวนหนึ่งก่อนที่เขาจะบรรลุระดับแก่นแท้ แต่ไม่เห็นจุดที่เกี่ยวพันกับหนานฮวงเลย บรรทัดสุดท้ายเขียนด้วยหมึกสีแดงไว้สี่คำว่าเป็นตายไม่ทราบ
หลิ่วหมิงวางหนังสือลงช้าๆ จากนั้นมองซาฉู่เอ๋อร์ทีหนึ่งพลางส่งกระแสจิตถาม
“สี่สิบปีก่อน หรือว่า?”
“เป็นเช่นที่พี่หลิ่วคาด บิดาออกจากทะเลทรายกุ่ยโม่มาเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนจริงๆ” ซาฉู่เอ๋อร์กัดริมฝีปากสีอิงเถาเบาๆ แล้วส่งกระแสจิตตอบ
ในใจหลิ่วหมิงลอบพยักหน้า ดูท่าหลังโอวหยางหมิงออกจากทะเลทรายกุ่ยโม่คงเคยกลับมาที่เทือกเขาหยกฝันแล้วทำให้เกิดความขัดแย้งในตระกูลโอวหยางเพราะสาเหตุที่ไม่ทราบบางประการ แม้ในหนังสือนี่บันทึกว่าคนผู้นี้เป็นตายไม่ทราบ แต่หลิ่วหมิงคิดว่าการหายตัวไปของโอวหยางหมิงผู้นี้คงหนีไม่พ้นเกี่ยวข้องกับตระกูลโอวหยางแน่นอน ถึงขนาดเป็นไปได้ว่าอาจถูกตระกูลโอวหยางสังหารหรือกักขังไว้
“แค่ข้อมูลเท่านี้ยังไม่พอ ข้าต้องการรู้ข้อมูลที่ละเอียดกว่านี้ หากรู้ที่อยู่ของคนผู้นี้ได้ยิ่งดี” หลิ่วหมิงวางหนังสือลงแล้วเอ่ยอย่างนิ่งสงบกับชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมอีกครั้ง
“บันทึกเกี่ยวกับคนผู้นี้ของพวกเราที่นี่มีเพียงเท่านี้ หากศิษย์พี่ต้องการข้อมูลมากกว่านี้เกรงว่าจะต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง แล้วระหว่างนั้นก็ต้องมีค่าใช้จ่ายพิเศษอยู่บ้าง…” ชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจ
“เท่านี้น่าจะพอกระมัง ข้าต้องการสืบสถานการณ์ของคนผู้นี้ให้ได้เร็วที่สุด” หลิ่วหมิงพลิกมือเรียกถุงผ้าหนักอึ้งใบหนึ่งออกมาโยนไปให้ ขณะที่ปากเอ่ยขึ้นเรียบๆ
ชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมยื่นมือรับถุงผ้าไปแล้วกวาดตามองครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นบนใบหน้าก็เผยสีหน้ายินดีออกมาเล็กน้อย เขาพยักหน้ารัวพร้อมเอ่ยว่า
“ศิษย์พี่หลิ่วโปรดวางใจ ข้าต้องการเวลามากที่สุดเพียงสามวันเท่านั้น”
หลิ่วหมิงได้ยินก็ยิ้มน้อยๆ ไม่พูดอันใดอีก
ต่อจากนั้นเขาก็ไม่ได้รั้งอยู่ที่นี่นาน เขาย่อมไม่ต้องกังวลว่าชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมผู้นี้รับหินจิตวิญญาณไปแล้วจะไม่ทำงาน เขาออกไปจากโรงรับจำนำพร้อมกับซาฉู่เอ๋อร์ทันที
“แม่นางซา ร้านแห่งนี้เป็นฐานที่มั่นแห่งหนึ่งของนิกายยอดบริสุทธิ์ของข้า แม้ไม่นับว่าเป็นความลับนัก แต่ไม่จำเป็นก็อย่าเปิดเผยกับผู้อื่นง่ายๆ” หลังออกจากร้านมา หลิ่วหมิงก็เดินไปทางตะวันออกของเมืองพร้อมกับที่เอ่ยปากขึ้นช้าๆ
“พี่หลิ่วโปรดวางใจ แม้น้องความรู้ตื้นเขินแต่ย่อมรู้จักสมควร เรื่องทำร้ายผู้มีพระคุณเช่นนี้ไม่มีวันทำ” ดวงเนตรงามของซาฉู่เอ๋อร์ฉายแววซาบซึ้งจางๆ แล้วเอ่ยอย่างจริงจังยิ่งนัก
หลิ่วหมิงหัวเราะ หากไม่ใช่เขารู้จักนิสัยของซาฉู่เอ๋อร์อยู่บ้าง เขาก็คงไม่บุ่มบ่ามพาสตรีนางนี้มาที่นี่
ไม่นานนักทั้งสองคนก็มาถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งทางตะวันออกของเมืองแล้วแยกย้ายเข้าไปในห้องพักสองห้อง
เยี่ยเฮ่ารอหลิ่วหมิงอยู่ในห้องนั้นอย่างเชื่อฟัง เขายังคงเอาแต่ท่องเคล็ดวิชาที่หลิ่วหมิงสอนเขา
สามวันว่างเว้นติดกัน บ่ายวันที่สี่หลิ่วหมิงกับซาฉู่เอ๋อร์ก็ขยับตัวมาที่โรงรับจำนำอีกครั้ง
“ลูกค้าทั้งสองเชิญด้านใน” ลูกจ้างชุดสีน้ำเงินเห็นทั้งสองคนก็ดวงตาเป็นประกาย ใบหน้าแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรแล้วพาพวกเขาไปด้านหลัง ฉินอู่ชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมเวลานี้รออยู่ข้างในก่อนแล้ว
“พี่ฉิน สืบเรื่องได้อย่างไรบ้าง?” หลิ่วหมิงเอ่ยถามเรียบๆ
“ได้ข่าวมาบ้าง แต่ไม่คืบหน้ามากนัก” ฉินอู่เชิญทั้งสองคนเข้าไปในห้องลับแห่งหนึ่ง ถอนหายใจไปพลางก็บอกตรงๆ
“อ้อ? ลองว่ามาฟังดูซิ” หลิ่วหมิงเอ่ยถาม
“ข้าใช้วิธีการลับบางอย่าง แต่ได้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาไม่มากนัก ข้าหาที่อยู่ของโอวหยางหมิงไม่พบ แต่หาสถานที่เร้นกายของศิษย์ในตระกูลซึ่งก่อนหน้านี้ใกล้ชิดกับเขาอย่างยิ่งคนหนึ่งพบ บางทีอาจสอบถามข้อมูลอื่นเกี่ยวกับโอวหยางหมิงจากเขาได้” ฉินอู่ยกมือส่งคัมภีร์หยกเล่มหนึ่งให้หลิ่วหมิงแล้วบอกทุกสิ่งทุกอย่าง
“อ้อ ได้ผลเช่นนี้” หลิ่วหมิงรับคัมภีร์หยกมาด้วยมือข้างเดียว คิ้วขมวดเข้าหากัน
ส่วนซาฉู่เอ๋อร์ได้ฟังถึงตรงนี้ สองมือด้านในแขนเสื้อก็กำเป็นหมัดแน่น ในดวงตาปรากฏแววตายินดีจางๆ
หลิ่วหมิงเห็นแววตาของซาฉู่เอ๋อร์ก็ลอบถอนหายใจ จากนั้นแนบคัมภีร์หยกลงบนหน้าผาก ข้างในบันทึกข้อมูลจำนวนหนึ่งก่อนที่โอวหยางหมิงจะหายไปกับตำแหน่งสถานที่เร้นกายตอนนี้ของศิษย์ร่วมตระกูลผู้นั้นอยู่จริงๆ
………
ครึ่งค่อนวันให้หลัง ลำแสงสองสายสีดำสายหนึ่งสีเหลืองสายหนึ่งก็ร่อนลงนอกหุบเขาอันเงียบสงบแห่งหนึ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ห่างจากเทือกเขาหยกฝันร้อยกว่าลี้
หลังแสงรัศมีกะพริบหายไปก็เผยร่างของหลิ่วหมิงกับซาฉู่เอ๋อร์ออกมา
“ที่นี่หรือ?” ซาฉู่เอ๋อร์ยืนอยู่นอกหุบเขาอันเงียบสงบ หลังชะเง้อมองเล็กน้อย ในดวงตาก็ฉายแววสงสัยเอ่ยพึมพำขึ้นมา
ด้านในหุบเขามีเพียงป่ารกครึ้มเขียวชอุ่ม ไม่มีเงาบ้านหรือสิ่งก่อสร้างใดๆ ให้เห็น
“นี่เป็นภาพมายา วางไว้ได้ประณีตทีเดียว ถึงกับซ่อนเร้นคลื่นพลังเวทได้ ดูท่าผู้ฝึกฝนที่อาศัยอยู่ที่นี่น่าจะชำนาญศาสตร์นี้” ดวงตาของหลิ่วหมิงทอแสงสีดำเรืองๆ หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็งอนิ้วหนึ่งแล้วดีด ลูกไฟขนาดเท่าศีรษะคนพุ่งรวดเร็วออกมา
ลึกเข้าไปในหุบเขาอันเงียบสงบเกิดคลื่นระลอกหนึ่งขึ้นกลางอากาศ ลูกไฟส่งเสียงดัง “ฟู่” แล้วถูกกลืนเข้าไป
หลังจากนั้นก็เกิดระลอกคลื่นขึ้นกลางหุบเขา ภาพทุกสิ่งสั่นไหววูบหนึ่งดุจผิวน้ำราบเรียบที่ถูกคนโยนหินก้อนหนึ่งลงไป
“พี่หลิ่วพลังสายตาดีจริงๆ!” ซาฉู่เอ๋อร์เห็นเช่นนี้ ในดวงตาก็ฉายแววนับถือจางๆ
“แม่นางซาอยู่ในทะเลทรายกุ่ยโม่มานาน ยามปกติพบเจอแต่อสูรทรายเป็นหลัก วิชามายาชั้นจำกัดได้พบเจอมาไม่มาก มองไม่ออกก็ไม่แปลก” หลิ่วหมิงโบกมือแล้วหัวเราะเบาๆ เอ่ยขึ้นมา
ในตอนนี้เอง ขณะที่ระลอกคลื่นกลางหุบเขายังไม่ทันสลายไป แสงสีน้ำเงินอ่อนสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้น มุมหนึ่งของแสงสว่างเหมือนถูกฉีก หลังจากส่องสว่างขึ้นวูบหนึ่ง ชายหนุ่มผู้สวมชุดยาวสีเหลืองอ่อนคนหนึ่งก็เหาะออกมา หลังเขายืนมั่นคงก็มองพวกหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าระแวดระวัง
“พวกเจ้าเป็นใคร บังอาจบุกรุกคฤหาสน์ภูเขาจื่อเสวียนของข้า!”
หลิ่วหมิงเคลื่อนสายตามามอง ชายหนุ่มชุดเหลืองตรงหน้าพลังระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นปลายเท่านั้น แต่เผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนระดับผลึกสองคนเช่นพวกเขากลับไม่เผยสีหน้าขลาดกลัวแม้แต่น้อย เขาเอ่ยเสียงกระจ่างชัดทันที
“สหายท่านนี้ พวกเราสองคนไม่มีเจตนาจะล่วงเกิน แต่มีธุระอยากขอพบผู้อาวุโสโอวหยางขุย รบกวนช่วยแจ้งแทนด้วย”
“หืม? พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าท่านพ่อเร้นกายอยู่ที่นี่? พวกเจ้าเป็นใครกันแน่?” ชายหนุ่มชุดเหลืองได้ยินก็ตกตะลึง สีหน้าเปลี่ยนไปในทันใดแล้วตวาดเสียงดุดัน
หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว ขณะที่กำลังขบคิดว่าจะเอ่ยปากอย่างไรถึงจะค่อนข้างรอมชอม ทันใดนั้นในหุบเขาก็พลันมีเสียงที่ค่อนข้างแก่ชราเสียงหนึ่งดังขึ้น
“เสียนเอ๋อร์ อย่าเสียมารยาท!”
เสียงเพิ่งเอ่ยจบ ในหุบเขาก็มีแสงสีน้ำเงินสั่นไหวเกิดเป็นรูปร่างของบานประตูบานหนึ่ง ผู้เฒ่าชุดสีเหลืองคนหนึ่งเหาะออกมาจากด้านใน