ปีศาจวานรทั้งสองกระโดดตัวเคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็มาถึงบริเวณที่ปีศาจวานรทั้งสามถูกสังหาร และได้เดินวนไปหนึ่งรอบ พอปีศาจวานรสีดำตนนั้นสูดดมกลิ่นเข้าไปก็พลันปรากฏสีหน้างงงวยออกมา
และปีศาจวานรขนทองกลับก้มลงหยิบเอากระบองยักษ์สีดำขึ้นมาจากพื้นดินบริเวณนั้น บนนั้นยังมีรอยเลือดอยู่เต็มไปหมด หลังจากที่มันใช้จมูกดมกลิ่นดูแล้ว ก็แหงนหน้าคำรามออกมาด้วยความโมโห
ขนทั่วทั้งตัวของมันตั้งชันขึ้นมา ร่างของมันขยายใหญ่จนสูงสี่จั้งกว่าๆ และหลังจากที่กระโดดไม่กี่ทีก็มาอยู่บนกองหินที่จินอวี่ซ่อนตัวในก่อนหน้านั้น มือทั้งสองตบลงไปด้านล่างอย่างรุนแรง
เสียงดัง “ตู้ม!” ก้อนหินที่อยู่ในรัศมีหลายจั้งแตกละเอียดไปในพริบตา เศษหินรวมตัวกันบนมือของปีศาจวานรอย่างรวดเร็ว จากนั้นมันก็เปลี่ยนเป็นกระบองหินยาวเจ็ดแปดจั้งชี้ขึ้นไปบนฟ้า
วานรยักษ์เพียงแค่ลูบมือทั้งสองไปยังปลายกระบองทั้งสองข้าง กระบองหินก็ดูเกลี้ยงเกลาขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันมันก็เปลี่ยนจากสีขาวเทามาเป็นโลหะสีเงินวาว
ปีศาจวานรขนทองกระทุ้งกระบองสีเงินลงไปบนพื้นอย่างรุนแรง
บังเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นขึ้นมาทันที กองหินทั้งหมดกลายเป็นหลุมยักษ์ลึกครึ่งจั้ง
วานรยักษ์กวัดแกว่งกระบองไปทั่วทิศทาง จนเกือบจะพังทลายหุบเขาตรงนั้นไปครึ่งหนึ่ง มันถึงได้ลดความโกรธลงไปได้เล็กน้อย จากนั้นร่างของมันก็กลับมามีขนาดเท่าเดิม และโยนกระบองยักษ์ในมือทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนที่จะพาวานรสีดำเดินจากไป
พอกระบองยักษ์สีเงินอันนั้นหล่นไปจากมือปีศาจวานรเพียงไม่กี่ลมหายใจ แสงสีเงินบนพื้นผิวก็หายไป และกลับมาเป็นสีขาวเทาดังเดิม
หลังจากที่มีลมพัดผ่านไปเบาๆ มันก็กลายเป็นผุยผงกระจายหายไป
ตอนที่ปีศาจวานรทั้งสองเดินถึงปากทางเข้านั้น ปีศาจวานรขนทองตัวที่อยู่หน้าสุดพลันทำจมูกฟุดฟิด ก่อนที่จะย่อตัวลงไปในทันที เท้าทั้งสองออกแรงอย่างรวดเร็วก่อนที่จะกระโจนไปยังหินก้อนหนึ่งที่อยู่ตรงบริเวณนั้น
“แย่แล้ว พวกเราถูกพบเข้าแล้ว เผ่นเร็ว!”
พลันมีเสียงหวาดผวาดังมาจากหลังก้อนหิน จากนั้นก็มีเสียงดัง “สวบ!” “สาบ!” เงาร่างของคนสองคนพุ่งออกไปคนละด้านด้วยความรวดเร็วดุจลูกธนู
พวกเขาคือชายหนุ่มสวมชุดนิกายวาตอัตคีสองคน
ประจักษ์ชัดว่าทั้งสองถูกเสียงอันดังในก่อนหน้านี้ดึงดูดให้เข้ามาในหุบเขา แต่พอเห็นพลังอันน่าตกใจของปีศาจวานรขนทองเข้าไหนเลยจะกล้าโผล่หน้าออกมา คิดไม่ถึงว่าปีศาจวานรขนทองตนนี้จะจมูกไวเป็นอย่างมาก จนสามารถค้นพบร่องรอยของพวกเขาได้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทั้งสองได้แต่วิ่งหนีด้วยความตกใจเท่านั้น
ปีศาจวานรขนทองที่อยู่กลางอากาศกลับคำรามเสียงต่ำออกมา พร้อมกับทุบหมัดใส่คนทั้งสองอย่างรุนแรง
ศิษย์นิกายวาตอัคคีทั้งสองรู้สึกแค่ว่ามีพลังมหาศาลพุ่งมายังด้านหลัง ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีทางเลี่ยง คนหนึ่งทำได้เพียงแต่ขยับตัวหลบไปยังด้านข้าง อีกคนหนึ่งได้เพียงแต่หยุดฝีเท้าหมุนตัวกลับมาฟันกระบี่ตอบโต้กลับไป
เสียงดัง “ตู้ม!” “ตู้ม!”
บังเกิดหลุมยักษ์ขนาดใหญ่ด้านข้างของคนผู้หนึ่ง หลังจากที่มีคลื่นอากาศม้วนตัวออกมา เขาก็ซวนเซจนเกือบจะล้มลงไป
อีกคนเคราะห์ร้ายยิ่งกว่า พอปราณกระบี่ที่ฟาดฟันออกไปปะทะกับพลังมหาศาล ก็กระเด็นกลับมาในทันที
ถ้าไม่ใช่ว่าเขารีบขยี้ยันต์ในมือให้แตกจนกลายเป็นแสงสีเขียวปกป้องตัวไว้ เกรงว่าคงจะถูกฟันออกเป็นสองส่วนแล้ว
แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ก็ตาม พลังมหาศาลที่ตามมาทีหลังก็กระเทือนร่างของเขาจนกระอักเลือดออกมา ร่างของเขากระเด็นออกไปราวกับฟางข้าว
ในขณะนั้นเองปีศาจวานรขนทองกลับบิดตัวเปลี่ยนทิศทางกระโจนออกไปพร้อมกับพายุอันน่ากลัว ครู่เดียวก็มาถึงด้านหน้าชายหนุ่มที่ฟาดฟันปราณกระบี่ออกไป
ศิษย์นิกายวาตอัคคีผู้นี้เพิ่งจะตั้งตัวได้ พอเข้าเห็นฉากนี้ย่อมตกใจจนหน้าถอดสี เขาทำได้เพียงแต่อ้าปากออกมาก่อนที่จะมีลำแสงสีเขียวเส้นหนึ่งพุ่งยิงออกไป ขณะเดียวกันก็ฟาดฟันกระบี่ในมือออกไปอย่างรุนแรง เปลวไฟอันคุโชนม้วนตัวออกจากบนนั้นทันที
ปีศาจวานรขนทองเห็นฉากนี้กลับคำรามออกมาในทันที คลื่นเสียงสีขาวโพลนพุ่งทะลักออกไปทำลายคลื่นเปลวไฟสีเขียวจนแตกกระจาย และยังพลอยสั่นสะเทือนจนร่างของชายหนุ่มด้านหน้าต้องหยุดชะงัก ขณะเดียวกันโลหิตก็ไหลออกมาจากอวัยวะทั้งห้าของเขา
วานรยักษ์เคลื่อนไหวอีกครั้ง พริบตาเดียวก็มาปรากฏอยู่ด้านหลังของชายหนุ่ม แขนทั้งสองของมันพร่ามัวก่อนที่จะฟาดลงไปบนบ่าทั้งสองของชายหนุ่มอย่างรุนแรง
ศิษย์นิกายวาตอัคคีส่งเรียกร้องดัง “อ๊าก!” และคิดที่จะโต้ตอบกลับไป แต่มันก็สายไปเสียแล้ว
วานรยักษ์ขนทองเพียงแค่ออกแรงที่แขนทั้งสองก็ฉีกชายหนุ่มในมือจนขาดออกเป็นสองส่วน จากนั้นมันก็อ้าปากกัดหัวใจที่ยังเต้นอยู่ไปกว่าครึ่งหนึ่ง
ศิษย์นิกายวาตอัคคีที่เห็นภาพนี้อยู่ไกลๆ ตกใจจนขวัญกระเจิง เขาขยี้ยันต์ที่มีทั้งหมดโดยแทบไม่ต้องคิดอะไร ม่านแสงสามชั้นที่มีสีต่างกันปรากฏออกมาคลุมร่างเขาไว้ในทันที ขณะเดียวกันยังมีอักขระสีเขียวกับสีขาววิ่งเต้นอยู่ที่เท้าทั้งสอง
เสียงดัง “ฟู่” เขากลายเป็นแสงสีเขียวทะยานขึ้นฟ้าไป โดยไม่คำนึงถึงอันตรายที่อาจพบได้จากการพุ่งขึ้นสูงจนเกินไป
ปีศาจวานรขนทองเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้รีบตามไปแต่อย่างใด แต่กลับโยนศพในมือทิ้งไป จากนั้นก็กระโดดไปยังด้านหน้าหินสีดำที่มีขนาดใหญ่ประมาณอ่างน้ำ
พอมันสะบัดไหล่ กลิ่นไอบนตัวก็เพิ่มขึ้นมาอีกหลายเท่า ขนของมันตั้งชันขึ้นมาก่อนที่จะกลายเป็นวานรยักษ์ที่สูงสี่จั้งอีกครั้ง แขนทั้งสองคว้าไปหยิบหินยักษ์สีดำไว้แน่น และยกมันขึ้นไว้เหนือศีรษะราวกับว่าไม่ต้องออกแรงใดๆ เลย
หลังจากวานรยักษ์คำรามเสียงออกมา แสงสีเงินพลันปรากฏขึ้นที่มือทั้งสองทันที ก้อนหินที่แลดูธรรมดาได้กลายเป็นสีเงินแวววาว
จากนั้นแขนทั้งสองของวานรยักษ์ก็ขยายขนาดใหญ่ขึ้นพร้อมกับขว้างก้อนหินไปยังอากาศที่อยู่ไกลออกไปอย่างรุนแรง เป้าหมายก็คือชายหนุ่มนิกายวาตอัคคีที่พุ่งออกไปได้ระยะหนึ่งแล้ว
ชายหนุ่มกำลังกระตุ้นพลังเวทย์เพื่อพุ่งไปด้านหน้าอย่างสุดชีวิต แต่หลังจากที่หูทั้งสองพลันได้ยินเสียงดัง “วู้!” และยังไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นนั้น ร่างของเขาก็ถูกหินยักษ์สีเงินทุบเข้าใส่ในทันที
ชั้นแสงที่ปกคลุมร่างของเขาถูกหินยักษ์ทำลายจนแตกกระจายไปอย่างง่ายดาย เขาร้องอย่างน่าเวทนาก่อนที่จะเสียชีวิตไป เศษเลือดเนื้อตกลงมาจากฟ้าโดยไม่มีเค้าโครงว่าเป็นเลือดเนื้อของมนุษย์เลย
หลังจากวานรยักษ์ขนทองกระโดดอย่างรวดเร็วไม่กี่ทีก็คว้าเอาศพที่หล่นลงมาได้ หลังจากที่ฉีกออกเป็นหลายชิ้นแล้วก็โยนซากศพทิ้งไป มือทั้งสองชกไปที่อกอย่างรุนแรง แล้วแหงนหน้าคำรามเสียงแหลมยาวออกมา!
เสียงคำรามสะเทือนเลือนลั่นดังพุ่งออกไปจนสุดขอบฟ้า จนกระทั่งพุ่งออกไปไกลสิบกว่าลี้
เมื่อศิษย์หกนิกายที่ยังอยู่บริเวณนั้นได้ยินเสียงคำรามนี้ ต่างก็รู้สึกเย็นยะเยือก นอกจากผู้ที่เชื่อมั่นในพลังของตนเองแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็พาออกไปไกลๆ จากพื้นที่บริเวณนี้โดยมิได้นัดหมาย
แต่ในถ้ำหินที่อยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดลี้ พอหลิ่วหมิง หยางเฉียน และคนอื่นที่นั่งเข้าฌานอยู่ได้ยินเสียงคำรามนี้ก็พาลืมตาทั้งสองขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ดูเหมือนว่าปีศาจวานรบนเขาจะรู้เรื่องที่พวกของมันหายตัวไปแล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ตอนนี้พวกมันคงระวังตัวเป็นอย่างมาก สองวันนี้พวกเราไม่ควรดำเนินการใดๆ อีก ต้องรอให้พ้นสองวันไปก่อนถึงใช้แผนหลอกล่อให้ออกมา” หยางเฉียนขมวดคิ้วกล่าว
“ศิษย์พี่หยางกล่าวได้มีเหตุผล แต่เวลาสองวันนี้ไม่อาจสูญเปล่าได้ พวกเราไม่สู้แยกย้ายกันชั่วคราวก่อน แล้ววันที่สามค่อยมาเจอกันที่เถอะ!” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“แยกย้ายกัน! อืม! ความคิดนี้ไม่เลว เวลาแต่ละวันในแดนลึกลับนี้มีค่ามาก ย่อมต้องใช้ให้คุ้ม” ชายหน้าดำได้ยินก็กล่าวเห็นดีเห็นงามด้วย
จินอวี่ก็ไม่มีข้อคัดค้านใดๆ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้ละกัน รอพักผ่อนเสร็จแล้วก็แยกกันสองวัน” หยางเฉียนเองก็ย่อมไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะคัดค้าน
“ศิษย์น้องไป๋ ศิษย์น้องจิน ข้ามีสุราโอสถอยู่สองขวด อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าก็กินถุงน้ำดีของปีศาจวานรเถอะ! มิเช่นนั้นพอเวลาผ่านไปนานผลลัพธ์ของมันจะลดลง” ชายหน้าดำหล่าวกับหลิ่วหมิง และจินอวี่ด้วยรอยยิ้ม พอเขาพลิกฝ่ามือขึ้นมาก็มีขวดเครื่องเคลือบเรียวยาวขนาดเล็กปรากฏอยู่บนนั้น
“ขอบคุณพี่อวิ๋น ถ้าอย่างนั้นน้องก็ไม่เกรงใจล่ะนะ” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็รับสุราโอสถมาอย่างไม่เกรงใจ
แน่นอนว่าจินอวี่ยิ่งไม่ปฏิเสธเข้าไปใหญ่
ต่อมาพวกเขาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากอีก แต่กลับตั้งใจกำหนดลมหายใจเข้าฌานต่อ
หลายชั่วยามผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงลืมตาทั้งสองขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่าในถ้ำนี้นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีคนอื่นเลย
เขากลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย แต่กลับหยิบขวดเครื่องเคลือบที่เก็บเข้าไปในก่อนหน้านั้นออกมาอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นก็เปิดฝาออกแล้วดมเบาๆ หลังจากที่ดวงตาเขาเป็นประกายก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาหยิบโอสถสีขาวออกจากตัวเม็ดหนึ่ง และบีบละเอียดก่อนที่จะเทใส่ลงไปในนั้น
เขาเขย่าขวดเคลือบเบาๆ หลังจากที่กวาดสายตามองเข้าไปข้างในก็พยักหน้าอย่างพอใจ และหยิบกล่องไม้ที่บรรจุถุงน้ำดีของปีศาจวานรออกมา
ผ่านไปสักครู่ เขาฝืนอมถุงน้ำดีสีแดงม่วงของปีศาจวานรที่มีกลิ่นคาวรุนแรงไว้ในปากก่อน จากนั้นก็ดื่มสุราโอสถแล้วกลืนลงไป
เพียงครู่เดียวหลิ่วหมิวก็รู้สึกว่ามีไอร้อนทะลักออกมาบริเวณท้องน้อย เขารีบหลับตาทั้งสองค่อยๆ กลั่นเอาพลังจากมันอย่างไม่รอรี
หนึ่งชั่วยามผ่านไป เขาถึงลุกขึ้นมาพร้อมกับถอนหายใจยาวๆ หลังจากที่ขยับแข้งขยับขาเล็กน้อยก็มีเสียงดังของข้อต่อต่างๆ ดังออกมาเบาๆ
หลิ่วหมิงตาเป็นประกาย เท้าทั้งสองออกแรงเพียงเล็กน้อย ร่างของเขาก็กระโดดลอยขึ้นสูงหลายจั้ง หลังจากที่แขนข้างหนึ่งเคลื่อนไหวจนดูพร่ามัวมันก็จับหินชิ้นหนึ่งบนผนังถ้ำไว้ จากนั้นก็ออกแรงที่นิ้วทั้งห้าเล็กน้อย
เสียงดัง “เพล้ง!” หินที่ดูแข็งแกร่งกลายเป็นผุยผงในทันที
หลังจากหลิ่วหมิงบิดตัว ร่างของเขาก็ลอยลงมาอีกครั้งราวกับไร้น้ำหนัก
“ไม่เลว! พลังเพิ่มมาไม่น้อย แต่ผลลัพธ์ของหญ้าลอยฟ้าที่ทานไปก่อนหน้านั้นก็เหมือนจะเห็นผลได้ชัดเจนขึ้น ถ้าตอนนี้หล่นจากฟ้า ถึงแม้จะไม่ใช้วิชาทะยานเวหาก็คงไม่มีปัญหามากนัก ส่วนด้านความเร็วนั้น…”
หลิ่วหมิงยกมือทั้งสองขึ้นมาสังเกตอย่างละเอียดครู่หนึ่งแล้วก็พูดพึมพำออกมา แต่ตอนพูดถึงประโยคสุดท้ายก็สะบัดไหล่ทันที ร่างของเขากระโจนออกไปจากตำแหน่งเดิมราวกับสายลมอันบางเบา จากนั้นก็มีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น เงาร่างพร่ามัวหลายเงาทับซ้อนกันออกมา
พริบตาเดียวก็ราวกับว่ามีหลิ่วหมิงเจ็ดแปดคนปรากฏตัวพร้อมกันในถ้ำ
หลังจากที่เงาร่างทั้งหมดวิ่งไปยังด้านหนึ่งของถ้ำพร้อมกัน มันก็รวมตัวกันออกมาเป็นร่างที่แจ่มชัดของหลิ่วหมิง
……………………………………….