ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 871 กระบี่ว่างเปล่าโฉมใหม่

เวลาสามวันสั้นๆ เขาก็เข้าใจวิชาลับที่ใช้ปราณกระบี่หลอมทรายธารดาราวิชานี้ราวเจ็ดแปดส่วนแล้ว

หลิ่วหมิงพักผ่อนอีกวันหนึ่ง หลังจากฟื้นพลังจิตขึ้นมาอยู่ในสภาพพร้อมที่สุด เขาก็สูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วกรอกพลังเวทเข้าสู่ศิลาหุนเทียนในทะเลจิตวิญญาณ

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง

หลิ่วหมิงก็นั่งขัดสมาธิอยู่ในมิติสีเทาขมุกขมัว เบื้องหน้าคือค่ายกลสีทองอ่อนขนาดหนึ่งจั้งกว่า กระบี่สีทองยาวสองฉื่อแปดชุ่นเล่มหนึ่งกำลังลอยนิ่งไม่ขยับอยู่บนค่ายกล

ใต้ม่านแสงสีทองอ่อนใจกลางค่ายกลมีถุงผ้าสีขาวธรรมดาถุงหนึ่ง มันก็คือทรายธารดาราราวหนึ่งในสิบส่วนที่หลิ่วหมิงตั้งใจเตรียมไว้

แสงดาราระยิบระยับเอ่อล้นออกมาจากปากถุงผ้าอย่างเชื่องช้า ราวกับว่าในค่ายกลเต็มไปด้วยดวงดาราบนทางช้างเผือก

ในเวลานี้เองหลิ่วหมิงพลันสีหน้าเปลี่ยนไป มือหนึ่งตั้งท่าเคล็ดกระบี่ ทันใดนั้นกระบี่ว่างเปล่าด้านบนค่ายกลก็เปล่งแสงสีทองเจิดจ้า ปราณกระบี่สีทองสายหนึ่งซัดลงมาจนเกิดเสียง “ฟึบ” แล้วจมลงไปในม่านแสงสีทอง

จากนั้นภาพแปลกประหลาดก็บังเกิดขึ้น!

เม็ดทรายที่เหมือนดวงดาวสายแล้วสายเล่าถูกปราณกระบี่สีทองห่อหุ้มแล้วม้วนออกมาจากในถุงผ้า เกิดเป็นวังวนขนาดเล็กในค่ายกล หลังมันเปลี่ยนรูปร่างอีกครั้งก็กลายเป็นกระบี่น้อยที่ประกอบมาจากแสงดาวดวงแล้วดวงเล่าเล่มหนึ่ง

พร้อมกับที่เคล็ดกระบี่ในมือหลิ่วหมิงแปรเปลี่ยนไม่หยุด ทรายธารดาราก็ถูกปราณกระบี่สีทองอ่อนชักนำจนเปลี่ยนรูปร่างไม่หยุด แสงดาวที่ฉายออกมายิ่งสว่างขึ้นทุกที

เวลาชั่วจิบชาหนึ่งถ้วยให้หลัง ใต้ม่านแสงสีทองอ่อนทรายธารดารากลายเป็นก้อนทรายสีเงินขนาดเท่ากำปั้นส่องแสงสีเงินอ่อนวิบวับ

“น่าจะพอประมาณแล้ว”

หลังจากหลิ่วหมิงพึมพำกับตนเอง มือข้างหนึ่งก็ดีดเข้าใส่ค่ายกลสีทองอ่อนเบาๆ

แสงสีทองสายหนึ่งพุ่งออกมาทำให้ม่านแสงสีทองบนค่ายกลสั่นไหว จากนั้นแสงสีทองก็ส่องสว่างขึ้นวูบหนึ่ง แล้วก้อนทรายสีเงินก็ส่งเสียงดัง “ฟึบ” กลายเป็นทรายสีเงินหอบหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าตรงไปยังกระบี่สีทองกลางอากาศ

ในเวลาเดียวกันกระบี่สีทองกลางอากาศก็สั่นไหวแล้วส่งเสียงกังวานใสครั้งแล้วครั้งเล่าออกมา

เสียง “ซ่า” ดังขึ้น เม็ดทรายสีเงินกลายเป็นอสรพิษน้อยสีเงินตัวหนึ่งเลื้อยพันไปบนตัวกระบี่สีทอง ชั่วครู่หลังจากนั้นก็หุ้มกระบี่น้อยสีทองทั้งเล่มไว้ข้างใน

เสียงครวญครางของกระบี่น้อยสีทองค่อยๆ ทุ่มต่ำกังวานขึ้นทุกที

“จับตัว!”

หลิ่วหมิงจิ้มมือข้างหนึ่งเบาๆ พร้อมกันนั้นยันต์สีทองอ่อนขนาดเท่ากำปั้นตัวหนึ่งก็พุ่งออกมาจากในปากของเขา มันหมุนติ้วกลางอากาศรอบหนึ่งแล้วเกิดเสียงดัง “ปัง” ประทับลงบนกระบี่น้อยสีทอง

ทันใดนั้นแสงสีเงินที่หุ้มอยู่บนกระบี่บินก็กะพริบวิบวับ จากนั้นเพียงครู่เดียวมันก็กลายเป็นเส้นสีเงินสายแล้วสายเล่าแทรกเข้าไปในยันต์สีทองอ่อน

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เผยรอยยิ้มจาง มือข้างหนึ่งยกขึ้นกวักเบาๆ หลังจากกระบี่สีทองบินวนรอบหนึ่งก็พุ่งกลับมาในมือเขา

เขาสำรวจดูกระบี่ว่างเปล่าเล่มนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง นอกจากยันต์ขนาดเท่ากำปั้นตัวหนึ่งที่ส่องแสงสีเงินอยู่เลือนราง บนตัวกระบี่ก็ไม่แตกต่างไปจากเดิมมากนัก

ครู่ต่อมาหลิ่วหมิงก็สะบัดมือ กระบี่สีทองหลุดออกจากมือกลายเป็นรุ้งกระบี่สีทองยาวเจ็ดแปดจั้งพุ่งรวดเร็วไปยังยอดเขาสูงร้อยกว่าจั้งลูกหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลเบื้องหลังร่างเขาทันที

เสียง “เปรี้ยง” ดังสนั่น!

แสงสีทองสายหนึ่งพุ่งทะลวงผ่านยอดเขา ยอดเขากลายเป็นหินมหึมาก้อนแล้วก้อนเล่าถล่มลงมาในทันใด

หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ!

แม้เขาจะทำลายยอดเขาลูกหนึ่งเช่นนี้ได้อย่างไม่เป็นปัญหาเช่นกัน หากเขากรอกพลังเวททั้งหมดเข้าไปในกระบี่บินพลังจิตวิญญาณหรือกระตุ้นพลังแห่งแม่เหล็กดารา แต่ครั้งนี้เขาใช้พลังเวทเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นก็ทำลายมันได้อย่างง่ายดายดั่งยกฝ่ามือ ดูท่ากระบี่ว่างเปล่าเล่มนี้หลังผสานทรายธารดาราเข้าไป ไม่ว่าระดับความแหลมคมหรือปราณกระบี่ของมันล้วนเพิ่มขึ้นอย่างมาก

แต่เขาสัมผัสได้เลือนรางว่าทรายธารดาราหนึ่งในสิบส่วนนี้ยังไม่บรรลุถึงขีดสุดของการผสาน

จากนั้นหลิ่วหมิงจึงหลับตาสองข้างลง นึกย้อนไปถึงวิธีใช้พลังใหม่ซึ่งวิชาลับได้เอ่ยถึงไว้ แล้วเคล็ดวิชาในมือก็เริ่มเปลี่ยนไปไม่หยุด

หลังกระบี่สีทองสั่นไหวกลางอากาศครั้งหนึ่ง แสงจิตวิญญาณสีเงินสายแล้วสายเล่าก็ทะลักออกมาจากยันต์สีทองอ่อนบนตัวกระบี่ จากนั้นกลายเป็นเม็ดทรายสีเงินเล็กละเอียดเม็ดแล้วเม็ดเล่าหุ้มกระบี่ทั้งเล่มไว้ด้านในประหนึ่งม่านสีเงินเบาบางผืนหนึ่ง

สายตาของหลิ่วหมิงเย็นชาขึ้นวูบหนึ่ง จากนั้นมือข้างหนึ่งก็ดีดกลางอากาศไปทางเม็ดทรายสีเงิน ปราณกระบี่รูปเกลียวสายหนึ่งพุ่งออกมาในพริบตา มันกระทบลงบนม่านทรายสีเงินรอบตัวกระบี่บินพร้อมกับเสียงดัง “พรึ่บ”

ม่านทรายสีเงินสั่นไหวเล็กน้อย แสงสีเงินรอบด้านไหลเคลื่อนอยู่พักหนึ่ง จากนั้นปราณกระบี่รูปเกลียวสายนี้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับเป็นตุ๊กตาวัวโคลนที่จมลงในมหาสมุทร

ภาพนี้ทำให้หลิ่วหมิงยินดียิ่งนักอีกครั้ง!

ตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ ม่านทรายธารดารานี้จะต้านทานการโจมตีส่วนหนึ่งไว้ จึงปกป้องกระบี่บินพลังจิตวิญญาณยามเผชิญหน้าศัตรูได้ พลังจิตวิญญาณที่เสียหายจะลดลงจนต่ำที่สุด พร้อมกันนั้นในคัมภีร์ก็กล่าวไว้ด้วยว่ากระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่ผสานทรายธารดาราเข้าไป ความเร็วในการบำรุงและฟื้นฟูปราณกระบี่ของมันจะเร็วขึ้นเป็นเท่าตัว เพียงแต่ว่าจุดนี้หลิ่วหมิงยังไม่ได้ทดลอง

หลังจากหลอมผสานมาทั้งวัน ในที่สุดบนหน้าหลิ่วหมิงก็เผยสีหน้าเหนื่อยล้าเล็กน้อย

เขาหลับตาทั้งสองข้างแล้วเพ่งจิต หลังจากหูได้ยินเสียงครวญครางดังขึ้น ครู่ต่อมาเขาก็ออกจากแดนมายากลับมาในห้องลับของถ้ำที่พักอีกครั้ง

เขาลุกขึ้นยืนแล้วยืดตัวบิดขี้เกียจ หลังจากนั้นจึงนอนลงบนหินเขียวก้อนมหึมาก้อนหนึ่งในห้องลับแล้วนอนหลับไป

ช่วงระยะเวลาหนึ่งหลังจากนั้นหลิ่วหมิงเข้าไปในแดนมายาทุกวัน เขาทดลองเปลี่ยนปริมาณทรายธารดาราที่ผสานเข้าไปในกระบี่ว่างเปล่าครั้งแล้วครั้งเล่าจากนั้นทดลองความแตกต่างของพลัง

หลังบากบั่นทดลองผสานซ้ำไปซ้ำมาอย่างอดทน สุดท้ายเขาก็ค้นพบว่าผสานหนึ่งในแปดหรือเก้าส่วนของทรายธารดาราที่เหลืออยู่เข้าไปจะทำให้พลังของกระบี่บินจิตวิญญาณสำแดงออกมาได้มากที่สุดโดยที่ปราณกระบี่ไม่ได้รับผลกระทบ

วันหนึ่งครึ่งปีหลังจากนั้น ด้านในห้องลับของถ้ำที่พักที่หลิ่วหมิงอยู่มีเม็ดทรายสีเงินชั้นแล้วชั้นเล่ากำลังไหลเคลื่อนไม่หยุด ทันใดนั้นมันก็ส่องแสงสีเงินสว่างทั่วฟ้าแล้วกลายเป็นเส้นสีเงินเรียวเล็กประหนึ่งเส้นไหมเส้นแล้วเส้นเล่าพาดตัดสลับกันเต็มทั้งห้องลับ

วันนี้เขาผสานทรายธารดาราเข้าไปในกระบี่บินว่างเปล่าสำเร็จแล้ว อีกทั้งใช้ได้อย่างชำนาญยิ่งแล้วด้วย

ทรายธารดารานี่ไม่เพียงเสกทรายดาราชั้นแล้วชั้นเล่าทำให้คนตาพร่าสับสน ก่อกวนสายตาของศัตรู และประสานกับคุณลักษณะพิเศษด้านการซ่อนเร้นของตัวกระบี่ว่างเปล่าเพื่อฉวยโอกาสโจมตีเอาชีวิตในครั้งเดียวโดยที่คนไม่ทันป้องกันได้ ยังเปลี่ยนเม็ดทรายกลายเป็นกระบี่ทรายสีเงินเล่มแล้วเล่มเล่าทำให้พลังของกระบี่บินเพิ่มขึ้นมากได้อีกด้วย ลี้ลับยิ่งนัก

“ยินดีกับนายท่านที่ผสานทรายธารดาราเข้าไปในกระบี่บินพลังจิตวิญญาณสำเร็จ!” เซียเอ๋อร์ที่กำลังนั่งฝึกฝนอยู่ด้านข้างเม้มปากยิ้ม นางลุกขึ้นปรบมือแล้วเอ่ยแสดงความยินดีกับหลิ่วหมิง

เคล็ดกระบี่ที่มือหลิ่วหมิงเปลี่ยน เม็ดทรายสีเงินก็หยุดกลางอากาศแล้วกลายร่างเป็นเส้นไหมสีเงินเส้นแล้วเส้นเล่าบินกลับไปในกระบี่น้อยสีทอง

กระบี่น้อยสีทองส่งเสียงครวญทุ้มกังวานออกมาแล้วพุ่งเร็วรี่กลับไปกลางหว่างคิ้วของหลิ่วหมิง

“นี่เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น ต่อจากนี้ถึงเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ เอ่ยกับเซียเอ๋อร์ พร้อมกันนั้นก็หยิบโอสถสีเงินเม็ดหนึ่งที่มีเปลวเพลิงสามสีห้อมล้อมออกมาจากซอกมุมของแหวนย่อส่วน มันก็คือโอสถประลองกระบี่ระดับสูงเม็ดนั้นนั่นเอง

“นายท่าน นี่เหมือนจะเป็น…โอสถเม็ดนั้นที่พบในแดนอบอ้าวเมื่อครั้งนั้น” เซียเอ๋อร์เห็นสิ่งนี้ก็เอ่ยขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ไม่ผิด โอสถนี้ก็คือโอสถประลองกระบี่ เป็นสิ่งที่ต้องเตรียมไว้สำหรับหลอมลูกกลอนกระบี่ ตอนนี้เฟยเอ๋อร์ยังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการฝึกฝน เจ้าจงอยู่ที่นี่ฝึกฝนและปกป้องเขาต่อไป ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย”

หลังหลิ่วหมิงสั่งเซียเอ๋อร์ประโยคหนึ่งแล้วก็เปิดชั้นจำกัดทั้งหมดของถ้ำที่พักออกจากถ้ำที่พักไป เขาตั้งท่าเคล็ดวิชาจากนั้นเท้าก็เหยียบเมฆสีดำก้อนหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไป

สองสามวันหลังจากนั้นหลิ่วหมิงหมกตัวอยู่ในหอเก็บคัมภีร์ เขาใช้แต้มคุณูปการทั้งหมดที่เหลือในมืออ่านคัมภีร์เกี่ยวกับลูกกลอนกระบี่และโอสถประลองกระบี่ในหอจนหมด แต่ข้อมูลที่ได้มาไม่ต่างจากที่รู้ก่อนหน้านี้มากนัก วิธีการใช้โอสถประลองกระบี่ถูกเอ่ยถึงเพียงไม่กี่ประโยคผ่านๆ นี่ทำให้เขาเศร้าใจยิ่ง

แต่คิดแล้วก็ไม่แปลก โอสถประลองกระบี่นี้ต้องเป็นนักปรุงยาระดับดาราพยากรณ์ถึงจะปรุงออกมาได้ ทั้งวัตถุดิบที่ต้องใช้ก็ไม่มีสักอย่างที่ไม่ใช่ของล้ำค่าในโลก หากไม่ใช่เพราะตนมีโชคบังเอิญได้มาจากในแดนอบอ้าวหนึ่งเม็ด ต่อให้อยากสัมผัสโอสถชนิดนี้ก็ไม่มีทางเป็นไปได้

หากไม่มีโอสถเม็ดนี้ การหลอมลูกกลอนกระบี่ให้สำเร็จจะต้องประลองกระบี่ไม่หยุดนับพันนับหมื่นหนด้วยตนเอง กระบวนการนี้เสียเวลาและยากลำบากจนทำให้ผู้ฝึกฝนกระบี่จำนวนมากถอนหายใจแล้วยอมแพ้ได้

หลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ตัดสินใจไปเยี่ยมเยียนผู้อาวุโสหานผู้นั้นที่ยอดเขากระบี่สวรรค์อีกสักครั้งเพื่อถามเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้สักเล็กน้อย

เขาออกจากหอเก็บคัมภีร์ เท้าเหยียบเมฆสีดำพุ่งแหวกท้องฟ้าไปยังถ้ำที่พักของผู้อาวุโสหานทันที

หลังจากเวลาชั่วหนึ่งมื้ออาหาร ในโถงถ้ำที่พักของผู้อาวุโสหานก็มีเม็ดทรายสีเงินกลุ่มหนึ่งพัดเสียงดังหวีดหวิวมาถึงใจกลางโถงราวกับพายุหมุน

ท่ามกลางเม็ดทรายสีเงินมีแสงรัศมีสีทองอ่อนส่องออกมาเลือนรางพร้อมกับเสียงครวญคราง มันคือกระบี่บินพลังจิตวิญญาณของหลิ่วหมิงนั่นเอง

“เจ้าควบคุมจำนวนทรายธารดาราที่ผสานเข้าไปได้อย่างพอดิบพอดีจนกระบี่บินพลังจิตวิญญาณเล่มนี้เลื่อนระดับมาถึงขั้นนี้ได้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ เรื่องจำนวนวัตถุดิบที่ผสานเข้าไป ตัวข้าก็ทำได้เพียงคาดคะเนคร่าวๆ เท่านั้น อย่างไรทรายธารดาราวัตถุดิบชนิดนี้ก็ล้ำค่าปานนั้น ข้าไม่อาจสิ้นเปลืองอย่างไม่มีสาเหตุ เอากระบี่บินหรืออาวุธจิตวิญญาณธรรมดามาทดลองผลของการผสานได้” บุรุษชุดเทาด้านข้างพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น

“ผู้อาวุโสสูงสุดชมเกินไปแล้ว ศิษย์มาครั้งนี้นอกจากอยากให้ผู้อาวุโสช่วยดูกระบี่ว่างเปล่าเล่มนี้หลังหลอมผสาน ยังมีอีกเรื่องหนึ่งต้องการขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสเล็กน้อย” หลิ่วหมิงหยุดเคล็ดกระบี่ที่มือจากนั้นกวักมือข้างหนึ่ง

เม็ดทรายสีเงินเต็มฟ้าฉับพลันส่งเสียงดัง “ซ่า” ม้วนตัวจมลงไปในยันต์ด้านบนกระบี่บิน หลังจากนั้นกระบี่ว่างเปล่าก็สั่นเบาๆ กลางอากาศครั้งหนึ่งแล้วพุ่งรวดเร็วกลับเข้าไปในฝักกระบี่ที่เอวเขา

“อ้อ เรื่องอะไร ว่ามา” บุรุษชุดเทาสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม

“วิธีเลื่อนระดับเป็นลูกกลอนกระบี่ ศิษย์หาอ่านคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องแล้วก็พอเข้าใจอยู่บ้าง แต่วันนี้ที่เดินทางมาเพราะอยากจะสอบถามเรื่องเกี่ยวกับโอสถประลองกระบี่” หลิ่วหมิงตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย

“โอสถประลองกระบี่? เจ้ามีของสิ่งนี้หรือ?” บุรุษชุดเทาได้ยินหลิ่วหมิงเอ่ยถึง ‘โอสถประลองกระบี่’ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วถามกลับอย่างประหลาดใจ

“ผู้อาวุโสเข้าใจผิดแล้ว ศิษย์เคยรับภารกิจของนิกาย ช่วยผู้อาวุโสจงอี้ของนิกายเราปรุงโอสถประลองกระบี่ ดังนั้นจึงเคยรู้เกี่ยวกับโอสถนี้อยู่บ้าง ได้ยินว่ามันช่วยหลอมลูกกลอนกระบี่ได้จึงตั้งใจมาขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสหานสักเล็กน้อย” หลิ่วหมิงเอ่ยตอบอย่างคลุมเครือ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset