หนึ่งเดือนให้หลัง บนเทือกเขาแห่งหนึ่งที่ทอดยาวซ่อนอยู่ในหมอกสีเทาทางตะวันตกเฉียงเหนือของแผ่นดินจงเทียนมีสิ่งก่อสร้างที่ถูกปกคลุมด้วยปราณหยินมืดทึมพื้นที่ประมาณหลายสิบหมู่อยู่ ภายในนั้นมีทั้งหอสูง ตึกและตำหนัก พลังเวทอ่อนจางรูปวงรีชั้นหนึ่งครอบสิ่งก่อสร้างทั้งหมดไว้ด้านใน
ปราณหยินสีเทาดำลอยล่องอยู่บนท้องฟ้าเหนือสิ่งก่อสร้าง ตัดขาดทุกสิ่งที่นี่ออกจากโลกภายนอก
ในเขตแดนพลังเวทมองเห็นคนสวมชุดสีดำหลายคนบินเร็วรี่ไปมาเป็นระยะ ค่อนข้างครึกครื้นทีเดียว
ในห้องลับบนยอดหอสูงสีดำสิบกว่าชั้นหลังหนึ่ง ผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบผู้สวมชุดผ้าไหมสีม่วงคนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิหลังตรงอยู่
คนผู้นี้ใบหน้าผอมซูบเหมือนผี สองตาลึกโหลเว้าเข้าไป ดูผอมแห้งประหนึ่งโครงกระดูก
ผู้เฒ่าหน้าซูบตอบกำลังนั่งสมาธิฝึกฝน มือสองข้างแต่ละข้างกำผลึกสีดำก้อนหนึ่งไว้ ปราณสีเทาอ่อนลอยออกมาจากในผลึกเข้าไปในปากผู้เฒ่าเป็นระยะ
ทันใดนั้นในห้องลับพลันเกิดคลื่นขึ้นกลางอากาศ เงาคนร่างหนึ่งโผล่ออกมาจากความว่างเปล่ายืนห่างไปเบื้องหน้าผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบเพียงสองก้าว
“ท่านคือผู้เฒ่าอีกาแห่งพรรคอีกาเหมันต์ใช่หรือไม่?” บนเงาคนมีปราณสีดำอ่อนชั้นหนึ่งล้อมอยู่ จึงมองเห็นหน้าตาไม่ชัด แต่ฟังเสียงแล้วคงเป็นชายหนุ่ม
ผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบตกตะลึงและพรั่นพรึง เขากำลังจะขยับตัว เสียงชิ้งก็ดังขึ้น ปลายของบางสิ่งที่แหลมคมและเย็นเยียบจรดลงบนหน้าผากของเขา ความรู้สึกเจ็บเล็กน้อยส่งผ่านมา
ผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบฉับพลันตัวแข็งทื่อ เขาไม่สงสัยสักนิดว่าหากตนขยับอีกเพียงนิด ศีรษะคงจะถูกแทงทะลุทันที
ห้องลับแห่งนี้ของเขาปิดกั้นไว้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้หอสูงทั้งหลังยังวางค่ายกลชั้นจำกัดไว้นับไม่ถ้วนตั้งแต่ชั้นล่างจรดชั้นบน ทว่าคนผู้นี้ตรงหน้ากลับลอบเข้ามาได้อย่างเงียบเชียบ นี่เห็นชัดว่ามีปัญหาแล้ว
‘หรือจะเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้?’
ผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบไม่กล้าปล่อยจิตสัมผัสออกไปสัมผัสพลังของเงาคนสีดำ ในใจครุ่นคิดเร็วรี่แล้วคาดเดากับตนเอง ส่วนปากได้แต่เอ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ถูกต้องแล้ว ผู้เยาว์คืออูเซิน ขอเรียนถามผู้อาวุโสมีสิ่งใดต้องการสั่ง?”
“ข้าจะถามเจ้าว่าห้าปีก่อนหน้านี้ที่เทือกเขาถงหยางบนแผ่นดินตงหนาน เจ้าเคยพบกับผู้ฝึกฝนวัยกลางคนชุดขาวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลดาบคนหนึ่งใช่หรือไม่?” เงาคนสีดำเอ่ยขึ้นเรียบๆ แม้น้ำเสียงนิ่งสงบแต่ก็แฝงความดุร้ายเอาไว้เลือนราง
ผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบหัวใจเย็นเยือก เขาพยายามอย่างที่สุดที่จะค้นความทรงจำที่จมอยู่ในสมอง ในที่สุดก็นึกย้อนไปถึงการเดินทางครั้งนั้นเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมาได้จึงรีบเอ่ยว่า
“ผู้อาวุโสเอ่ยไม่ผิด เวลานั้นผู้เยาว์เพิ่งเข้าสู่ระดับผลึกขั้นปลาย เคยเดินทางไปยังเทือกเขาถงหยางเข้าร่วมกลุ่มล่าอสูรเพื่อหากระสายยาตัวหนึ่ง ในกลุ่มล่าอสูรมีคนลักษณะเช่นนี้อยู่จริง”
“ดีมาก เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับคนผู้นี้บ้าง?” เงาคนสีดำเสียงดังขึ้นเล็กน้อย
“คนผู้นั้นแซ่ฟั่น เป็นผู้ฝึกฝนอิสระระดับแก่นแท้ แล้วก็เป็นหนึ่งในหัวหน้าของกลุ่มล่าอสูรกลุ่มนั้น ไม่ว่าวิชาหรืออาวุธจิตวิญญาณล้วนร้ายกาจอย่างยิ่ง แต่เขามีนิสัยชอบอยู่ลำพัง สนทนากับผู้อื่นน้อยนัก ผู้เยาว์อยู่ในกลุ่มล่าอสูรกลุ่มนั้นเพียงครึ่งปี ต่อมาเพราะตามหากระสายยาที่ต้องการพบแล้วจึงอ้างเหตุผลออกจากกลุ่มล่าอสูรมา หลังจากนั้นก็ไม่ได้อยู่ที่เทือกเขาถงหยางนาน จึงรู้เกี่ยวกับเขาเพียงเท่านี้”
ผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบไม่ทราบว่าเงาคนสีดำที่แท้ต้องการรู้สิ่งใด แต่ก็รู้ว่าตอนนี้ได้แต่ร่วมมือกับอีกฝ่ายเท่านั้นถึงจะรักษาชีวิตไว้ได้ ดังนั้นเขาจึงเล่าหมดเปลือก พยายามนึกย้อนไปถึงความทรงจำที่ธรรมดาอย่างยิ่งสำหรับเขาเมื่อตอนนั้น
“นอกเหนือจากนี้ยังมีอะไรอีกไหม? นึกให้ดี รายละเอียดใดก็อย่าได้ปล่อยผ่าน” เงาคนสีดำสั่งด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยอมให้ตั้งคำถาม
“จริงสิ ผู้อาวุโส ข้านึกขึ้นมาได้แล้ว…คนผู้นั้นน่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถคนหนึ่ง นอกจากนี้วิชาปรุงโอสถค่อนข้างสูงส่งทีเดียว” ผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบคล้ายกับนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน จึงเอ่ยขึ้นเสียงดัง
“ว่าต่อไป” ปราณดำรอบร่างเงาคนสีดำพลุ่งพล่านเล็กน้อยชั่วครู่
“ในการล่าอสูรครั้งนั้นกลุ่มล่าอสูรกำลังไล่ล่าสังหารวานรพิษเนตรทองตัวหนึ่ง พวกเราไล่ตามไปจนถึงทางเข้าหุบเขาที่เต็มไปด้วยหมอกพิษ ผู้ฝึกฝนแซ่ฟั่นผู้นั้นรวบรวมสมุนไพรจิตวิญญาณหลายชนิดจากในกลุ่มล่าอสูร จากนั้นปรุงโอสถสลายพิษหลายเม็ดออกมาให้พวกเราพกไว้กับตัว ใช้ป้องกันไอพิษในหุบเขา” ผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบเอ่ยเช่นนี้
“อ้อ? โอสถสลายพิษเม็ดนั้นยังอยู่กับตัวเจ้าไหม?” เงาคนสีดำฟังดูตื่นเต้นอยู่บ้าง
“ไม่อยู่ขอรับ หลังจากสังหารวานรพิษเนตรทอง คนผู้นั้นก็ขอโอสถสลายพิษกลับคืนไป” ผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบรีบเอ่ยบอก
เงาคนสีดำเงียบไปพักหนึ่ง ชั่วครู่ให้หลังจึงเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“มอบรายชื่อสมาชิกในกลุ่มล่าอสูรกลุ่มนั้นให้ข้า แล้วก็จุดที่พวกเจ้าเคยต่อสู้บนเทือกเขาถงหยาง จงทำเครื่องหมายบนแผนที่ให้ละเอียด”
“ขอรับ ผู้อาวุโส” ผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบได้ยินก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แต่จากนั้นในใจก็รู้สึกยินดี รีบตอบรับแล้วหยิบแผนที่สีเหลืองซีดแผ่นหนึ่งออกมา หลังจากครุ่นคิดอย่างละเอียดจึงทำเครื่องหมายลงบนสถานที่หลายแห่งบนนั้น
จากนั้นเขาก็หยิบแท่งหยกสีขาวว่างเปล่าแผ่นหนึ่งออกมาแนบลงบนหน้าผาก ตั้งท่าเคล็ดวิชาด้วยมือข้างหนึ่งแล้วปล่อยพลังจิต คัดลอกแผนที่ลงไปในนั้นอย่างละเอียดและเชื่อฟังเป็นที่สุด
หนึ่งเค่อให้หลังเงาคนสีดำก็บินออกจากหอสูงของสำนักอีกาเหมันต์อย่างเงียบเชียบ ลอยละล่องไปยังหน้าผาแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล
ปราณดำบนเงาคนค่อยๆ สลายออกเผยให้เห็นร่างของหลิ่วหมิง เพียงแต่ในเวลานี้เขาคิ้วขมวดแน่น สีหน้าค่อนข้างผิดหวัง
หนึ่งเดือนมานี้เขาไล่ค้นหาร่องรอยของปีศาจพันมายาไปทั่วทุกสารทิศตามข้อมูลที่บันทึกไว้ในคัมภีร์หยก แต่ผลที่ได้กลับมาน้อยนัก
คนผู้นั้นเหมือนจะระมัดระวังอย่างยิ่ง สถานที่ซึ่งเคยอยู่หรือคนที่เคยติดต่อแต่ละครั้งล้วนกำจัดร่องรอยทุกอย่างจนสะอาดเกลี้ยง
ครั้งนี้หลิ่วหมิงลำบากนักกว่าจะสืบจนตามหาผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบผู้นี้ที่เคยติดต่อกับเขาซึ่งหน้าได้ คิดไม่ถึงว่าจะยังไม่พบร่องรอยที่แน่ชัดของเขาอีก
“แต่ได้รู้ว่าปีศาจพันมายาเชี่ยวชาญการปรุงโอสถก็นับว่าได้อะไรมาบ้างแล้ว หากได้โอสถที่คนผู้นี้เคยปรุงขึ้นมา นั่นคงยิ่งดี” หลิ่วหมิงถอนหายใจแล้วพึมพำกับตนเอง
วิชาอนธการค้นวิญญาณอาศัยกลิ่นอายเพียงน้อยนิดก็ค้นหาตำแหน่งของร่างต้นในขอบเขตระยะหนึ่งได้ แค่พลังเวทที่หลงเหลืออยู่ในโอสถที่ปรุงก็เพียงพอให้ใช้วิชานี้แล้ว
ที่ก่อนหน้านี้เขาสังหารผู้ฝึกฝนชั่วร้ายหลายคนติดกันได้ในเวลาสั้นๆ สองปีก็ด้วยอาศัยวิชาลับติดตามรอยอันมหัศจรรย์วิชานี้
หลังจากบนหน้าหลิ่วหมิงแปรเปลี่ยนไม่หยุดพักหนึ่ง เขาก็พลิกมือข้างหนึ่ง แสงสีขาวกลางฝ่ามือส่องสว่าง แผ่นหยกที่ผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบคนนั้นมอบให้ปรากฏขึ้นในมือ
จะว่าไปแล้วผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบคนนี้ก็รู้จักสถานการณ์ค่อนข้างดีทีเดียว ไม่เพียงไล่รายชื่อสมาชิกของกลุ่มล่าอสูรกลุ่มนั้นเมื่อห้าปีก่อนออกมา ยังมีตัวตนและความเป็นมาคร่าวๆ ของคนเหล่านี้ที่เขารู้อีกด้วย
แต่สมาชิกส่วนใหญ่ในนี้กระทั่งชื่อก็ยังไม่รู้ชัดเจน มีแต่เรียกขานกันว่าแซ่อะไร
กลุ่มล่าอสูรที่รวมผู้ฝึกฝนอิสระเช่นนี้โดยทั่วไปมักจะเป็นผู้ฝึกฝนรวมตัวกันโดยบังเอิญเพราะมีเป้าหมายเดียวกันแล้วตั้งกลุ่มขึ้นมาช่วงระยะเวลายาวหรือช่วงเวลาสั้นๆ ปกติจะทำภารกิจเช่นเข้าไปในถิ่นอันตราย ล่าปีศาจอสูร ค้นหาร่องรอยและเก็บรวบรวมสมุนไพรจิตวิญญาณ หญ้าจิตวิญญาณเป็นต้น
เพราะจากไปหรืออยู่ต่อได้อย่างอิสระยิ่งนัก ความสัมพันธ์ของสมาชิกจึงค่อนข้างซับซ้อน พวกเขาต่างระวังกันเองและโดยทั่วไปมักจะไม่ค่อยเปิดเผยชื่อแซ่ที่แท้จริง
จากที่หลิ่วหมิงพิจารณา คนส่วนใหญ่ในรายชื่อล้วนเป็นบุคคลที่สืบหาที่มาไม่ได้ แต่หัวหน้าของกลุ่มล่าอสูร นอกจากผู้ฝึกฝนแซ่ฟั่นซึ่งเป็นชื่อปลอมของปีศาจพันมายา ก็ยังมีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้แซ่จั่วอีกคน
ผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบอธิบายเกี่ยวกับคนผู้นี้ไว้ละเอียดทีเดียว
“จั่วกงเฉวียน เป็นประมุขพรรคขนาดเล็กแห่งหนึ่งแถบเทือกเขาถงหยาง แกนนำรวบรวมคนของกลุ่มล่าอสูร…”
“มีชื่อมีแซ่ยิ่งดี ในเมื่อคนผู้นี้กับปีศาจพันมายาเป็นหัวหน้ากลุ่มล่าอสูรด้วยกัน ก็น่าจะรู้จักเขามากกว่าผู้เฒ่าใบหน้าซูบตอบอยู่บ้าง” หลังจากหลิ่วหมิงครุ่นคิดพักหนึ่งก็ยกแขนเสื้อขึ้น เรียกเรือหยกจันทราออกมาแล้วลอยขึ้นไปด้านบน เรือบินฉับพลันกลายเป็นเงาสีแดงสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่จากไปไกล
……
เทือกเขาถงหยางอยู่ใกล้กับเทือกเขาขนาดกลางแห่งหนึ่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของแผ่นดินจงเทียน พาดผ่านจากตะวันตกไปยังตะวันออกหลายหมื่นลี้ ในเทือกเขามีสายแร่ทองแดงค่อนข้างมากจึงได้ชื่อนี้มา
เทือกเขาแห่งนี้พลังปราณแห่งฟ้าดินเข้มข้น ด้านในมีปีศาจอสูรปรากฏตัวมากมาย หญ้าจิตวิญญาณก็ไม่น้อย ปกติมีผู้ฝึกฝนไม่น้อยเข้ามาล่าที่นี่ ในหมู่คนเหล่านั้นมีระดับผลึกอยู่ไม่น้อย กระทั่งผู้ฝึกฝนระดับสูงอย่างระดับแก่นแท้ก็มี นอกเหนือจากนี้ก็มีสำนักนิกายขนาดเล็กจำนวนหนึ่งตั้งรกรากอยู่ที่นี่
บนที่ราบกลางหุบเขาแห่งหนึ่งทางตะวันออกของเทือกเขา สิ่งก่อสร้างสูงต่ำร้อยกว่าหลังเรียงรายอยู่ที่นี่ เกิดเป็นตลาดขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แห่งหนึ่ง
เวลานี้เป็นเวลาเที่ยงวัน ผู้คนในตลาดทอดยาวเป็นสายส่งเสียงเอะอะวุ่นวาย แลดูครึกครื้นอย่างยิ่ง
จุดที่สะดุดตาตรงลานกว้างใจกลางตลาดมีหอไม้โอ่อ่าสูงสามชั้นหลังหนึ่ง บนประตูแขวนป้ายขนาดใหญ่สีดำขลับแผ่นหนึ่งไว้ บนนั้นเขียนตัวอักษรบรรจงสีทองตัวใหญ่ไว้สามตัวว่า ‘หอรวมสมบัติ’ เมื่ออยู่ใต้แสงตะวันส่องเป็นประกายระยิบระยับ สะดุดสายตาผู้คนยิ่งนัก
พื้นที่ในหอค่อนข้างกว้างขวาง โต๊ะกั้นเรียงรายเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ ด้านบนวางวัตถุดิบต่างๆ เช่นโอสถ ยันต์ หญ้าจิตวิญญาณและชิ้นส่วนของปีศาจอสูรที่แบ่งแยกไว้เป็นประเภท มีคนเข้าๆ ออกๆ ร้านนี้เป็นระยะ
กิจการรุ่งเรืองเช่นนี้ ผู้ดูแลกับเหล่าลูกจ้างในร้านย่อมมีรอยยิ้มเต็มหน้ากันทุกคนและยิ่งร้องเรียกลูกค้าเข้าร้านอย่างทุ่มเทกว่าเดิม
ขณะที่ผู้ดูแลเฒ่าซึ่งอายุเลยวัยกลางคนมาแล้วคนหนึ่งกำลังสนทนาอยู่กับลูกค้าที่เข้ามาสอบถามคนหนึ่ง ดวงตาก็อดไม่ได้เหลือบไปยังบันไดขึ้นชั้นสอง
จะว่าไปแล้ว ร้านใหญ่ในตลาดแห่งนี้ล้วนมีกลุ่มอำนาจเกื้อหนุนอยู่เบื้องหลัง
เมื่อครู่นี้เอง จั่วกงเฉวียนประมุขนิกายเพลิงหยก นายท่านที่แท้จริงเบื้องหลังหอรวมสมบัติซึ่งปกติจะมาที่ร้านน้อยครั้งนักพาผู้ฝึกฝนวัยกลางคนเสื้อสีน้ำเงินผู้หนึ่งขึ้นไปยังชั้นสอง
เถ้าแก่มาตรวจร้าน ลูกน้องเบื้องล่างย่อมต้องยิ่งใส่ใจ พยายามสร้างความประทับใจที่ดี
ในเวลาเดียวกันนี้ ณ ห้องหรูบนชั้นสองของหอ ผู้เฒ่าสวมเสื้อหนังคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนที่นั่งเจ้าบ้าน เขาหัวไหล่กว้าง รูปร่างสูงใหญ่ แม้นั่งอยู่ก็แผ่กลิ่นอายน่าเกรงขามออกมา
ผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาคือบุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินคนหนึ่ง สีหน้าซีดเหลือง ท่าทางเหมือนเจ็บป่วย มีเพียงดวงตาที่เปล่งประกาย ให้ความรู้สึกว่าไม่อาจดูแคลนได้
“สหายเยี่ยเป็นผู้ฝึกฝนนิกายมารเงาสวรรค์นี่เอง ผู้แซ่จั่วเสียมารยาทแล้วจริงๆ” จั่วกงเฉวียนมองป้ายสีดำในมือซึ่งบนป้ายสลักอักษรงดงามแบบโบราณไว้สามตัว เขาคืนป้ายให้บุรุษเสื้อสีน้ำเงินด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วประสานมือให้ในเวลาเดียวกัน
แม้นิกายเพลิงหยกมีชื่อเสียงแถวเทือกเขาถงหยางอยู่บ้าง แต่เต็มที่ก็เป็นเพียงนิกายชั้นสาม ไม่อาจเทียบกับนิกายมารเงาสวรรค์ซึ่งเป็นนิกายใหญ่อายุหมื่นปีเช่นนี้ได้
ในสายตาของผู้เฒ่า บุรุษชุดน้ำเงินฝั่งตรงข้ามมีกลิ่นอายสับสนคลุมเครือ แม้อาศัยจิตสัมผัสระดับแก่นแท้ขั้นกลางของเขาก็ยังมองพลังที่แท้จริงของอีกฝ่ายไม่ออก ในใจเขาย่อมมองตัวตนของอีกฝ่ายสูงขึ้นหนึ่งส่วน