“มือสังหารหรือ? เฟ่ยอี๋ผู้นี้เล่นละครเก่งทีเดียว!”
หลิ่วหมิงส่ายศีรษะพลางเอ่ยพึมพำกับตนเอง จากนั้นแววตาก็เย็นชาขึ้นแล้วเอ่ยต่อด้วยเสียงที่ดังว่าเดิมว่า
“คนที่ข้าไล่ล่าสังหารมีนามว่าเฟ่ยอี๋ เขาคือผู้ฝึกฝนชั่วร้ายที่ผู้คนเรียกขานกันว่าปีศาจพันมายา นามนี้คิดว่าพวกเจ้าคงเคยได้ยินกระมัง? คนผู้นี้เป็นถึงผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ ทั้งยังเชี่ยวชาญวิชามายา พลังของพวกเจ้าไม่เพียงพอย่อมมองไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา”
“ปีศาจพันมายาหรือ!”
ข้ารับใช้แห่งราชวงศ์แคว้นเจียงทั้งสี่อดไม่ได้สูดลมหายใจดังเฮือก พวกเขาย่อมเคยได้ยินชื่อของผู้ฝึกฝนชั่วร้ายที่มีชื่อเสียงเลื่องลือผู้นี้มาก่อน
“ผู้อาวุโสใหญ่ สิ่งที่ผู้อาวุโสท่านนี้เอ่ยไม่ใช่จะไร้เหตุผล เรื่องที่เจียงหลีผู้นั้นพบการลอบสังหารในวันนี้มีจุดที่น่าสงสัยเต็มไปหมด หรือว่า…เขาจะเป็นผู้อื่นแปลงกายมาจริงๆ?” ชายฉกรรจ์หน้าดำที่ไม่เอ่ยวาจามาตลอดผู้นั้นฉับพลันเดินมาถึงข้างกายผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่แล้วเอ่ยเสียงเบา
ผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่ได้ฟังก็ลังเลอยู่พักหนึ่ง!
ไยเขาจะไม่เคยคิดถึงจุดนี้ แต่ในฐานะผู้ฝึกฝนที่คุ้มครองจักรพรรดิแคว้นเจียง ในใจเขาย่อมไม่อยากจะสงสัยตัวตนของศิษย์ในตระกูลเพียงเพราะคำพูดประโยคเดียวของคนนอก
“สิ่งที่ผู้อาวุโสเอ่ยมีเหตุผลอยู่บ้างก็จริง ทว่าอาศัยเพียงคำพูดไม่กี่คำ จะบอกว่าเจียงหลีเป็นร่างแปลงของผู้ฝึกฝนชั่วร้าย ผู้เยาว์ก็ลำบากใจยิ่งนัก หากผู้อาวุโสในตระกูลกล่าวโทษขึ้นมา ผู้เยาว์ย่อมแบกรับไม่ไหว”
ผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่เอ่ยปากช้าๆ จงใจเอ่ยคำว่า ‘ผู้อาวุโสในตระกูล’ ให้ดังสักหน่อย
สตรีสาวรวมถึงชายหนุ่มผมทองต่างมองผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่อย่างค่อนข้างประหลาดใจ แล้วก้มศีรษะลงต่ำพร้อมกันโดยไม่ได้นัด พวกเขาล้วนไม่กล้ามองสีหน้าของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว เมื่อครู่เขาแผ่จิตสัมผัสออกไป พบว่าด้านในตำหนักหกเหลี่ยมแห่งนี้ ร่างกายของจักรพรรดิแคว้นเจียงกำลังสั่นเทาเล็กน้อย สีหน้าการกระทำเหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งไม่มีจุดใดผิดแผก สัมผัสไม่ได้ถึงคลื่นพลังเวทแม้แต่น้อยจริงๆ
หากเขาไม่ได้จับเป้าหมายอยู่ที่คนผู้นี้ด้วยวิชาอนธการค้นวิญญาณตั้งแต่แรก เขาก็แทบจะคิดว่าตนเองเข้าใจผิดเลย
วิชามายาของปีศาจพันมายาผู้นี้ยอดเยี่ยมยิ่งนักอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มีทางทำชั่วมากมายแล้วยังคงลอยนวลได้มาจนถึงวันนี้!
“ฮ่ะๆ ข้ากล่าวถึงขั้นนี้แล้ว หากผู้อาวุโสในตระกูลของท่านจะถามหาความผิดก็ไปหาข้าที่นิกายยอดบริสุทธิ์ได้เลย” หลิ่วหมิงฟังแล้วเสียงก็เคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
เพิ่งเอ่ยจบ แรงกดดันจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งอย่างยิ่งก็ปะทุออกมาจากร่างเขากระแทกลงบนร่างพวกผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่ทั้งสี่คน
พวกผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่ทั้งสี่คนสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที ร่างกายถูกพลังมหาศาลสายหนึ่งดีดปลิวออกไปอย่างไม่มีกำลังต่อต้านสักนิด ทั้งสี่ต่างกระอักเลือดดังอ๊อกออกมาคำหนึ่ง สายตาที่มองมาทางหลิ่วหมิงเต็มไปด้วยความตกตะลึง
ผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่พลังสูงที่สุด แต่บนใบหน้ากลับตะลึงที่สุด
ตระกูลเจียงในฐานะราชวงศ์แห่งแคว้น อีกทั้งยังเป็นตระกูลผู้ฝึกฝน ทรัพยากรที่ได้รับจึงมากมายกว่าผู้ฝึกฝนอิสระทั่วไปอย่างที่เทียบกันไม่ได้ ในตระกูลมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกไม่น้อย ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ก็มีอยู่หลายคน ผู้อาวุโสแห่งตระกูลเจียงยิ่งเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับแก่แท้ขั้นปลายคนหนึ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้สายตาที่เคยเห็นโลกของผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่ย่อมไม่ด้อย เขาจึงสัมผัสได้ว่าพลังที่ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ตรงหน้าแสดงออกมาแข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสระดับแก่นแท้หลายคนของตระกูลเจียงอยู่มาก
“พลังของผู้อาวุโสสูงส่งแข็งแกร่ง พวกเราคงไร้กำลังขัดขวาง แต่หากข้าจำไม่ผิด สี่ยอดนิกายใหญ่ของพวกท่านเคยร่วมกันตั้งกฎไว้เมื่อนานมาแล้วว่าหากไม่ใช่สถานการณ์พิเศษ ผู้ฝึกฝนสูงกว่าระดับผลึกไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับความเป็นระเบียบเรียบร้อยของโลกมนุษย์ปุถุชนได้ หากภายหลังพิสูจน์แล้วว่าเจียงหลีเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งจริงๆ ถึงเวลาขอให้ผู้อาวุโสมอบคำอธิบายให้แก่ตระกูลเจียงของพวกเราด้วย” ผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืน แม้หวาดกลัวอยู่บ้างแต่ก็ยังคงเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ
หลิ่วหมิงทำเหมือนไม่ได้ยินคำขู่ของผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่คนนี้ ร่างกายขยับวูบหนึ่งก็พาเงาเลือนรางสายหนึ่งพุ่งเข้าประตูใหญ่ของตำหนักหกเหลี่ยมไป
เสียง “ปัง” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!
เพียงชั่วลมหายใจเดียว เงาคนก็ชนทะลุประตูใหญ่แล้วเหาะตรงเข้าไป
ผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่เห็นร่างกายของหลิ่วหมิงหายไปจากตรงหน้า หางตาพลันกระตุกเล็กน้อย สามคนที่เหลือก็ล้วนมองหน้ากันโดยไม่เอ่ยวาจาอันใด
พริบตาที่หลิ่วหมิงบุกเข้ามาในตำหนัก เงาดำเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ร่างหนึ่งก็หนีออกจากตำหนักไปทางด้านหลังแล้วพุ่งเร็วรี่มุ่งไปไกลอย่างเงียบเชียบโดยไม่เกิดคลื่นสั่นสะเทือนใดๆ ทั้งสิ้น
“เหอะ ตอนนี้คิดหนีก็สายไปแล้ว!”
หลิ่วหมิงกระแทกกำแพงอีกด้านหนึ่งของตำหนักทะลุดัง “เปรี้ยง” แล้วไล่ตามไปโดยไม่หยุดสักนิดเช่นเดียวกัน
การเคลื่อนไหวใหญ่โตเช่นนี้ พวกผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่ย่อมสัมผัสความผิดปกติได้ทันที ทุกคนหน้าถอดสีเหาะเข้ามาในตำหนัก
ในห้องบรรทมยังมีร่างของเจียงหลีอยู่เสียที่ไหน ตรงทางเดินไม่ไกลมีนางกำนัลสองคนสลบอยู่บนพื้นไม่ทราบว่าเป็นหรือตาย ถาดผลไม้และของว่างในมือกระจายเกลื่อนพื้น
ส่วนอีกด้านหนึ่งปรากฏรูขนาดใหญ่เด่นชัดบนกำแพง สายลมเย็นพัดทะลุรูใหญ่เข้ามาในตำหนัก ม่านในห้องบรรทมปลิวไสวทำให้ห้องโถงแลดูวังเวงยิ่งนัก
“หรือว่าคนของนิกายยอดบริสุทธิ์คนนั้นจะพูดความจริง เจียงหลีเขา…” สตรีสาวพึมพำออกมา
ผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่สีหน้าเขียวคล้ำไปหมด
เงาดำเบื้องหน้าเหาะอยู่บนท้องฟ้าไม่สูงนักห่างไปสิบกว่าลี้ เขาเพิ่งหนีออกนอกเมืองหนานหลูได้เพียงสองสามร้อยจั้ง พื้นดินเบื้องล่างก็ปรากฏแสงสีเหลืองแสบตาขึ้นวูบหนึ่ง พร้อมกับที่ผิวดินระเบิดขึ้นมา เศษหินเศษดินนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่ศีรษะเงาดำประหนึ่งลูกธนู
ในเวลาเดียวกันเงาร่างของเซียเอ๋อร์ก็ปรากฏตัวออกมาท่ามกลางเศษดิน นางแปลงกลับเป็นร่างต้นของแมงป่องกระดูก หางโค้งพร่าเลือนวูบหนึ่ง เส้นสีดำมากมายดุจเม็ดฝนก็พุ่งเร็วรี่ออกมาพร้อมเสียงแหวกอากาศกรีดแหลม
เสียงตวาดโกรธเกรี้ยวของปีศาจพันมายาฉับพลันดังออกมาจากในเงาดำ ก่อนหน้านี้ตอนต่อสู้ชุลมุนกัน เขาเคยสัมผัสความร้ายกาจจากพิษร้ายของหางแมงป่องกระดูกมาแล้วจึงไม่กล้าประมาทแม้แต่นิด ร่างกายเชื่องช้าลงในทันใด ปราณดำสายหนึ่งพุ่งออกมาจากบนร่างเขากลายเป็นธงกระดูกสีดำสนิทใหญ่หนึ่งฉื่อกว่าผืนหนึ่ง
ธงกระดูกโต้ลมขยายใหญ่ เพียงชั่วพริบตาก็กลายเป็นขนาดหนึ่งจั้งกว่า บนนั้นปักภาพโครงกระดูกดุร้ายร่างหนึ่งไว้ ไอปีศาจน่าขนลุก ทอแสงสีดำระยิบระยับ เหมือนจะเป็นอาวุธจิตวิญญาณสายปีศาจระดับต้นแบบอาวุธเวทชิ้นหนึ่ง
ปีศาจพันมายาเพิ่งเรียกธงกระดูกออกมา ก้อนหินก็แหวกอากาศมาถึง
“ปึกๆ” เสียงประหนึ่งเม็ดฝนกระทบใบตองดังขึ้นระลอกหนึ่ง!
เมื่อก้อนหินโจมตีลงบนธงกระดูก บนผืนธงเพียงส่องแสงสีดำเรืองๆ วูบหนึ่งก็ดีดทั้งหมดปลิวออกไป
จากนั้นเส้นสีดำถี่ยิบก็โจมตีลงบนธงกระดูกประหนึ่งสายฟ้าแลบ ทำให้อาวุธชิ้นนี้สั่นไหวเบาๆ หลายครั้ง แต่มันก็ทนรับไว้ได้โดยที่ไม่เป็นไร
อย่างไรเซียเอ๋อร์ก็เป็นเพียงอสูรเลี้ยงระดับผลึกขั้นปลาย แม้จะกลายพันธุ์มาหลายครั้ง แต่เทียบกับผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ก็ยังห่างชั้นอยู่ไม่น้อย นอกจากนี้หางโค้งของมันก็ไม่ได้มีชื่อเสียงในด้านพละกำลัง เมื่อเผชิญหน้ากับอาวุธจิตวิญญาณที่มีจุดเด่นในการป้องกันย่อมเห็นประโยชน์ไม่ชัดนัก
เพียงแต่การขัดขวางชั่วครู่นี้ของเซียเอ๋อร์ทำให้หลิ่วหมิงไล่ตามมาทัน
เสียงมังกรคำรามทุ้มต่ำดังขึ้น!
มังกรหมอกสีดำยาวหลายจั้งตัวหนึ่งโถมพรวดเข้ามาจากด้านหลัง รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
“สมควรตาย!”
ปีศาจพันมายาตวาดอย่างเกรี้ยวกราด สองมือยิงเคล็ดวิชาออกมาต่อเนื่องหลายสาย
ทันใดนั้นธงกระดูกก็ส่องแสงสีดำเจิดจ้า หมุนวนเร็วจี๋อยู่กับที่ ภาพโครงกระดูกด้านบนทอแสงรัศมีประหลาด สองตายิงลำแสงสีเขียวสองสายออกมาทันที
เสียงคำรามดุร้ายดัง “โฮก” !
ภาพโครงกระดูกกลายเป็นของจริงพุ่งออกมาจากผืนธง แสงสีเขียวโชนฉาย ทันใดนั้นมันก็ขยายจนมีขนาดเท่าบ้านแล้วยันมังกรหมอกสีดำไว้กลางท้องฟ้า
ชั่วขณะหนึ่งเสียงมังกรคำรามดุร้ายดังก้องนภา แสงสีดำกับสีเขียวส่องแสงเรืองรองเป็นผืนใหญ่ เสียงระเบิดทุ้มหนักดังขึ้นไม่ขาด!
ในเวลาเดียวกันนี้เคล็ดวิชาในมือปีศาจพันมายาก็เปลี่ยนไปอีกหน บนธงกระดูกมีพายุหมุนสีดำสูงสิบจั้งลูกหนึ่งบินออกมาแล้วแผ่ขยายไปสี่ด้านแปดทิศ พัดก้อนหินก้อนดินที่พุ่งเร็วรี่มาถึงรอบด้านปลิวออกไปแล้วปั่นจนกลายเป็นฝุ่นผงเต็มท้องฟ้า
แมงป่องกระดูกก็ถูกพายุหมุนสีดำลูกนี้พัดปลิวขึ้นมาเช่นกัน เศษหินนับไม่ถ้วนพากันโจมตีลงบนเปลือกของมันจนส่งเสียงดังเกรียวกราวอยู่พักหนึ่ง หลังจากดิ้นพลิกตัวกลางอากาศอยู่หลายครั้ง มันถึงดีดตัวเองออกมาไกลได้ แต่สภาพก็สะบักสะบอมยิ่งนัก
เมื่อพายุหมุนหายไป ปีศาจพันมายาที่ถือธงกระดูกอยู่ในมือก็ปรากฏตัวออกมา เวลานี้เขากลายร่างเป็นบุรุษใบหน้ายาวแปลกหน้าคนหนึ่งแล้ว แต่เขาไม่มีเจตนาจะไล่สังหารแมงป่องกระดูกสักนิด ตรงกันข้ามเขาขยับวูบหนึ่งก็แหวกอากาศหนีไปอีกครั้ง
ทว่าในเวลานี้เอง เสียง “บึ๊ม” ก็ดังสนั่นขึ้น!
เงาหมัดหัวพยัคฆ์สีดำขนาดหนึ่งจั้งกว่าหมัดหนึ่งพุ่งมาถึงจากด้านหลังแล้วโจมตีรุนแรงเข้าที่ศีรษะ
เงาหมัดนี้มาเร็วยิ่งนัก ไม่ให้เวลาปีศาจพันมายาหลบหลีกเลยแม้แต่น้อย
เขาได้แต่ตะโกนลั่นแล้วยกธงกระดูกในมือพาดขวาง ชั่วพริบตาปราณสีดำผืนใหญ่ก็ทะลุออกมาจากด้านในขวางอยู่เบื้องหน้า
เสียงแผ่วเบาดังขึ้นหนึ่งครั้ง ปราณดำก็ถูกเงาหมัดโจมตีกระจาย เงาหมัดชะงักไปเพียงเล็กน้อยก็โจมตีหนักหน่วงลงบนธงกระดูก
ปีศาจพันมายารู้สึกว่าพลังมหาศาลสายหนึ่งส่งผ่านมาจากธงกระดูก พริบตาเดียวสองมือพลันสั่นระริก สีหน้าก็ซีดเผือดลงเล็กน้อย คนทั้งร่างถูกซัดปลิวออกไปด้านหลังไกลสิบจั้ง
เวลานี้หลิ่วหมิงถึงกวาดสายตามองไปยังทิศทางที่แมงป่องกระดูกปลิวออกไป แล้วเชื่อมจิตสื่อสารกับมัน
“นายท่าน ข้าไม่เป็นไร เมื่อครู่เพียงไม่ระวังเท่านั้น” เสียงกังวานใสของเซียเอ๋อร์แฝงความโกรธอยู่จางๆ เหมือนอับอายอย่างยิ่งกับสภาพทุลักทุเลของตนเองเมื่อครู่
ยังดีที่พลังป้องกันของนางเดิมทีก็ไม่ต่ำต้อย ผนวกกับระยะนี้ได้กินโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์หลายเม็ดที่หลิ่วหมิงมอบให้ลงไปส่งผลดีกับเปลือกทั้งร่างไม่น้อย มันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บหนัก
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงวางใจ เคลื่อนสายตาไปมองปีศาจพันมายาเบื้องหน้าที่ลำบากยิ่งนักกว่าจะตั้งหลักได้อีกครั้งอย่างเย็นชา
“สหายหลิ่ว ระหว่างเจ้ากับข้าหาได้มีความแค้นลึกล้ำอันใดไม่ เพียงแค่ยืนอยู่คนละฝั่งเท่านั้น คิดว่าสหายมาไล่ล่าสังหารข้าคงเพื่อจะรับรางวัลจากนิกายล่ะสิ ข้ามีของมากเพียงพอชดเชยให้เจ้า ขอเพียงเจ้าปล่อยข้าไปสักครั้ง เป็นอย่างไร?” ปีศาจพันมายาสีหน้าซีดเผือดผิดปกติ สายตาที่มองมาทางหลิ่วหมิงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่บนใบหน้ากลับเค้นรอยยิ้มจางๆ เอ่ยออกมา
พลังของหลิ่วหมิงเหนือกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้ การประมือกันครั้งหนึ่งทำให้เขามีความรู้สึกว่าสู้ไม่ได้ เวลานี้เขาจึงได้แต่หวังว่าจะใช้ผลประโยชน์ล่อลวงอีกฝ่ายเพื่อรักษาชีวิตน้อยๆ ของตนเอง
หลิ่วหมิงได้ยินคำนี้ก็หัวเราะหยัน เขาคร้านจะฟังเขาเอ่ยวาจาไร้สาระจึงยกมือข้างหนึ่งขึ้น ปราณดำบนร่างพวยพุ่ง กำลังจะตบหนึ่งฝ่ามือออกไป
“สหายไม่อยากรู้วิธีควบคุมค่ายกลโปรดสัตว์หรือ? ค่ายกลโบราณชุดนี้พลังแข็งแกร่งอย่างที่สุด แม้สหายมีแผ่นค่ายกลกับธงค่ายกลแล้ว แต่หากไม่มีวิธีควบคุมที่ใช้คู่กัน ไม่มีทางสำแดงพลังทั้งหมดของมันออกมาได้เด็ดขาด ขอเพียงปล่อยข้าไปสักครั้ง ข้ายินดีจะบอกวิธีควบคุมฉบับสมบูรณ์แก่เจ้า” ปีศาจพันมายาหน้าถอดสีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนรน
หลิ่วหมิงได้ยินคำนี้ ในใจก็หวั่นไหวเล็กน้อย วิชาบนฝ่ามือเชื่องช้าลง พร้อมกันนั้นบนใบหน้าก็เผยความลังเลออกมาเล็กน้อย