เทียนเกอเจินเหรินกับชายวัยกลางคนชุดเทาด้านหลังเขาขยับตัวทันที ครู่ต่อมาพวกเขาต่างก็ยืนอยู่บนเสาศิลาสีน้ำเงินสองต้นที่เหลือ
เทียนเกอเจินเหรินใช้เคล็ดวิชาด้วยมือข้างเดียว ปากท่องมนตร์งึมงำฟังยากหลายประโยค จากนั้นมือข้างหนึ่งก็ยกขึ้นยิงแสงสีน้ำเงินสายหนึ่งออกไป
ในเวลาเดียวกันนั้นผู้อาวุโสสูงสุดที่เหลืออีกสามคนก็เคลื่อนไหวเหมือนกัน เคล็ดวิชาสีน้ำเงินสี่สายร่วงลงสู่ค่ายกลบนพื้นพร้อมกัน
ค่ายกลมหึมาบนพื้นฉับพลันส่งเสียงดังวิ้ง ยันต์บนเสาศิลาสีน้ำเงินสี่ต้นค่อยๆ ส่องสว่าง แสงรัศมีค่อยๆ ไหลจากเสาศิลาสีน้ำเงินเข้าไปในค่ายกลบนพื้นประหนึ่งน้ำไหล
ชั่วขณะหนึ่งแสงเรืองรองสีเขียวครามผืนใหญ่ก็ทะลักออกมาจากใจกลางค่ายกล ทั้งยังแผ่เต็มผิวค่ายกลอย่างมืดฟ้ามัวดิน เพียงครู่หนึ่งก็ก่อตัวเป็นวงแสงรูปวงกลมซ้อนกันสี่วงด้านใน
“พวกเจ้ารีบมายืนในวงแสง ศิษย์ระดับผลึกยืนวงละสิบคน จินเทียนชื่อ ฉิวหลงจื่อพวกเจ้าสองคนยืนคนละวง” เทียนเกอเจินเหรินยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมาแล้วเอ่ยด้วยเสียงเร่งรีบ
ศิษย์ทั้งหลายได้ยินก็รีบขยับตัว
จินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่อเหาะเข้าไปในค่ายกลเป็นคนแรก ต่างคนต่างยืนอยู่ในวงแสงวงหนึ่ง
ศิษย์ระดับผลึกที่เหลือรวมกับพี่น้องโอวหยางมียี่สิบคนพอดี จึงแบ่งออกเป็นสองกลุ่มเล็กแยกย้ายกันไปยืนในวงแสงสองวงที่เหลือ
หลังจากพี่น้องโอวหยางร่อนลงหลังร่างหลิ่วหมิง หลิ่วหมิงก็คล้ายรับรู้จึงหันกลับไปยิ้มให้เล็กน้อย
วงแสงขอบเขตไม่ใหญ่ ทั้งสามคนแทบจะยืนหน้าหลังแนบชิดกัน
ใบหน้าสวยของโอวหยางเชี่ยนแดงระเรื่อ นางหลุบสายตาลง ส่วนแววตาของโอวหยางฉินก็ดูเหมือนจะขัดเขินอยู่บ้าง
เทียนเกอเจินเหรินเห็นคนทั้งหมดยืนอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมแล้วก็สะบัดมือขวาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ยันต์สีแดงอ่อนสี่แผ่นลอยออกมาจากในแขนเสื้อ ร่วงลงบนวงแสงทั้งสี่วง
เสียง “ปัง” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!
ยันต์สีแดงอ่อนพลันส่องแสงสีแดงแสบตาแถบหนึ่งออกมาล้อมวงแสงที่ตรงกันด้านล่างไว้ข้างใน ทันใดนั้นพวกหลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าเบื้องหน้ากลายเป็นสีแดง พวกเขาถูกหุ้มไว้ในลูกบอลสีแดงอ่อนลูกหนึ่ง
จากนั้นผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ทั้งหลายรวมถึงเทียนเกอเจินเหรินก็สะบัดแขนทั้งสองข้าง ทำท่าเคล็ดวิชาประหลาดท่าแล้วท่าเล่าออกมาอย่างเร็วไว เคล็ดวิชาหลายสายทยอยจมลงสู่ค่ายกลเบื้องล่าง
พื้นดินฉับพลันสั่นไหวแผ่วเบา แสงเรืองรองในค่ายกลเริ่มปั่นป่วน
“ฮ่า!” เทียนเกอเจินเหรินเบิกสองตากว้าง ตะโกนเสียงดัง
หลิ่วหมิงร่างกายแข็งเกร็ง รู้สึกได้ว่าท่ามกลางความมืดสลัวเหมือนจะมีพลังมหาศาลเหนือจินตนาการสายหนึ่งกดทับลงบนร่างทำให้เขาไม่อาจกระดิกได้แม้แต่นิด นอกจากนี้จิตสัมผัสก็คล้ายจะถูกขังไว้ในทะเลจิตรับรู้อย่างแน่นหนา
พลังสายนี้ใหญ่โตมโหฬารกว่าพลังของผู้ฝึกฝนคนใดที่เขาเคยเห็น แม้เป็นผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์อย่างขุยตี้แห่งหนานฮวง เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังสายนี้ก็เหมือนจะรู้สึกเล็กกระจ้อยร่อย
“ครืน” ค่ายกลเคลื่อนย้ายบนพื้นดินถูกพลังสายนี้กระตุ้น
เสาแสงสีน้ำเงินหนาเส้นผ่านศูนย์กลางกว้างสิบกว่าจั้งต้นหนึ่งพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนือวิหารบนยอดเขาหลักของนิกายยอดบริสุทธิ์อย่างกะทันหัน
เสาแสงพุ่งขึ้นฟ้าแล้วครอบวิหารแถบใหญ่ไว้ข้างใน ประหนึ่งเสายักษ์ค้ำฟ้าพุ่งตรงสู่สวรรค์
ด้านในเสาแสงปรากฏเงาเลือนรางของเตาหลอมสำริดยักษ์ใบหนึ่ง หลังจากด้านในเตาหลอมนำดวงแสงสีแดงอ่อนสี่ดวงออกมา เงาเตาหลอมยักษ์ก็หายวับไปอย่างรวดเร็วดั่งห่านป่าผวาบิน
ดวงแสงสี่ดวงลอยตรงขึ้นสู่เบื้องบนท่ามกลางสายตาของศิษย์ทั้งหลายรอบด้านด้วยความเร็วที่เชื่องช้าอย่างยิ่ง อีกทั้งทุกระยะที่ลอยขึ้นไป ความเร็วยังช้าลงอีกเล็กน้อย
ท้องนภาเหนือยอดเขาหลักเวลานี้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ชั้นเมฆบนท้องนภาเริ่มหมุนวนเร็วรี่ก่อตัวเป็นวังวนสีดำที่เคลื่อนหมุนอย่างรวดเร็วลูกหนึ่ง เมฆสีขาวแถบแล้วแถบเล่าสี่ด้านแปดทิศต่างถูกดูดเข้าไปปั่นอยู่ด้านใน
เสียงอสนีบาตคำรามดังกึกก้อง!
ด้านในวังวนมีอสนีบาตรูปอสรพิษสีม่วงทะลวงผ่านออกมาเป็นระยะไม่หยุด ครอบยอดเขาหลักของนิกายยอดบริสุทธิ์ทั้งลูกไว้ข้างใต้
เพียงครู่เดียวแสงสว่างรอบด้านก็มืดหม่น ราวกับทิวาแปรเปลี่ยนเป็นราตรีในพริบตา
ก้อนแสงสีแดงหม่นสี่ดวงที่ถูกเสาแสงสีขาวล้อมไว้ด้านในเคลื่อนไหวช้าลงทุกที แลดูเหมือนลอยขึ้นไปต่อด้วยความยากลำบาก
บนลานหินเขียวของยอดเขาหลัก ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์เกือบพันคนแหงนหน้ามองภาพอันอลังการยากจะจินตนาการเบื้องหน้านี้ แต่ละคนอ้าปากกว้าง ตะลึงจนไม่อาจตะลึงเพิ่มขึ้นได้อีก
ภาพนี้คงอยู่เป็นเวลาหนึ่งก้านธูป ในที่สุดดวงแสงสีแดงอ่อนสี่ดวงก็บรรลุถึงใจกลางวังวนสีดำสนิทและจมลงไปด้านในทีละนิดท่ามกลางอสนีบาตสีม่วงที่ฉายวูบวาบ
เรียกได้ว่าภาพในยามนี้งดงามอย่างประหลาด ดั่งดวงตะวันเจิดจ้าสี่ดวงถูกความมืดกลืนกิน สั่นสะเทือนจิตวิญญาณของศิษย์สายในทุกคนที่อยู่ที่นั่น
นับจากนี้เป็นเวลานาน ยามที่คนเหล่านี้พูดถึงภาพในวันนี้ พวกเขาล้วนตื่นเต้นอย่างยิ่งคุยฟุ้งกันได้ครึ่งค่อนวัน
สุดท้ายเมื่อดวงแสงสี่ดวงหายไปจากสายตาของทุกคนอย่างสมบูรณ์ เสาแสงสีขาวที่พุ่งขึ้นฟ้าก็เริ่มหดเล็กลงช้าๆ ก่อนจะสลายหายไปในท้ายที่สุด
ครู่ต่อมาวังวนสีดำสนิทขนาดมหึมากลางท้องนภาก็ค่อยๆ หดเล็กลงแล้วหายไปด้วย
หลังจากนั้นศิษย์ทั้งหลายบนลานกว้างก็ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังกระหึ่มท้องนภาอยู่เนิ่นนาน
เทียนเกอเจินเหรินสีหน้าซีดเผือดอยู่ในห้องโถงใหญ่ลึกลงไปใต้ดินของยอดเขาหลัก ผู้อาวุโสอีกสามคนที่เหลือก็ล้วนมีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยเช่นเดียวกัน
เวลาที่ดูเหมือนสั้นเพียงชั่วครู่นี้กลับทำให้ทั้งสี่คนราวกับผ่านการตรากตรำมายาวนาน เวลานี้ไม่ว่าพลังจิตหรือพลังเวทล้วนเสียไปไม่น้อย
ค่ายกลบนพื้นด้านล่างว่างเปล่าไม่มีเงาคนอย่างสิ้นเชิง
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าทุกสิ่งเบื้องหน้าหมุนติ้ว ทั้งร่างคล้ายถูกถ่วงลงไปยังก้นสมุทรลึกหมื่นจั้ง ทุกแห่งทั่วร่างถูกแรงกดดันท่วมท้นสายหนึ่งกดทับหนักหน่วง หัวใจก็เหมือนถูกมือยักษ์ล่องหนข้างหนึ่งขยี้และกำลังจะระเบิด
เขาไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ รู้สึกเหมือนเพียงชั่วพริบตาแต่ก็เหมือนพันหมื่นปี แรงกดดันบนร่างฉับพลันก็เบาลง เขากลับมาควบคุมร่างกายของตนเองได้อีกครั้ง หลังจากนั้นเขาจึงลืมตาสองข้างขึ้นอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เบื้องหน้าคือโลกมืดสลัวไร้ขอบเขตแห่งหนึ่ง ระหว่างฟ้ากับดินมีหมอกสีเทาชั้นหนึ่งปกคลุมทำให้ในใจผู้คนรู้สึกอึดอัดอย่างห้ามไม่ได้
เมื่อทอดสายตามองไป สี่ด้านแปดทิศล้วนเป็นผืนดินรกร้างว่างเปล่า ไกลออกไปมองเห็นเงาขุนเขาสูงใหญ่จำนวนหนึ่งอยู่เลือนราง
“ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้าฟื้นแล้วหรือ” เสียงบุรุษแผ่วเบาลอยเข้ามาในหูของหลิ่วหมิง
เขาพลิกกายลุกขึ้นยืนแล้วหันศีรษะมองไปทันที
ด้านหลังร่างเขา จินเทียนชื่อกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้าด้วยสีหน้าสบายๆ ชุดสีทองตัวใหญ่ปลิวสะบัดตามลม ในมือถือยันต์โปร่งใสแผ่นหนึ่งไว้
“ศิษย์พี่จิน ที่นี่คือเศษซากของโลกบนหรือ? ทำไมพวกเขา…”
หลิ่วหมิงผงกศีรษะให้เล็กน้อย จากนั้นสายตาก็กวาดมองไปรอบด้านจึงพบว่าทุกคนนอนอยู่เกลื่อนพื้น หลับตาแน่นสนิท บนใบหน้าเผยสีหน้าทุกข์ทรมานอยู่เลือนราง ฉิวหลงจื่อก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
“ไม่เป็นไร พวกเขาแค่ร่างกายและจิตวิญญาณกระเทือนอย่างรุนแรงเพราะการข้ามเขตแดนระหว่างสองโลกจึงสลบไปชั่วคราวเท่านั้น” จินเทียนชื่อขยับร่างครั้งหนึ่งก็เหาะลงมา เขาอธิบายพร้อมอมยิ้ม
“เป็นเช่นนี้เอง” หลิ่วหมิงโล่งอก
นี่ไม่ใช่ว่าเขาเป็นห่วงสหายร่วมสำนัก แต่เพิ่งเข้ามาในต่างโลกที่ไม่คุ้นคนไม่คุ้นที่เช่นนี้ หากเริ่มแรกก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันย่อมไม่ใช่ลางดีอันใด
“ศิษย์น้องหลิ่วฟื้นเป็นปกติได้รวดเร็วเช่นนี้กลับเหนือความคาดหมายของข้า เห็นถึงความแข็งแกร่งของกายเนื้อและพลังปราณ” จินเทียนชื่อขยำยันต์โปร่งใสแผ่นนั้นในมือ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
“ความสามารถเพียงเท่านี้ของข้าไม่ควรค่าเอ่ยถึง แค่เพราะฝึกฝนพลังควบคู่กับการฝึกฝนร่างกายจึงฝึกปรือร่างกายมาได้ค่อนข้างแข็งแกร่งเท่านั้น ศิษย์พี่จินไม่ใช่ตื่นขึ้นมาก่อนข้าตั้งนานหรือ แล้วสิ่งนี้คือ…” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ จากนั้นสายตาก็เปล่งประกายวูบหนึ่งจับจ้องอยู่บนยันต์ในมือจินเทียนชื่อ
แม้สีสันบนยันต์ในมือของจินเทียนชื่อจะเปลี่ยนไปมาก แต่มองปราดเดียวก็ยังคงมองออกว่ามันคือยันต์สีแดงอ่อนแผ่นนั้นที่เทียนเกอเจินเหรินใช้ก่อนหน้านี้
เวลานี้พลังงานในยันต์ถูกใช้หมดเกลี้ยงนานแล้วมันจึงกลายเป็นสีใส แลดูบอบบางยิ่งนักราวกับว่าใช้แรงเพียงนิดเดียวก็ขยี้ให้กลายเป็นชิ้นๆ ได้
“ของสิ่งนี้มีชื่อว่ายันต์สลายเขตแดน เป็นยันต์สำหรับรวบรวมพลังจิตวิญญาณเพื่อสลายเขตแดนชนิดหนึ่ง” จินเทียนชื่อออกแรงที่มือเพียงเล็กน้อย ยันต์ก็ส่งเสียงดังเปรี๊ยะกลายเป็นฝุ่นผงแวววาวสายหนึ่ง
“ยันต์สลายเขตแดนหรือ? ชื่อนี้ข้าเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ศิษย์พี่จินช่างเป็นผู้รอบรู้จริงๆ” หลิ่วหมิงละสายตาไปแล้วเอ่ยขึ้น
“ฮ่าๆ ข้าก็แค่เคยอ่านตำรามามากก็เท่านั้น ยันต์สลายเขตแดนนี่คือยันต์ที่จะใช้เฉพาะยามเปิดมิติระหว่างโลกสองใบที่ระยะทางห่างไกลกันอย่างที่สุด ตัวอย่างเช่นการฝืนเปิดทางเชื่อมระหว่างแผ่นดินจงเทียนกับเศษซากของโลกบนแล้วเคลื่อนย้ายพวกเรามาที่นี่ครั้งนี้ของนิกาย อาศัยเพียงอาวุธเวทรวมถึงพลังของค่ายกลยังไม่พอ” จินเทียนชื่อเอ่ยเรียบๆ
“การฝ่ากำแพงระหว่างโลกของโลกสองใบต้องใช้พลังงานมากอย่างที่สุด ที่จริงแต่ละสำนักแต่ละนิกายบนแผ่นดินจงเทียนเริ่มเตรียมตัวเพื่อการเดินทางมายังเศษซากของโลกบนครั้งนี้มาก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว นอกจากวัตถุดิบล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วน ยังต้องให้สมบัติพิทักษ์สำนักของแต่ละนิกายดูดซับพลังของเขตแดนที่กระจายออกมาจากเศษซากของโลกบนผสานเข้าไปถึงจะสร้างยันต์สลายเขตแดนนี้ออกมาได้ สำหรับนิกายใหญ่แต่ละแห่ง ยันต์สลายเขตแดนหนึ่งแผ่นเรียกได้ว่าเทียบเท่ากับจำนวนคนที่จะเข้ามาในเศษซากของโลกบน หนึ่งแผ่นเคลื่อนย้ายผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ได้หนึ่งคนหรือผู้ฝึกฝนระดับผลึกได้สิบคน นิกายยอดบริสุทธิ์ใช้เวลานับไม่ถ้วนจวบจนวันนี้เพิ่งสร้างยันต์สลายเขตแดนออกมาได้เพียงสี่แผ่นเท่านั้น” จินเทียนชื่อท่าทางปลงอยู่บ้าง
“ดังนั้นนิกายยอดบริสุทธิ์จึงมีจำนวนคนที่เข้ามาเท่ากับยันต์สี่…” ในใจหลิ่วหมิงพลันเข้าใจ
ทั้งสองคนสนทนากันต่อจากนั้นอีกหลายประโยค จนในที่สุดฉิวหลงจื่อก็ลุกขึ้นมายืนบนพื้น
“พี่จินคงไม่ต้องพูดถึง แต่คิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องหลิ่วจะได้สติเร็วยิ่งกว่าข้า ทำให้ข้าผู้เป็นศิษย์พี่อับอายแล้วจริงๆ!” ฉิวหลงจื่อเห็นหลิ่วหมิงกับจินเทียนชื่อยืนกันอยู่สองคน แรกสุดก็ตกตะลึงแต่หลังจากนั้นก็หัวเราะลั่นอย่างไม่นำพา
ผ่านไปไม่นานนัก ศิษย์ที่พลังโดดเด่นกว่าผู้อื่นเช่นหลัวเทียนเฉิง เวินเจิงก็ทยอยฟื้นคืนสติ
เมื่อรอจนทุกคนฟื้นคืนสติหมดก็เป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วยามให้หลัง ระหว่างนั้นมีคนไม่น้อยทะยานร่างเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า บ้างก็เดินไปรอบๆ พากันสำรวจสภาพแวดล้อมรอบด้าน
สายลมแผ่วเบาระลอกแล้วระลอกเล่าโชยพัดผ่านดินแดนรกร้าง ม้วนตลบไหลผ่านข้างกายทุกคนไป
แม้ที่แห่งนี้จะรกร้างวังเวง แต่พลังปราณแห่งฟ้าดินรอบด้านกลับเข้มข้นอย่างที่สุด เทียบกับถ้ำที่พักที่ดีที่สุดบนเทือกเขาหมื่นวิญญาณยังเข้มข้นกว่าเป็นเท่าตัว