“ไม่มีอะไร เพียงรู้สึกว่ายิ่งมุ่งไปทางทิศตะวันตก พลังปราณแห่งฟ้าดินก็เหมือนจะยิ่งเข้มข้นขึ้นจึงประหลาดใจอยู่บ้างเท่านั้น” หลิ่วหมิงประหลาดใจกับประสาทสัมผัสอันเฉียบไวของโอวหยางเชี่ยนอย่างมาก แต่กลับเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเหมือนไม่มีเรื่องอันใด
โอวหยางเชี่ยนมองหลิ่วหมิงนิ่งๆ แล้วไม่ได้จี้ถามต่อ
ลำแสงของทุกคนเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ ผ่านไปไม่นานก็เหาะผ่านระยะทางหลายร้อยลี้
เมื่อมาถึงที่แห่งนี้ ทุกคนล้วนสัมผัสคลื่นพลังปราณประหลาดเบื้องหน้าได้ค่อนข้างชัดเจน บนท้องฟ้าเหมือนจะมีวังวนพลังปราณขนาดมโหฬารลูกหนึ่งกำลังเคลื่อนหมุนอยู่อย่างเชื่องช้า
“จิตสัมผัสของศิษย์พี่จินแข็งแกร่งถึงขั้นนี้เชียว นับถือๆ !” ฉิวหลงจื่อมองจินเทียนชื่ออย่างนับถือ และเอ่ยชมจากใจ
“ศิษย์น้องฉิวชมเกินไปแล้ว” จินเทียนชื่อหัวเราะคล้ายไม่ใส่ใจ
สภาพประหลาดที่ชวนให้ตกใจเช่นนี้ทำให้ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ทั้งหลายมีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นในหัวใจ พวกเขาต่างทยอยกระตุ้นเคล็ดวิชาเร่งความเร็วการเหาะ อยากรีบไปถึงที่หมายในอึดใจ
หลิ่วหมิงรั้งสายตากลับมาจากขอบฟ้าไกล ในดวงตาฉายแววประหลาดใจอย่างยิ่ง
พลังจิตสัมผัสของเขาแข็งแกร่งมากจึงสัมผัสได้ชัดเจนว่าพลังปราณแห่งฟ้าดินรอบด้านเข้มข้นขึ้นทุกที นอกจากนี้ยังมีทีท่าว่าจะรวมตัวไปทางวังวนลูกนั้นซึ่งอยู่ไกลออกไปด้วย
“หรือว่าจะมีสมบัติพิเศษอันใดปรากฏขึ้นมาจริงๆ ?” สายตาของเขาเหลือบมองแผ่นหลังของจินเทียนชื่อแล้วเผยสีหน้าราวกับคิดอะไรบางอย่าง
เกือบครึ่งชั่วยามให้หลัง ในที่สุดพวกหลิ่วหมิงก็เดินทางมาถึงจุดที่เกิดเหตุการณ์ประหลาดซึ่งจินเทียนชื่อชี้บอก ที่แห่งนี้เป็นหุบเขาที่ล้อมรอบด้วยเขาสามด้านแห่งหนึ่ง
หุบเขาไม่ใหญ่ ในหุบเขามีหินวางกองระเกะระกะล้อมค่ายกลที่แลดูโบราณอย่างที่สุดขนาดไม่กี่สิบจั้งค่ายกลหนึ่งอยู่
สิ่งที่แปลกก็คือทั้งค่ายกลมองไม่เห็นลวดลายค่ายกลสักตัว แต่มีหินจิตวิญญาณขนาดเท่ากำปั้นสีน้ำเงินนับไม่ถ้วนฝังอยู่ในค่ายกลจนเกิดเป็นลวดลายสายแล้วสายเล่า
เมื่อมาถึงที่แห่งนี้ พวกเขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังปราณแห่งฟ้าดินรอบด้านก่อตัวเป็นรูปทรงกรวยไหลเข้าไปในค่ายกล ทุกหนทุกแห่งในหุบเขาเต็มไปด้วยไอหมอกที่เหมือนควันขาว นี่คือพลังปราณแห่งฟ้าดินที่กำลังจับตัวกัน
“นี่น่าจะเป็นค่ายกลรวมจิตวิญญาณ!”
ฉิวหลงจื่อร่อนลงในหุบเขาก่อนเป็นคนแรก สายตาคมกริบพินิจจำแนกชนิดค่ายกลโบราณแล้วเอ่ยพึมพำออกมา
ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์คนแล้วคนเล่าร่อนลงมาอย่างอดใจรอไม่ไหวด้วยเช่นเดียวกัน พวกเขาพากันเผยสีหน้าตื่นเต้นออกมา
“ปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินเข้มข้นนัก!”
พลังปราณแห่งฟ้าดินในหุบเขาเข้มข้นจนน่าตะลึง มันแทบจะมากเป็นสิบเท่าของที่อื่นในเศษซากของโลกบน จมูกกับปากสูดหายใจก็สัมผัสได้ชัดเจนถึงพลังปราณบริสุทธิ์ที่หลั่งไหลเข้ามาในร่างทำให้คนรู้สึกสบายจนราวกับว่ากระดูกเบาหวิว
ในดวงตาของฉิวหลงจื่อฉายแววยินดี นิกายยอดบริสุทธิ์มีดินแดนจิตวิญญาณขนาดเล็กแห่งหนึ่งเป็นแดนลึกลับที่นิกายเสียทรัพยากรนับไม่ถ้วนสร้างขึ้นมา พลังปราณแห่งฟ้าดินด้านในเข้มข้นอย่างที่สุด เป็นสถานที่ฝึกฝนซึ่งมีไว้ให้ศิษย์ลับเลื่อนระดับ
แต่เมื่อเทียบกับที่แห่งนี้ ความเข้มข้นของพลังปราณในแดนจิตวิญญาณน้อยกลับเบาบางกว่าไม่รู้เท่าไร
“เอ๋ นี่มันศิลารวมจิตวิญญาณ! มิน่าค่ายกลรวมจิตวิญญาณนี่จึงรวบรวมพลังปราณมาได้มากมายเช่นนี้!” จินเทียนชื่อเหาะวนอยู่บนท้องฟ้าพักหนึ่งก็ร่อนลงมา ดวงเปล่งประกายมองหินจิตวิญญาณสีน้ำเงินในค่ายกลไม่หยุด ปากก็อุทานขึ้นมาแผ่วเบา
“ศิลารวมจิตวิญญาณ! พี่จิน หินจิตวิญญาณสีน้ำเงินเหล่านี้คือศิลารวมจิตวิญญาณจริงหรือ?” ฉิวหลงจื่อได้ยินคำพูดของจินเทียนชื่อก็เบิกตาโตทันที เขาเอ่ยออกมาอย่างไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง
ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์รอบด้านได้ยินคำพูดของทั้งสอง คนส่วนใหญ่ต่างก็ทำหน้ามึนงง มีเพียงศิษย์ส่วนน้อยไม่กี่คนที่รอบรู้กว้างขวาง บนใบหน้าเผยสีหน้าตื่นเต้นออกมา
“ท่านพี่ ศิลารวมจิตวิญญาณคือสิ่งใด?” โอวหยางฉินแอบถามโอวหยางเชี่ยนที่อยู่ด้านข้าง
แววตายินดีในดวงตาโอวหยางเชี่ยนลดหายลงไปเล็กน้อย ขณะที่นางกำลังจะเอ่ยปากอธิบาย เสียงของจินเทียนชื่อก็ลอยมา
“ศิลารวมจิตวิญญาณคือหินจิตวิญญาณที่พิเศษอย่างยิ่งชนิดหนึ่งบนโลก มันถือกำเนิดลึกลงไปใต้ชีพจรจิตวิญญาณที่พลังปราณเปี่ยมล้น เล่าลือกันว่าหลายพันปีถึงจะเกิดขึ้นมาขนาดก้อนเท่าเล็บมือ หินจิตวิญญาณชนิดนี้ดูดซับพลังปราณแห่งฟ้าดินรอบด้านแล้วเก็บรักษาไว้ได้เรื่อยๆ ยามต้องการก็ปลดปล่อยออกมา หลังจากใช้พลังปราณแห่งฟ้าดินในศิลารวมจิตวิญญาณจนหมด มันก็ยังดูดซับพลังมาเก็บสะสมเองได้ต่อ จากนั้นก็ใช้ซ้ำได้ ไม่เหมือนหินจิตวิญญาณทั่วไปที่ใช้พลังจิตวิญญาณหมดสิ้นก็จะผุพัง สำหรับผู้ฝึกฝนแล้วศิลารวมจิตวิญญาณเป็นทรัพยากรการฝึกฝนอันล้ำค่าที่หาได้ไม่มากชนิดหนึ่ง”
จินเทียนชื่อเอ่ยจบ บนใบหน้าของทุกคนก็ปรากฏสีหน้าตื่นเต้นยินดีในทันใด
คนที่อยู่ที่นี่แต่ละคนได้รับเลือกจากอาจารย์และผู้อาวุโสให้เข้ามาในเศษซากของโลกบน พวกเขาไม่มีคนไหนเป็นคนโง่ เมื่อได้ฟังคำพูดของจินเทียนชื่อย่อมเข้าใจมูลค่าของศิลารวมจิตวิญญาณ
“มีหินจิตวิญญาณเช่นนี้ด้วย น่าเหลือเชื่อจริงๆ!” บนใบหน้าโอวหยางฉินปรากฏสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย
ในเวลานี้เอง เงาคนผู้หนึ่งก็เหาะลงมาจากท้องฟ้าร่อนลงเบื้องหน้าพี่น้องโอวหยาง หลิ่วหมิงนั่นเอง แต่ในดวงตาเขากลับไม่มีแววตาตื่นเต้นยินดีสักเท่าไร เขาเอ่ยขึ้นอย่างนิ่งสงบ
“ในยุคโบราณ ศิลารวมจิตวิญญาณกับหินจิตวิญญาณระดับสุดยอดถูกขนานนามคู่กันว่าเป็นสองหินจิตวิญญาณชั้นยอด มีประโยชน์มหัศจรรย์ที่ไม่อาจบอกกล่าวเป็นคำพูดได้ นอกจากศิลารวมจิตวิญญาณจะดูดซับพลังปราณแห่งฟ้าดินได้เองแล้ว ยามใช้วางค่ายกลก็มีส่วนช่วยเกื้อหนุนค่ายกลอย่างยิ่ง ไม่เพียงคงสภาพค่ายกลให้ทำงานได้เป็นระยะเวลานาน ยังทำให้พลังจิตวิญญาณด้านในสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ดังเช่นค่ายกลรวมจิตวิญญาณในที่แห่งนี้ เมื่อเข้าไปอยู่ด้านในยังมีประโยชน์กับการทะลวงคอขวดระดับพลังอีกด้วย”
คนอื่นได้ยินคำนี้ย่อมยินดีอีกครั้ง
“พี่หลิ่วรอบรู้กว้างขวางจริงๆ จะว่าไปแล้วเมื่อครู่ท่านหยุดอยู่กลางท้องฟ้านานนัก พบจุดที่ผิดปกติอันใดหรือ?” โอวหยางเชี่ยนหัวเราะเสียงหวานแล้วเอ่ยถาม
หลิ่วหมิงส่ายศีรษะ ไม่ได้พูดอะไรอีก
“ดูท่าค่ายกลรวมจิตวิญญาณแห่งนี้น่าจะเป็นค่ายกลที่ตกทอดมาจากยุคโบราณ แตกต่างจากค่ายกลรวมจิตวิญญาณทั่วไปที่ใช้บนแผ่นดินจงเทียนอยู่บ้าง” จินเทียนชื่อสายตาทอประกายเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ศิษย์พี่จิน อย่าเพิ่งสนใจเรื่องอื่นเลย พลังปราณของที่แห่งนี้เข้มข้นเช่นนี้ ไม่สู้พวกเราหยุดอยู่ที่นี่สักช่วงระยะเวลาหนึ่ง ลองดูสิว่าจะอาศัยค่ายกลรวมจิตวิญญาณอันนี้ทะลวงคอขวดระดับพลังของแต่ละคนได้หรือไม่!” ศิษย์สายในระดับผลึกขั้นปลายคนหนึ่งกลืนน้ำลายแล้วเอ่ยขึ้น ขณะที่มองจินเทียนชื่ออย่างคาดหวังอยู่บ้าง
คำพูดของคนผู้นี้ทำให้คนไม่น้อยคล้อยตามในทันที พลังปราณแห่งฟ้าดินด้านในค่ายกลก่อตัวจนเป็นหมอก สภาพแวดล้อมที่ยอดเยี่ยมสำหรับการฝึกฝนเช่นนี้ หากได้ฝึกฝนอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่งเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าพลังอาจก้าวหน้าขึ้นได้ในระยะเวลาสั้นๆ
เทียบกับระดับพลังก้าวหน้า การไปค้นหาวัตถุดิบจิตวิญญาณและวัตถุจิตวิญญาณก็แลดูจะไม่เร่งรีบปานนั้น
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลัวเทียนเฉิง หลงเหยียนเฟยและเวินเจิงก็หวั่นไหวอย่างยิ่ง
“พวกเราไม่คุ้นเคยกับที่นี่ บนแผนที่ซึ่งนิกายให้มาก็ไม่ได้ระบุอะไรเกี่ยวกับที่นี่ไว้ หากบุ่มบ่ามหยุดอยู่ที่นี่…” จินเทียนชื่อครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น
“สิ่งที่ศิษย์พี่จินกังวลมีเหตุผลทีเดียว ที่แห่งนี้ประหลาดอยู่บ้างอย่างแท้จริง โดยทั่วไปสถานที่ซึ่งมีปราณจิตวิญญาณเข้มข้นล้วนจะถูกปีศาจอสูรยึดครองเป็นอาณาเขต แต่ที่แห่งนี้เงียบสงบจนเกินไป เมื่อครู่ข้าสำรวจบริเวณโดยรอบเล็กน้อยแทบจะไม่เห็นร่องรอยสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ที่นี่เลย ผิดปกติเกินไปอยู่บ้างจริงๆ” หลิ่วหมิงเดินเข้ามาแล้วเอ่ยอย่างเชื่องช้า
“เรื่องนี้…” ทุกคนได้ฟังสีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันใด พวกเขาเริ่มมองหน้ากัน
หลิ่วหมิงเป็นผู้ที่ทุกคนยอมรับกันว่าพลังแข็งแกร่งที่สุดรองจากระดับแก่นแท้ทั้งสองคน คำพูดที่เขาเอ่ยออกมาย่อมมีน้ำหนักแตกต่างจากผู้อื่น
“แม้ว่าที่แห่งนี้อาจมีปีศาจอสูรที่ร้ายกาจอยู่สักตัวสองตัว แต่พวกเราคนมากปานนี้ยังต้องกลัวอีกหรือ นอกจากนี้ความผิดปกติอะไรนี่ก็อาจเป็นสิ่งที่พี่หลิ่วจินตนาการไปเอง บางทีที่แห่งนี้อาจไม่มีอันตรายอันใดเลยก็ได้ พี่หลิ่วกังวลมากเกินไปแล้วกระมัง” หลัวเทียนเฉิงก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่งพลางเหล่มองหลิ่วหมิง แล้วเอ่ยแย้งขึ้นมา
ในใจหลัวเทียนเฉิงอยากฝึกฝนอยู่ที่นี่ช่วงเวลาหนึ่งยิ่งนัก พลังของเขาบรรลุถึงจุดสูงสุดของระดับผลึกขั้นกลางแล้ว ขาดเพียงก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ระดับผลึกขั้นปลาย
ด้วยคุณสมบัติพิเศษของร่างจิตวิญญาณตูเทียนการจะเข้าสู่ระดับผลึกขั้นปลายไม่ได้ยากเย็นมากนัก อาศัยค่ายกลรวมจิตวิญญาณกับปราณจิตวิญญาณอันเข้มข้นอย่างที่สุดที่นี่ เขาก็มีโอกาสทะลวงข้ามระดับอยู่ไม่น้อย
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของหลัวเทียนเฉิง คนที่เดิมทีต้องการหยุดอยู่ที่นี่เหล่านั้นฉับพลันก็พากันพยักหน้าเห็นด้วย
พวกเขาแบ่งออกเป็นสองฝั่งในทันที ฝั่งหนึ่งคิดว่านี่เป็นโอกาสทะลวงระดับอันหาได้ยากครั้งหนึ่ง คุ้มกับการเสี่ยงอันตรายเล็กๆ น้อยๆ อีกฝั่งหนึ่งย่อมเห็นด้วยกับความเห็นของหลิ่วหมิงและจินเทียนชื่อ คิดว่าควรให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นหลัก
หลัวเทียนเฉิงเห็นว่ามีหลายคนสนับสนุน ในใจก็ได้ใจอยู่บ้าง เขามองหลิ่วหมิงราวกับจะท้าทายแต่ไม่พูดอะไรอีก
หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ สองตาพลันหรี่ลง ประกายคมกล้าสายหนึ่งฉายออกมา
เมื่อศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่อยู่ด้านข้างรับรู้ถึงสายตาของเขา ในใจล้วนหวาดผวา อดไม่ได้ถอยออกมาก้าวหนึ่ง
นับตั้งแต่หลิ่วหมิงเหยียบเข้าสู่โลกแห่งการฝึกฝน เขาก็เข่นฆ่ามาตลอดไม่ได้หยุด วิชาที่ฝึกฝนก็ยังเป็นสายวิญญาณ กลิ่นอายความดุร้ายที่วนเวียนรอบร่างสั่งสมนานวันเข้าก็หนักหน่วงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายปีนี้เขาสังหารผู้ฝึกฝนชั่วร้ายระดับแก่นแท้กับปีศาจอสูรอย่างต่อเนื่องไปไม่น้อย บรรยากาศรอบตัวจึงยิ่งเย็นยะเยือกน่าหวาดหวั่น เพียงเพ่งความคิด ปราณดุร้ายเย็นเยียบสายหนึ่งก็แผ่ออกมาจากร่างทันที
หลัวเทียนเฉิงสัมผัสได้ หัวใจพลันสะท้าน สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
แต่อย่างไรเขาก็ครอบครองร่างจิตวิญญาณอันหายาก พลังไม่อ่อนแอ พลังเวทเคลื่อนวูบหนึ่งก็สงบจิตใจได้ เขาสบสายตากับหลิ่วหมิงโดยไม่แสดงความอ่อนแอแม้แต่น้อย ปราณเข้มข้นสายหนึ่งปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าระหว่างกลางทั้งสองคนทันที
“พอแล้ว ในเมื่อทุกคนทะเลาะกันไม่เลิก ไม่สู้ให้ข้าเป็นคนตัดสินใจ ทุกคนต่างถอยคนละก้าว หยุดอยู่ที่นี่สามวัน ถือเสียว่าพักผ่อนรักษาตัว สามวันให้หลังค่อยรื้อศิลารวมจิตวิญญาณในค่ายกลแล้วออกไปจากที่นี่ทันที ศิษย์พี่จินคิดอย่างไร?”
ฉิวหลงจื่อที่ใคร่ครวญมาตลอด ฉับพลันก็ขยับวูบหนึ่งมาโผล่ระหว่างหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิง เขาสลายปราณประหลาดทั้งหมดจนกระจายแล้วหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยขึ้นมา
“เอาตามที่ศิษย์น้องฉิวว่าแล้วกัน ระหว่างที่พวกเจ้าฝึกฝน ข้ากับศิษย์น้องฉิวสองคนจะคอยเฝ้าไว้ ผลัดเวรยามกันทุกหกชั่วยาม” จินเทียนชื่อเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้าเล็กน้อย
ในเมื่อผู้นำขบวนเอ่ยปากแล้ว แม้หลิ่วหมิงจะคิ้วขมวดแน่นและยังมีคนไม่ยินยอมนัก แต่สุดท้ายก็ได้ข้อสรุป
จากนั้นทุกคนก็ทยอยเข้าไปในค่ายกล ต่างคนหาที่ว่างนั่งขัดสมาธิ เร่งรีบเข้าสู่สภาวะฝึกฝน พี่น้องโอวหยางก็ย่อมนั่งอยู่ในค่ายกลด้วย
หลิ่วหมิงกลับไม่ขยับ เขายืนเอามือไพล่หลังอยู่นอกค่ายกลรวมจิตวิญญาณพลางสำรวจหุบเขารอบด้านไม่หยุด ราวกับกำลังค้นหาอะไรอยู่