ระหว่างที่ตกตะลึง ร่างกายของเขาก็ขยับวูบเดียวมาปรากฏข้างศพ เขาก้มตัวลงมองสำรวจอย่างละเอียดพักหนึ่ง
ดูจากเครื่องแต่งกายของเศษซากศพร่างนี้ กว่าครึ่งคงจะเป็นศิษย์นิกายเทียนกงอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนบาดแผลบนร่างเห็นชัดว่าถูกบางสิ่งที่มีพละกำลังมหาศาลฉีกทึ้ง เพียงแต่ว่าบาดแผลเป็นระเบียบเช่นนี้ทำให้หลิ่วหมิงประหลาดใจอยู่บ้าง
ในเวลานี้เองบางสิ่งบนข้อมือเขาก็สะดุดตาหลิ่วหมิง เขาเหล่มองก็เห็นว่ามันคือกำไลเก็บของสีม่วงอ่อนวงหนึ่ง
เขาคิ้วขมวดยกมือข้างหนึ่งขึ้นกวัก กำไลเก็บของพลันลอยออกมาจากร่างของศพร่วงลงในมือเขาอย่างมั่นคง
ผลปรากฏว่าเมื่อใช้จิตสัมผัสแทรกเข้าไปกวาดด้านในกำไลเก็บของก็พบว่านอกจากหินจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งกับยันต์และอาวุธจิตวิญญาณ ตรงมุมหนึ่งด้านในยังมีลูกแก้วกลมสีสันแตกต่างกันหลายสิบลูกนอนแอ้งแม้งอยู่ด้วย ลูกแก้วส่วนใหญ่ในนั้นขนาดเท่ากำปั้น มีเพียงลูกที่ทอแสงสีทองขมุกขมัว บนผิวมียันต์หน้าตาเหมือนไส้เดือนยั้วเยี้ยไหลวนอยู่ไม่หยุดเท่านั้นที่ดูใหญ่กว่าลูกอื่นอยู่เท่าหนึ่ง
“เอ๋? เหมือนจะเป็นหุ่นระดับแก่นแท้?” หลิ่วหมิงสำรวจลูกบอลกลมสีทองอยู่หลายรอบ แล้วทันใดนั้นเขาก็เผยท่าทางตกตะลึงออกมา จากนั้นเขาก็ยิ้มเจื่อนพลางส่ายศีรษะ
ศิษย์ของนิกายเทียนกงที่เข้ามาในเศษซากของโลกบนได้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา จะครอบครองหุ่นระดับเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก
จะว่าไปแล้ว เขาก็เคยสร้างแค่หุ่นนักรบระดับของเหลวจิตวิญญาณสี่ตัวเท่านั้น หุ่นระดับผลึกยังไม่เคยบังคับมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหุ่นระดับแก่นแท้
อีกทั้งหุ่นระดับสูงเฉพาะของนิกายแบบนี้ วิชาหุ่นข้างนอกย่อมไม่อาจควบคุมได้
หากรู้ล่วงหน้าว่าจะมีโชควาสนาเช่นนี้ ตอนนั้นที่ทะเลทรายกุ่ยโม่เขาน่าจะขอคัมภีร์วิชาควบคุมหุ่นจากชิงหลิงมาสักหลายเล่ม
จากนั้นเขาก็สำรวจเศษหุ่นหลายตัวที่เหลือ แล้วก็พบว่าพวกมันล้วนเป็นหุ่นระดับผลึก คล้ายกับว่าศิษย์นิกายเทียนคงผู้นี้ถูกลอบจู่โจมกะทันหัน ยังไม่ทันได้เรียกหุ่นระดับแก่นแท้ออกมาก็ถูกคู่ต่อสู้สังหารเสียแล้ว
หลิ่วหมิงหยิบกำไลเก็บของขึ้นมาแล้วเดินวนบริเวณใกล้ๆ เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งยังไม่พบร่องรอยอื่นใดจึงได้แต่เหาะออกจากบึงไป
หลายวันต่อจากนั้นระหว่างที่หลิ่วหมิงรีบเร่งเดินทางไปยังจุดที่ใกล้ที่สุดซึ่งระบุไว้ในแผนที่ เขาก็ค้นหาตามเส้นทางได้โชคลาภมาไม่น้อย
ในหมู่สิ่งที่ได้มามีหญ้าจิตวิญญาณกับสมุนไพรจิตวิญญาณหลายต้น หากเก็บเข้าไปในฝักกระบี่ย่อมช่วยบำรุงลูกกลอนกระบี่ได้อย่างมาก นอกจากนี้ยังมีหินแร่ยมโลกที่ระดับค่อนข้างสูงอีกหลายก้อนซึ่งเป็นวัตถุดิบหลอมศาสตราระดับสุดยอดธาตุหยิน ราคาไม่ธรรมดาเช่นกัน
สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงยินดีที่สุดก็คือ เขาได้หญ้าตามวิญญาณอายุพันปีที่ยากจะหาพบต้นหนึ่งมาด้วย หากผสานกับวัตถุจิตวิญญาณที่ชื่อว่าปะการังเจ็ดสีก็จะปรุงโอสถจิตวิญญาณที่เพิ่มโอกาสผนึกแก่นแท้เล็กน้อยชนิดหนึ่งออกมาได้
ต้องรู้ไว้ว่าพลังมาถึงระดับขั้นนี้ ต่อให้เพิ่มโอกาสผนึกแก่นแท้ได้เพียงหนึ่งหรือสองส่วนในร้อยก็ทำให้ผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนนับไม่ถ้วนแห่ไปหาเหมือนฝูงเป็ด
เจ็ดวันให้หลัง บนท้องฟ้าเหนือยอดเขาซึ่งมีป่าสีเขียวหนาทึบผืนหนึ่งล้อมอยู่ หลิ่วหมิงกำลังเหยียบเมฆสีดำก้อนหนึ่งบินวนกลางท้องฟ้า ใช้จิตสัมผัสกวาดผ่านอาณาเขตบริเวณร้อยลี้อย่างคร่าวๆ เมื่อไม่พบกลิ่นอายความผิดปกติแต่อย่างใดจึงค่อยๆ ร่อนลงมาแล้วเดินอีกไม่กี่ก้าวก็มาถึงตรงหน้าหินภูเขาที่แลดูธรรมดาก้อนหนึ่ง หลังจากมองสำรวจจากด้านบนถึงด้านล่างหลายรอบ ฉับพลันเขาก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งเข้าไปด้านใน
เสียง “ปุ้ง” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง ทุกสิ่งรอบข้างหินภูเขาพลันแตกสลายไป หน้าผามหึมาที่เต็มไปด้วยตะไคร่สีเขียวเข้มเผยตัวออกมาจากความว่างเปล่า
ใต้หน้าผา ประตูทองแดงที่แลดูเก่าแก่อย่างยิ่งบานหนึ่งเปิดอ้าอยู่
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ดวงตาทั้งคู่ก็ทอประกายวูบไหวเล็กน้อย แต่ร่างกายยังคงขยับหายเข้าไปด้านใน
เวลาชั่วหนึ่งมื้ออาหารผ่านไปหลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวในห้องโถงใหญ่ว่างเปล่าแห่งหนึ่งใต้ภูเขา ด้านในมีโต๊ะศิลากับเก้าอี้ศิลาล้มอยู่บนพื้น เห็นชัดว่าถูกคนกวาดเรียบไปแล้ว
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่สายตากวาดมองรอบด้านอย่างเชื่องช้า หลังจากนั้นเขาก็พลิกมือเรียกลูกแก้วกลมสีน้ำเงินขมุกขมัวลูกหนึ่งออกมา แล้วตบลงไปด้านบน
บนผิวของลูกแก้วกลมมีแสงสีน้ำเงินเข้มไหลวนอยู่พักหนึ่งก็ส่งเสียงดังวิ้งเบาๆ
สุดท้ายแสงสีขาวสายหนึ่งก็พุ่งรวดเร็วออกมาจากในเสาที่หนาเท่าตัวคนต้นหนึ่งใกล้ๆ ดังฟึบ แล้วพุ่งวูบเดียวร่วงลงในมือของเขา มันคือยันต์สีขาวน้ำนมแผ่นหนึ่ง
หลิ่วหมิงขยับนิ้วมือยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมา ยันต์สีขาวหมุนติ้วกลางอากาศแล้วหยุดนิ่งกลายเป็นอักษรตัวน้อยสีขาวแถวหนึ่ง จากนั้นเพียงครู่เดียวก็กลายเป็นแสงจิตวิญญาณจุดแล้วจุดเล่าสลายกลายเป็นความว่างเปล่า
“พวกเขาเคยมาที่นี่แล้ว แต่ยังดีที่ทิ้งเป้าหมายจุดต่อไปเอาไว้ให้ ไล่ตามพวกเขาจึงเป็นเรื่องไม่ยาก” หลิ่วหมิงเอ่ยพึมพำขณะที่เก็บลูกแก้วกลม จากนั้นเขาก็หมุนตัวจากไปทันทีอย่างไม่อาลัยอาวรณ์แต่อย่างใด
……
หลายเดือนหลังจากนั้น บนท้องฟ้าเหนือหุบเขาแคบยาวแห่งหนึ่ง มีเสียงแหวกอากาสดังสนั่นขณะที่เงาดำสี่ร่างแย่งชิงกันพุ่งรวดเร็วนำไปข้างหน้า
ห่างไปร้อยกว่าจั้งด้านหลังเงาดำเหล่านี้มีลำแสงหลากสีสันกลุ่มใหญ่กำลังไล่ตามติดไม่ลดละ
ลำแสงที่อยู่หน้าสุดคือลำแสงสีทองที่พลังโดดเด่นสายหนึ่ง ด้านในลำแสงสีทองคือชายหนุ่มผู้สวมชุดสีทองตัวโคร่งคนหนึ่ง เขาคือจินเทียนชื่อนั่นเอง
ด้านในลำแสงสายอื่นด้านหลังก็คือสองพี่น้องโอวหยาง หลงเหยียนเฟยและศิษย์คนอื่นอีกสองคน
เรื่องมีอยู่ว่าหลายวันก่อนหน้านี้หลังจากจินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่อค้นหาซากโบราณสถานซึ่งเป็นจุดที่ระบุไว้บนแผนที่เสร็จสิ้น พวกเขาก็แยกกันนำกลุ่มค้นหาสมบัติในพื้นที่แถบนี้เพื่อเพิ่มโอกาสในการค้นหาสมบัติ
จินเทียนชื่อนำพวกหลงเหยียนเฟยมาพบกับหุบเขามหึมาที่มีสมุนไพรจิตวิญญาณมากมายแห่งหนึ่ง ขณะที่แต่ละคนกระจายกันออกไปค้นหาอยู่นั่นเอง ศิษย์สองคนในนั้นก็ถูกลอบจู่โจมจากศิษย์ของนิกายปีศาจลี้ลับสี่คนอย่างกะทันหัน
ฝ่ายศัตรูมากฝ่ายตนน้อย อีกทั้งยังไม่ทันป้องกันแม้แต่นิด แม้ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์สองคนนั้นจะพลังไม่ต่ำเตี้ยก็ยังมีคนหนึ่งสิ้นชีวิตทันที ส่วนอีกคนอาศัยยันต์ปกป้องชีวิตหนีออกมาได้อย่างหวุดหวิดแล้วมาแจ้งข่าวกับจินเทียนชื่อที่อยู่อีกด้านหนึ่งของหุบเขาอย่างรวดเร็ว
การลอบจู่โจมเช่นนี้ย่อมทำให้จินเทียนชื่อโกรธจัด เขาเรียกรวมพวกหลงเหยียนเฟยแล้วไล่ล่าสังหารในทันที
ผลปรากฏว่าเขาพบศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับหลายคนไม่ไกลจากหุบเขาจริงๆ เขาจึงไล่ตามสังหารทันที จนนำมาสู่ภาพตรงหน้านี้
จินเทียนชื่อมองศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับหลายคนที่หนีอยู่ด้านหน้าแล้วแค่นเสียงหยัน ปากเอ่ยท่องมนตร์ในทันใด เคล็ดวิชาที่มือเปลี่ยนเร็วไวไม่หยุด รอบกายเปล่งแสงดาราระยิบระยับจุดแล้วจุดเล่าออกมาไม่ขาดสาย
ทันใดนั้นสองมือของเขาก็แยกกันยิงแสงสีทองสายหนึ่งออกไปสองฟากฝั่ง
หลังจากแสงสีทองสองสายนั้นหมุนวนกลางอากาศก็หยุดนิ่งกลายเป็นรุ้งยาวสีทองสองสาย พุ่งวูบเดียวจมหายไปในยอดเขาสองฝั่งของหุบเขา หายไปอย่างไร้ร่องรอย
บนผิวยอดเขาของหุบเขาแคบสองฝั่งฉับพลันปรากฏเส้นสีทองเส้นหนึ่งแผ่ขยายไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียวก็แซงหน้าเงาดำหลายเส้นเบื้องหน้า
เสียง “บึ๊ม” ดังลอยมา!
ยอดเขาสองฝั่งส่วนที่อยู่เหนือเส้นสีทองถล่มลงมาพร้อมเสียงดังกึกก้อง กลายเป็นเศษหินกลิ้งร่วงลงมาตามหน้าผาชัน หุบเขาที่เดิมทีก็แคบอยู่แล้วถูกปิดกั้นจนน้ำไม่อาจลอดผ่าน
ครู่ต่อมาลำแสงสีทองพลันกลายเป็นดาวหางเจิดจ้าดวงหนึ่งกลางอากาศ เพิ่มความเร็วไล่ตามเงาดำหลายร่างเบื้องหน้านั้น
เงาดำทั้งหลายเห็นสถานการณ์ก็หยุดชะงักหมุนตัวมาทันที เมื่อพวกเขาเก็บไอปีศาจไปก็เผยให้เห็นบุรุษที่สวมเครื่องแต่งกายของนิกายปีศาจลี้ลับหลายคน คนหนึ่งในนั้นก็คือชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีเขียวทั้งศีรษะ เขาก็คือหลงเซวียนนั่นเอง
เสียงตวาดแผ่วเบาของจินเทียนชื่อดังออกมาจากด้านในแสงสีทอง ทันใดนั้นแสงดารานับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากด้านใน พริบตาเดียวก่อตัวเป็นมือยักษ์สีทองขนาดหนึ่งหมู่กว่าข้างหนึ่ง ตบเข้าใส่พวกหลงเซียนอย่างรุนแรง
“สี่ปีศาจประสานหยาง”
สามคนที่เหลือนอกจากหลงเซวียนเห็นเช่นนี้จึงเอ่ยประสานเสียง จากนั้นร่างกายก็เลือนรางหายไปปรากฎตัวหลังร่างหลงเซวียน แล้วแนบฝ่ามือหกข้างบนหัวไหล่สองข้างของหลงเซวียนพร้อมกัน
หลงเซวียนหัวเราะเหี้ยม เปลวเพลิงสีเขียวพวยพุ่งจากแผ่นหลังเกิดเป็นเงายักษ์สีเขียวสูงยี่สิบกว่าจั้งตัวหนึ่งที่มีใบหน้าเลือนรางไม่ชัด แต่ยังมองเห็นว่าร่างกายสวมชุดเกราะ แขนกำยำหกข้างกำอาวุธนานาชนิดเช่นดาบ กระบี่และโล่ไว้
ส่วนตัวหลงเซวียนเอง ร่างกายก็ขยายขึ้นหนึ่งเท่ากลายเป็นคนร่างยักษ์สีเขียวที่สูงสามจั้งกว่าคนหนึ่งเช่นกัน ผิวบนร่างปรากฏลวดลายสีเขียวใหญ่หนาดุจไส้เดือนตัวแล้วตัวเล่า จากนั้นมือข้างหนึ่งของเขาก็จี้ดัชนีเข้าใส่มือยักษ์สีทองที่ขนาดเท่าภูเขาลูกย่อมๆ
เสียง “ฟู่” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง เงายักษ์ด้านหลังร่างเขาสะบัดแขนทั้งหกข้างพร้อมกัน อาวุธต่างๆ นานาในมือพริบตาผสานเป็นร่างเดียวกลายเป็นเงาคมดาบยักษ์สีเขียวยาวสิบกว่าจั้งเล่มหนึ่งฟันเข้าใส่มือยักษ์สีทองอย่างรุนแรง
เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน!
ทันใดนั้นคมดาบสีเขียวซึ่งใหญ่ค้ำฟ้าก็แตกสลายไปทีละนิดท่ามกลางแสงสีทองแสบตา พวกหลงเซวียนหน้าซีด ทั้งหมดเหยียบอากาศถอยหลังดังตึงๆ ไปหลายก้าว
ทว่ามือยักษ์ขนาดค้ำฟ้าที่เดิมทีร่วงลงมาก็พังทลายสลายไปในพริบตาเช่นเดียวกัน
จินเทียนชื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็อุทานออกมาคำหนึ่งคล้ายคิดไม่ถึง ทว่าหลังจากแค่นเสียงหยันเขาก็ลงมืออีกครั้ง
ทว่าในเวลานี้เองด้านหลังของเขาพลันมีกลิ่นอายน่าหวาดกลัวชวนขนลุกขนชันหลายสายพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เสียงแหวกอากาศแสบแก้วหูดังขึ้นตามมาติดๆ
จินเทียนชื่อตกตะลึงรีบหมุนตัวไปมองแล้วหน้าถอดสีในทันที
ลำแสงของพวกหลงเหยียนเฟยที่อยู่ด้านหลังถูกลำแสงสีดำหนาเท่าชามข้าวเจ็ดสายที่พุ่งออกมาจากบนหน้าผาหินสองฝั่งกวาดผ่าน
ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์สองคนในนั้นไม่ทันป้องกันจึงถูกลำแสงสามสายกวาดโดนพร้อมกัน พวกเขากลายเป็นขี้เถ้าปลิวหายไปพร้อมกับอาวุธจิตวิญญาณป้องกันตัวหลายชิ้นที่ทันแค่เปล่งแสงเรืองๆ ทันที
ส่วนหลงเหยียนเฟยกับสองพี่น้องโอวหยาง คนหนึ่งในร่างมีจิตกระบี่ประหลาดสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้ากระแทกลำแสงสีดำสองสายที่กวาดเข้าหาจนสลายไป
ส่วนบนร่างของอีกสองคนมีเสียงดัง “ปัง” “ปัง” ออกมาก ยันต์สีเงินแผ่นหนึ่งของแต่ละคนระเบิดตัวเอง พริบตานั้นเงาจักรพรรดิยักษ์ตนหนึ่งก็ปกป้องอยู่เบื้องหน้าสตรีทั้งสอง แล้วดับสูญไปพร้อมกับลำแสงสีดำอีกสองสาย
ทว่าแม้เป็นเช่นนี้ไม่ว่าจะเป็นหลงเหยียนเฟยหรือสองพี่น้องโอวหยางก็ใบหน้าไร้สีเลือดกันถ้วนหน้าในทันที
“ก๊ากๆ…”
แทบจะในเวลาเดียวกันนี้ บนหน้าผาสองฝั่งที่ลำแสงสีดำพุ่งออกมาเมื่อครู่ก็มีเสียงหัวเราะประหลาดดังขึ้น จากนั้นบนผิวหน้าผาพลันมีแสงสีเทาส่องสว่าง รอยแยกแคบยาวเส้นแล้วเส้นเล่าปรากฏขึ้นพร้อมกับที่บุรุษชุดเทาหน้าตาคล้ายคลึงกันเจ็ดคนก้าวเดินออกมา
ทั้งเจ็ดคนปรากฏตัวออกมาปุ๊บ ในดวงตาก็ทอประกายเย็นเยียบ พวกเขาไม่พูดพร่ำพากันประกบมือสองข้าง เสียงแหวกอากาศดังขึ้นครั้งหนึ่งแล้วมีลำแสงสีดำเจ็ดสายพุ่งออกจากมือไปอีกครั้ง ความเร็วทำให้คนหลบไม่ทันอย่างสิ้นเชิง
หลงเหยียนเฟยเห็นเช่นนี้ทั้งตกตะลึงและโกรธเกรี้ยว ริมฝีปากงามอ้าออก กระบี่น้อยสีขาวเล่มหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมา หลังจากพุ่งออกไปมันก็กลายเป็นรุ้งสีขาวยาวสิบกว่าจั้งสายหนึ่งบินฉวัดเฉวียนอย่างบ้าคลั่งอยู่เบื้องหน้า ปกป้องทั้งสามคนเอาไว้ด้านหลัง
โอวหยางเชี่ยนกับโอวหยางฉินก็ตกใจอย่างยิ่งเช่นกัน พวกนางขยับไปยืนชิดอยู่ด้วยกัน สองมือกุมกันไว้ทันที ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ยกขึ้นพร้อมกัน มือของแต่ละคนมีผ้าเช็ดหน้าไหมผืนหนึ่งสีแดงกับสีฟ้าลอยออกมา หลังจากพวกมันหมุนรอบหนึ่งก็กลายเป็นม่านแสงหนาสองชั้นสีแดงกับสีฟ้าอยู่ด้านหลังรุ้งกระบี่สีขาว
เสียง “เปรี้ยง” ดังสนั่นขึ้นสี่ครั้ง
ลำแสงสี่สายเบื้องหน้าถูกรุ้งสีขาวและม่านแสงสองชั้นด้านหลังทำลายสลายเป็นชิ้นๆ ไปพร้อมกับตัวพวกมัน ลำแสงสามสายที่เหลือด้านหลังพุ่งวูบเดียวมาถึงโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้นอีกต่อไปและกำลังจะโจมตีลงบนร่างสตรีทั้งสามนางอย่างจัง
หลงเหยียนเฟยกับพี่น้องโอวหยางเห็นเช่นนี้ดวงหน้างามก็ถอดสีแทบจะพร้อมกัน!