หากหลิ่วหมิงใช้วิชาขี่กระบี่ได้ เมื่อรวมกับปีกเนื้อสีเงินของเคล็ดวิชาเกราะอสูร บางทีอาจเป็นไปได้ที่จะไล่ตามทัน ทว่าตอนนี้หลังจากผ่านการต่อสู้อันดุเดือดอย่างต่อเนื่อง ปีกทั้งสองข้างบนแผ่นหลังมีรอยแผลอยู่ทั่ว พลังของลูกกลอนกระบี่ก็รั่วออกไปจนเกลี้ยง ไม่บำรุงในฝักกระบี่ใหม่อีกครั้งก็ไม่อาจใช้ได้อีก
ยิ่งรวมกับความเร็วอันน่าตะลึงยามนี้ของอีกฝ่ายก็เห็นชัดว่าไล่ตามไม่ทันแล้ว
หลิ่วหมิงถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วหมุนตัวเหาะเชื่องช้าไปยังจุดที่จินเทียนชื่ออยู่ เมื่อไปถึงตรงหน้าเขาจึงเอ่ยออกมาอย่างจนปัญญา
“ศิษย์พี่จิน ข้าปล่อยให้เขาหนีไปได้ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
“หนีไปแล้วก็ปล่อยให้หนีไปเถอะ! โชคดีที่เจ้าหลอมลูกกลอนกระบี่สำเร็จ มิเช่นนั้นวันนี้คงอันตรายจริงๆ ตอนนี้มนุษย์ปีศาจคนนี้บาดเจ็บหนัก สมบัติเวทในมือก็ระเบิดตัวเองไปแล้ว คุกคามอะไรพวกเราไม่ได้แล้ว ข้าแค่ลมปราณเสียหายไปบ้าง ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เมื่อครู่เสียงดังมากเกินไป ที่แห่งนี้ไม่ควรอยู่นาน พวกเราไปจากที่นี่ก่อนค่อยว่ากันเถอะ” จินเทียนชื่อมองหลิ่วหมิงนิ่งนานครั้งหนึ่งแล้วส่ายศีรษะเอ่ยบอก เขาตบยันต์หลายแผ่นลงบนร่างและกลืนโอสถหลายเม็ดลงไปทันที สีหน้าจึงดีขึ้นบ้าง
“ก็ดี” หลิ่วหมิงย่อมไม่เห็นต่าง!
หัวบินที่อยู่ด้านข้างถูกแรงระเบิดของแส้ยาวเล่นงาน แต่ได้จินเทียนชื่อช่วยไว้ทันเวลา นอกจากเส้นผมสีเขียวทั้งศีรษะซึ่งไหม้ไปไม่น้อยก็ไม่เป็นอันใดมาก
หลิ่วหมิงตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณเก็บอสูรเลี้ยงตัวนี้เข้าไปทันที
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เก็บของจำนวนหนึ่งที่หลงเหลืออยู่บริเวณนั้น จากนั้นทำท่าเคล็ดวิชา เมฆสีดำก้อนหนึ่งยกร่างทั้งสองคนกลายเป็นลำแสงสีดำสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไป
ทั้งสองคนบินออกไปได้ไม่นานนัก ท้องฟ้าฝั่งตรงข้ามก็พลันมีลำแสงสีทองพุ่งเร็วรี่มาถึง
หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปวูบหนึ่ง เมฆดำใต้เท้าหยุดชะงักทันทีพร้อมกับที่หมุนตัวกลับไปมอง
“ดูท่าศิษย์น้องฉิวจะมาแล้ว” จินเทียนชื่อที่อยู่ด้านข้างกวาดสายตามองแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า
แสงสีทองเส้นนั้นเร็วอย่างที่สุด มันกะพริบวูบวาบเพียงไม่กี่หนก็มาถึงตรงหน้า หลังจากแสงดับลงก็เผยให้เห็นเงาคนด้านใน ฉิวหลงจื่อกับหลงเหยียนเฟยนั่นเอง
“ศิษย์พี่จิน ศิษย์น้องหลิ่วเจ้าก็อยู่ด้วย มนุษย์ปีศาจคนนั้นเล่า? ศิษย์พี่จิน ท่าน…ท่านบาดเจ็บหรือ?” หลังจากฉิวหลงจื่อเห็นจินเทียนชื่อกับหลิ่วหมิง แรกสุดสีหน้าโล่งอก แต่เมื่อมองจินเทียนชื่ออย่างละเอียด สีหน้าก็เปลี่ยนไปอีกครั้งแล้วเอ่ยขึ้นมา
“มนุษย์ปีศาจคนนั้นร่างกายบาดเจ็บหนักหนีไปไกลแล้ว ไม่จำเป็นต้องไล่ตาม ข้าบาดเจ็บเล็กน้อย แต่กินโอสถไปบ้างแล้ว ขอแค่พักผ่อนสักหลายวันก็คงหายดีไม่เป็นอะไรมาก ใช่แล้ว ศิษย์คนอื่นล่ะ?” จินเทียนชื่อโบกมือเบาๆ จากนั้นก็เอ่ยถามอีกครั้ง
“ศิษย์พี่โจมตีมนุษย์ปีศาจพวกนั้นจนถอยไปได้ ไม่เสียทีที่เป็น… ฮ่าๆ หลายวันก่อนหลังจากพวกเราแยกกัน ข้าพาพวกศิษย์น้องหลัวไปยังประตูทางเข้าซากโบราณในหุบเขาแห่งหนึ่ง พวกเราพบผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจกลุ่มหนึ่งเข้า พลังของพวกเขาแข็งแกร่งอย่างที่สุด ประมือกันได้ไม่กี่กระบวนก็มีศิษย์น้องคนหนึ่งไม่ระวังตัวจนจบชีวิตแล้วยังมีอีกหลายคนบาดเจ็บ ดังนั้นข้าจึงพาศิษย์น้องที่เหลือหาทางหนีออกมา แต่ระหว่างทางก็เห็นศิษย์น้องหลงถูกศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับสองคนไล่สังหารอยู่จึงลงมือสังหารเจ้าสองคนนั่น ได้ยินน้องหลงบอกว่าท่านถูกมนุษย์ปีศาจระดับแก่นแท้หลายคนล้อมอยู่ที่นี่ ข้าจึงให้ศิษย์น้องหลัวพาศิษย์คนอื่นไปหาสถานที่รักษาอาการบาดเจ็บก่อน ส่วนข้ากับศิษย์น้องหลงเร่งเดินทางมา” ฉิวหลงจื่อได้ยินก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังอย่างยินดีเป็นอย่างแรก จากนั้นจึงอธิบายหลายประโยคด้วยสีหน้าที่หม่นหมองลงเล็กน้อย
“ประโยคแรกเจ้าพูดผิดแล้ว ครั้งนี้ที่ข้ารอดปลอดภัยมาได้ต้องขอบคุณศิษย์น้องหลิ่ว มนุษย์ปีศาจเหล่านั้นมาจากแผ่นดินว่านหมัว วิชามารที่มีไอปีศาจแท้เสริมส่งร้ายกาจอย่างแท้จริง พลังหลังจากผสานร่างแล้วทะลุไปถึงระดับดาราพยากรณ์ หากไม่ได้ลูกกลอนกระบี่ของศิษย์น้องหลิ่วแสดงพลังอันยอดเยี่ยม ครั้งนี้ข้าก็คงอันตรายจริงๆ” จินเทียนชื่อหัวเราะจืดเจื่อนตอบกลับ
“ระดับดาราพยากรณ์! ลูกกลอนกระบี่!”
ฉิวหลงจื่อได้ยินก็สูดลมหายใจดังเฮือก จากนั้นสองตาพลันเปล่งประกายมองหลิ่วหมิงจากบนจรดล่างไม่หยุดราวกับว่ากำลังมองสัตว์ประหลาดที่หายากอะไรอยู่
ใบหน้าของหลงเหยียนเฟยที่อยู่ด้านข้างก็เต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน ดวงเนตรงามจับจ้องหลิ่วหมิงไม่วางตา
แม้แต่ผู้ฝึกกระบี่ระดับแก่นแท้ การหลอมลูกกลอนกระบี่สำเร็จก็เป็นเรื่องที่คนไม่รู้เท่าไรเฝ้าฝันปรารถนา แต่หลิ่วหมิงกลับทำเรื่องนี้ได้ตั้งแต่อยู่ในระดับแก่นเสมือน จะไม่ให้ทั้งสองคนตกตะลึงและอิจฉาอย่างยิ่งได้อย่างไร
นอกจากนี้หลงเหยียนเฟยยังเผชิญหน้ากับมนุษย์ปีศาจเหล่านี้มากับตัวเอง นางรู้จักความน่ากลัวของพลังพวกเขาอย่างลึกซึ้ง!
“ศิษย์พี่จินชมเกินไปแล้ว! ลูกกลอนกระบี่ของข้าเพิ่งก่อตัวเป็นรูปร่าง ยังไม่สำเร็จก้าวสุดท้ายด้วยซ้ำ เพราะก่อนหน้านี้บุ่มบ่ามใช้ สิ่งที่ลงทุนบำรุงมาก่อนหน้าทั้งหมดจึงเสียเปล่า อีกทั้งหากไม่ได้ศิษย์พี่จินยื้อเขาไว้ ศิษย์น้องก็คงไม่มีโอกาสเรียกอาวุธชิ้นนี้ออกมาแน่นอน ใช่แล้ว แล้วผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่ศิษย์พี่ฉิวพูดถึงเล่า? คงไม่ใช่ผู้ฝึกฝนของหุบเขาปีศาจสวรรค์กระมัง?” หลิ่วหมิงฟังแล้วก็หัวเราะเปลี่ยนประเด็นถามขึ้นมา
“น่าจะไม่ใช่ ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจเหล่านั้นเป็นพวกแปลกหน้า วิชาก็แปลก แตกต่างจากศิษย์หุบเขาปีศาจสวรรค์อย่างสิ้นเชิง เมื่อเห็นพวกเราหนีก็ไม่ได้ไล่ตาม เกรงว่าคงเป็นเผ่าปีศาจของแผ่นดินอื่น” ฉิวหลงจื่อส่ายศีรษะเอ่ยขึ้น
หลิ่วหมิงได้ยินคำนี้ สายตาก็ทอประกายเล็กน้อย แต่ไม่พูดอะไรอีก
“ดูท่าการเดินทางมายังเศษซากแห่งโลกบนครั้งนี้ จะอันตรายกว่าที่พวกเราคาดไว้อยู่บ้าง ที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่สำหรับพูดคุย พวกเรากลับไปที่พักก่อนค่อยพูดกัน” จินเทียนชื่อได้ยินก็สีหน้าเคร่งขรึม
ฉิวหลงจื่อกับหลงเหยียนเฟยย่อมไม่เห็นต่าง แต่หลิ่วหมิงกลับประสานมือกะทันหันเอ่ยขึ้นว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่จินพวกท่านไปกันก่อนเถิด สหายทั้งสองจากตระกูลโอวหยางยังอยู่ใกล้ๆ ข้าต้องไปตามหาพวกนางสองคนก่อนแล้วค่อยเดินทางไปรวมตัว”
“ศิษย์น้องหลิ่วหมายถึงสองพี่น้องนั่นของตระกูลโอวหยางสินะ เมื่อครู่ตอนที่ข้ากับศิษย์น้องหลงเดินทางมาบังเอิญพบที่ซ่อนตัวของพวกนางพอดีเลยบอกให้พวกนางกลับไปก่อนแล้ว” ฉิวหลงจื่อหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้นมา
“เช่นนี้หรือ ถ้าเช่นนั้นก็ดี” หลิ่วหมิงได้ยินก็มีสีหน้าโล่งอกแล้วพยักหน้าเอ่ยตอบ
สองชั่วยามให้หลัง คณะเดินทางก็มาถึงท้องฟ้าเหนือหุบเขาที่เต็มไปด้วยหมอกหนาทึบแห่งหนึ่ง
ฉิวหลงจื่อลอยอยู่กลางอากาศ เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นแล้วยิงแสงหลายเส้นออกมา พวกมันทยอยจมหายไปรอบด้านอย่างไร้ร่องรอย
จากนั้นไอหมอกที่เดิมทีนิ่งสนิทก็ปั่นป่วน เผยทางเข้าขนาดหลายจั้งกว่าออกมาอย่างเร็วไว
ทั้งสี่คนเห็นเช่นนี้จึงเหาะเข้าไปทีละคน หลังจากทุกคนเข้าไปไอหมอกก็ประสานปิดเข้าหากันอีกครั้ง
หลังจากเหาะลงไปด้านล่าง หลิ่วหมิงจึงกวาดสายตามองรอบด้านแล้วพยักหน้าเล็กน้อย
หุบเขาที่มีภูเขาสามด้านล้อมแห่งนี้มีปากหุบเขาติดแม่น้ำ เป็นที่พักชั่วคราวที่ดีอย่างที่สุดแห่งหนึ่ง
ในหุบเขาเงียบสงบยิ่งนัก รอบด้านมีหินประหลาดตั้งซ้อนกันเป็นกองอยู่ไม่น้อย กองใหญ่ที่สุดขนาดเท่าตึก ส่วนกองเล็กที่สุดก็สูงเท่าคน
ฉิวหลงจื่อก้าวยาวมาถึงหน้าศิลายักษ์ขนาดสามถึงสี่จั้งก้อนหนึ่ง เขายกมือข้างหนึ่งย้ายศิลายักษ์ไปด้านข้างเผยปากถ้ำสีดำสนิทแห่งหนึ่งออกมา
หลังจากทั้งสี่คนพุ่งเข้าไป ศิลายักษ์ก็ปิดลงอย่างเชื่องช้า ปิดปากถ้ำเอาไว้อีกครั้ง
“ศิษย์พี่จิน ศิษย์พี่ฉิว พวกท่านกลับมาแล้ว” พวกเขาเพิ่งเหยียบเข้าไปในถ้ำ ชายหนุ่มหน้าตาหมดจดคนหนึ่งก็ประสานหมัดเดินเข้ามา เขาคือหลัวเทียนเฉิงนั่นเอง
สายตาของเขากวาดผ่านบนร่างคนทั้งสี่อย่างเร็วไวแล้วหยุดอยู่บนร่างหลิ่วหมิงนานเล็กน้อย ในดวงตาเผยแววตาประหลาดจางๆ หลังจากนั้นสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มน้อยๆ
ครู่ต่อมาพวกเขาก็เดินผ่านทางเดินที่ไม่ยาวนักก่อนจะเข้าไปในถ้ำใต้ดินแห่งหนึ่ง
ถ้ำแห่งนี้กว้างขวางอย่างยิ่ง พื้นที่ไม่น้อยกว่าหนึ่งหมู่กว่า รอบด้านฝังหินจันทราสีขาวแวววาวไว้จำนวนหนึ่งส่องให้ถ้ำทั้งหมดทอแสงสีขาวเรืองรองสว่างไสวยิ่งนัก
ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์นั่งจับกลุ่มสองสามคนกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ในถ้ำ เดิมทีพวกเขาส่วนใหญ่นั่งขัดสมาธิอยู่ ทว่าเวลานี้เห็นพวกเขาเข้ามา แต่ละคนก็ลุกขึ้นยืนทันที
เห็นชัดว่าจำนวนคนที่นี่น้อยลงจากตอนที่เขาจากไปอยู่หลายคน นอกจากนี้สภาพของทุกคนก็ไม่ค่อยดีนัก บนร่างคนส่วนใหญ่บาดเจ็บหนักเบาไม่เท่ากัน อีกทั้งดูแล้วความฮึกเหิมก็ห่อเหี่ยวลงไปบ้าง ตรงมุมถ้ำถึงกับมีคนผู้หนึ่งนอนหมดสติอยู่ตรงนั้น
เวลานี้พี่น้องโอวหยางยืนอยู่ท่ามกลางหมู่คน เมื่อเห็นร่างของหลิ่วหมิง ดวงตาก็เผยแววตายินดีจางๆ ออกมาด้วย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็พยักหน้าเล็กน้อยให้สตรีทั้งสองคน
ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนก็หนีจากการเข่นฆ่ามาเช่นกัน ตอนนี้หลังจากได้พักผ่อนพักหนึ่ง สีหน้าจึงดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อยแต่ก็ยังไม่มีสีเลือดมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอวหยางฉิน ตรงกลางหว่างคิ้วมีปราณสีดำเบาบางชั้นหนึ่งวนเวียนอยู่เลือนราง สีหน้าดูซีดอยู่เล็กน้อย
โอวหยางเชี่ยนเห็นหลิ่วหมิง ดวงตาก็ฉายแววเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อมองผู้คนที่อยู่ด้านข้างในที่สุดก็ไม่เอ่ยปากพูดอะไร
ศิษย์คนอื่นของนิกายยอดบริสุทธิ์เห็นจินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่อผู้นำคณะเดินทางระดับแก่นแท้สองคนกลับมา คนส่วนใหญ่ก็เผยสีหน้ายินดีออกมา
คนเหล่านี้ในยามปกติล้วนเป็นผู้ที่โดดเด่นในหมู่ศิษย์รุ่นเดียวกันของแต่ละยอดเขาแห่งนิกายสายใน พวกเขาต่างได้รับความสำคัญจากผู้อาวุโสของแต่ละคนหรือผู้ควบคุมยอดเขา แม้พบศัตรูที่สู้ไม่ได้ แต่อาศัยความสามารถก็ปกป้องตนเองได้อย่างไร้กังวล ดังนั้นในตอนแรกพวกเขาจึงแย่งชิงกันแทบเป็นแทบตายเพื่อเข้ามายังที่แห่งนี้จนท้ายที่สุดก็แสดงความโดดเด่นเข้ามาอยู่ในรายชื่อการเดินทางได้
เดิมทีพวกเขาล้วนวิ่งเข้ามาเพื่อโชควาสนาครั้งใหญ่ที่ปรากฏขึ้นสามหมื่นปีครั้ง แต่ผลสุดท้ายเพิ่งเข้ามาในเศษซากโลกบนแห่งนี้เพียงระยะเวลาสั้นๆ พวกเขาก็พบเหตุการณ์ไม่คาดฝันติดต่อกัน คนที่ตายก็ตายไป คนที่เจ็บก็เจ็บไป เทียบกับร่างกายที่บาดเจ็บแล้ว สภาพจิตใจพลิกกลับตาลปัตรมากยิ่งกว่า คนไม่น้อยไม่เหลือความเชื่อมั่นในตนเองอีกต่อไป
จินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่อผู้นำคณะระดับแก่นแท้สองคนนี้ย่อมกลายเป็นหลักยึดในใจพวกเขาเวลานี้เมื่อพบว่าทั้งสองคนกลับมาพร้อมกัน กระทั่งหลิ่วหมิงที่เดิมทีมีโอกาสตายเก้ารอดหนึ่งก็ยังกลับมาด้วย พวกเขาย่อมทั้งตกใจทั้งยินดี
หลังจากจินเทียนชื่อเห็นสภาพของศิษย์ทั้งหลายในถ้ำ บนใบหน้าเขาก็เผยรอยยิ้มน้อยๆ และเอ่ยปลอบประโลม จากนั้นเดินตามฉิวหลงจื่อไปยังมุมถ้ำ นั่งยองลงข้างกายศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่หมดสตินอนอยู่บนพื้นคนนั้น
หลิ่วหมิงฉุกคิดขึ้นมาจึงเดินตามมาด้วย หลายคนในหมู่ศิษย์เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ล้อมเข้ามา
ฉิวหลงจื่อพยุงศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่หมดสติคนนั้นขึ้นมา ก่อนหน้านี้หลิ่วหมิงมองไม่เห็นว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ตอนนี้เขาเพิ่งมองเห็นใบหน้าชัด ดวงตาอดไม่ได้ฉายแววประหลาดใจจางๆ
ที่แท้คนผู้นั้นก็คือเวินเจิง
ดวงตาสองข้างของเขาปิดสนิท เสื้อผ้าบนร่างมีคราบเลือดเป็นด่างดวง ลมปราณแผ่วเบาอยู่บ้าง แต่ลมหายใจยังนับว่าปกติ เห็นชัดว่าหลังจากร่างกายบาดเจ็บหนัก เขากินโอสถลับรักษาอาการบาดเจ็บไปทันเวลา
จินเทียนชื่อสำรวจสภาพของเวินเจินพักหนึ่งก็พลิกมือเรียกโอสถสีขาวเม็ดหนึ่งยัดเข้าไปในปากของเขา
จากบทสนทนาแผ่วเบาระหว่างฉิวหลงจื่อกับจินเทียนชื่อ หลิ่วหมิงจึงค่อยๆ เข้าใจความเป็นมาของเรื่องราว