ในลมสีม่วงมองเห็นเส้นแสงสีขาวจางอย่างที่สุดสายหนึ่งอยู่เลือนราง มันผสมอยู่ในลมสีม่วงจนสัมผัสได้ยากยิ่ง
“นี่มันปราณจิตวิญญาณ…” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วขณะที่ปากเอ่ยพึมพำ
ตามที่เยี่ยโจ่งบอกในร่างของอสูรยักษ์ป่าเถื่อนเป็นพื้นที่เอกเทศที่ตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ตั้งแต่เขาเข้ามาในท้องของอสูรยักษ์ก็สัมผัสคลื่นปราณจิตวิญญาณไม่ได้แม้แต่สายเดียวจริงๆ
ถ้าเช่นนั้นปราณจิตวิญญาณเหล่านี้ในตอนนี้มาจากที่ไหนกันเล่า?
ในใจหลิ่วหมิงครุ่นคิดเช่นนี้ แต่ฝีเท้ากลับไม่หยุดแม้แต่นิด เขาเดินตามร่างของตัวอ่อนเบื้องหน้าไป ไม่นานเขาก็เดินออกจากอุโมงค์กำแพงเนื้อเส้นนี้ เบื้องหน้าเป็นทางแยกสี่ทาง
ครั้งนี้ตัวอ่อนสองตัวไม่หยุดนานเท่าไร พวกมันคืบคลานตามหลังกันไป เมื่อเลี้ยวครั้งหนึ่งก็มุดเข้าไปในอุโมงค์กำแพงเนื้อเส้นที่อยู่ทางซ้าย
ในใจหลิ่วหมิงจดจำเส้นทางที่มาอยู่เงียบๆ แล้วก็ติดตามด้านหลังตัวอ่อนไปเช่นนี้ เขาเดินผ่านอุโมงค์กำแพงเนื้อเส้นแล้วเส้นเล่า เมื่อเวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไปก็ผ่านทางแยกมากขึ้นเรื่อยๆ รอบด้านมีตัวอ่อนปรสิตที่เกิดใหม่ปรากฏตัวมากขึ้นทุกที คล้ายกับว่าพวกมันล้วนคลานไปในทางเดียวกัน
เขาติดตามไปอย่างเงียบเชียบ เขาสัมผัสได้อย่างว่องไวว่าปราณจิตวิญญาณรอบด้านคล้ายจะหนาแน่นขึ้น
“หรือว่า…” เขาคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา ในใจอดไม่ได้ตื่นเต้นยินดี
เวลาชั่วจิบชาหนึ่งถ้วยผ่านไปอีกหน หลิ่วหมิงหยุดยืนอยู่ในพื้นที่ว่างขนาดไม่ใหญ่สุดปลายอุโมงค์เส้นหนึ่ง
สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเขาเวลานี้คือกำแพงเนื้อรูปวงกลมพื้นที่ราวเจ็ดแปดจั้งซึ่งไม่ต่างจากสถานที่อื่นแต่อย่างใด ตอนนี้มันมีตัวอ่อนปรสิตมากมายยั้วเยี้ยอัดแน่นอยู่ด้านใน ตัวอ่อนคลานเบียดกันไปมา มองไปเหมือนหนอนแมลงเป็นขโยงกำลังคืบคลานอยู่บนเนื้อเน่าชวนให้คนขนหัวลุกอย่างห้ามไม่ได้อยู่เล็กน้อย
ในอุโมงค์ทั้งเส้นที่เขาเข้ามาเวลานี้ก็ถูกตัวอ่อนปรสิตทะลักเข้ายึดครองเช่นกัน พวกมันตัวแล้วตัวเล่าแย่งชิงกันคลานมายังกำแพงเนื้อทรงกลมเบื้องหน้า
ภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนบนหัวไหล่หลิ่วหมิงแผ่แสงสีน้ำเงินอ่อนออกมาซ่อนเร้นกลิ่นอายของเขา ตัวอ่อนที่บ้าคลั่งเหล่านี้รอบด้านไม่รับรู้สักนิดว่าข้างกายยังมีพวกต่างเผ่าเช่นเขาคนนี้อยู่ด้วย พวกมันพากันคลานเฉียดข้างกายเขาไป
ตัวอ่อนทั้งหลายบนกำแพงเนื้อส่งเสียง “ฟ่อๆ” พักหนึ่งจากนั้นพวกมันก็ทยอยมุดเข้าไปในกำแพงเนื้อ ที่ว่างที่เกิดขึ้นถูกตัวที่มาทีหลังยึดครองอย่างรวดเร็ว
อุโมงค์ทั้งเส้นยังคงอบอวลไปด้วยลมกัดกร่อนสีม่วงหนาทึบ แต่หลิ่วหมิงสัมผัสปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินไม่น้อยที่ผสมปะปนอยู่ด้วยได้อย่างชัดเจน
หลิ่วหมิงครุ่นคิดในใจเร็วไว ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยปากท่องมนตร์อย่างไร้เสียง ดวงตาทั้งสองข้างค่อยๆ ปรากฏวงกระเพื่อมสีดำวงแล้ววงเล่าขึ้นมา
วิชาอนธการค้นวิญญาณนั่นเอง!
ตัวเขาในเวลานี้ดวงตาทั้งสองข้างเห็นชัดเจนว่าปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินสายแล้วสายเล่ากำลังซึมออกมาจากกำแพงเนื้อรูปวงกลมก้อนนี้เบื้องหน้า
ภายในร่างอสูรยักษ์กับโลกภายนอกตัดขาดจากกัน มันย่อมไม่มีทางเกิดปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินขึ้นมาเองได้ ถ้าเช่นนั้นปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินที่อัดเต็มพื้นที่เหล่านี้ โฉมหน้าที่แท้จริงคือสิ่งใดไม่ต้องบอกก็รู้
ดวงตาหลิ่วหมิงเป็นประกาย เขารีบใช้จิตสัมผัสสำรวจด้านในกำแพงเนื้อ ทันใดนั้นสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
กำแพงเนื้อที่ขวางอยู่เบื้องหน้านี้เต็มไปด้วยรัศมีสีเลือดชั้นหนึ่ง เมื่อจิตสัมผัสของเขาสัมผัสโดนก็ถูกดีดกลับมาอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย แทรกเข้าไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
หลิ่วหมิงมองกำแพงเนื้อตรงหน้า ทันใดนั้นดวงตาพลันทอประกายเจิดจ้า แม้ไม่เห็นว่าเคลื่อนไหวอย่างไร แต่ปราณดำบนร่างพลุ่งพล่านออกมา ท่ามกลางปราณดำที่ม้วนถาโถมได้ยินเสียงมังกรกับพยัคฆ์คำรามอยู่เลือนราง
คลื่นพลังเวทรุนแรงทำให้อุโมงค์สั่นสะเทือน ตัวอ่อนปรสิตรอบด้านมองมาทางหลิ่วหมิงอย่างพร้อมเพรียง ตัวอ่อนไม่น้อยงอร่างแล้วดีดตัวพุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิงท่ามกลางเสียงร้องแหลมที่เต็มไปด้วยความเป็นศัตรู
ตัวอ่อนเหล่านั้นราวกับเม็ดฝนสีแดงพุ่งเข้ามาทั่วทุกสารทิศ สภาพค่อนข้างชวนตระหนก
“เหอะ!”
หลิ่วหมิงแค่นเสียงหยัน ปราณทั่วร่างฉับพลันก่อตัวเป็นเกราะป้องกันที่มีปราณดำไหลวนเวียน
แทบจะในพริบตาต่อมาตัวอ่อนเกือบร้อยตัวก็พุ่งปักลงบนเกราะป้องกันสีดำ
รอยยุบขนาดเท่ากำปั้นรอยแล้วรอยเล่าปรากฏขึ้นบนเกราะป้องกัน จากนั้นมันก็สมานสนิทอย่างรวดเร็ว เสียงปึกๆ ราวกับเม็ดฝนกระทบใบตองดังขึ้นพักหนึ่ง แต่ไม่สะเทือนเกราะป้องกันแม้แต่น้อย
“ไป”
สองแขนของหลิ่วหมิงมีเสียงเปรี๊ยะดังก้องออกมาพักหนึ่ง ทันใดนั้นพวกมันก็หนาขึ้นหนึ่งเท่า จากนั้นเลือนหายไป พร้อมกับที่เงาหมัดสีดำสนิทนับไม่ถ้วนกระหน่ำต่อยเข้าใส่กำแพงเนื้อทรงกลมเบื้องหน้าอย่างดุดัน
จุดที่เงาหมัดพุ่งผ่าน ตัวอ่อนที่สัมผัสโดนต่างทยอยกลายเป็นเศษเนื้อกองแล้วกองเล่ากระเด็นไปรอบด้าน
ครู่ต่อมาคลื่นปราณสีดำก้อนแล้วก้อนเล่าก็ระเบิดบนกำแพงเนื้อ เสียงดังกังวานไปทั่วทั้งอุโมงค์ เกิดลมพายุสีดำขมุกขมัวสายแล้วสายเล่าพัดดังหวีดหวิดไปรอบด้านอยู่เลือนราง
กำแพงเนื้อฝั่งตรงข้ามสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ตัวอ่อนมากมายถูกสังหารเป็นเศษเลือดเนื้อปลิวกระจายในพริบตา เผยให้เห็นกำแพงเนื้อสีแดงสดที่ขยับขยุกขยิกไปมาไม่หยุดด้านหลัง
กำแพงเนื้อถูกเงาหมัดสีดำนี้โจมตีหนักหน่วงจนหลั่งเลือดออกมาไม่หยุด ยิ่งหลั่งยิ่งเจิ่งนองจนกลายเป็นสีแดงก่ำดุจโลหิต
เสียง “เปรี้ยง” ดังสนั่น!
เพียงห้าถึงหกลมหายใจหลังจากนั้นกำแพงเนื้อทั้งผืนในที่สุดก็ระเบิดแหวกเป็นทางจากการกระหน่ำโจมตีของเงาหมัดสีดำ
ทว่าในเวลานี้เองแสงรัศมีสีเลือดชั้นหนึ่งพลันโผล่ออกมาจากในกำแพงเนื้อขวางการโจมตีจากเงาหมัดที่ตามหลังมาไว้
หลิ่วหมิงสีหน้าเคร่งขรึม แสงสีดำบนร่างส่องสว่าง กล้ามเนื้อบนแขนทั้งสองข้างหนาขึ้นอีกเท่าหนึ่ง ลวดลายจิตวิญญาณสีดำสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้นบนผิวของเขาในทันใด
“ทลาย!”
เขาตวาดดุดันแล้วโจมตีหนึ่งหมัดออกมาอย่างรุนแรง มังกรสีดำยาวตัวหนึ่งฉับพลันพุ่งออกมาจากปราณดำบนร่าง มันแยกเขี้ยวสะบัดกรงเล็บด้วยพลังอันน่าตะลึง
เสียงมังกรคำรามสะเทือนฟ้าดังขึ้นครั้งหนึ่ง!
มังกรหมอกสีดำขดร่างหดกลับไปอีกครั้งก่อนจะกลายเป็นหมัดยักษ์สีดำขนาดหลายจั้งหมัดหนึ่ง พลังมหาศาลน่าหวาดกลัวสายหนึ่งปะทุออกมากระแทกบนกำแพงเนื้อในทันใด
แสงสีเลือดระเบิดกระจายพร้อมเสียงหนักหน่วงในพริบตา ในเวลาเดียวกันบนกำแพงเนื้อก็มีรูขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นมารูหนึ่ง ปราณจิตวิญญาณหนาทึบสายหนึ่งฉับพลันทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เก็บลมปราณแข็งแกร่งบนร่างไป ร่างกายขยับวูบหนึ่งร่อนลงเบื้องหน้ากำแพงเนื้อที่แหวกออก
ตัวอ่อนปรสิตที่อยู่ใกล้กำแพงเนื้อล้วนถูกกระแทกปลิวออกไปเพราะการโจมตีอันรุนแรงเมื่อครู่ และมีไม่น้อยที่ถูกอัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจากการโจมตี
หลิ่วหมิงไม่ได้บุ่มบ่ามพุ่งเข้าไปทันที อย่างไรด้านในมีอะไรอยู่ก็ไม่มีใครรู้ สายตาเขามองผ่านรอยแยกของกำแพงเนื้อเข้าไปด้านใน
เขาเห็นอยู่เลือนรางว่าด้านในคือพื้นที่ว่างกว้างที่ถูกล้อมด้วยกำแพงเนื้อ แลดูคล้ายจะเงียบสงบ แต่อัดแน่นไปด้วยไอหมอกสีม่วงที่หนาทึบยิ่งกว่า ทัศนวิสัยแย่ยิ่งนัก
ด้วยพลังสายตาของหลิ่วหมิงก็พอมองเห็นชัดได้เพียงระยะยี่สิบถึงสามสิบจั้งเท่านั้น
วิ้ง วิ้ง วิ้ง!
ในเวลานี้เองมุกสนองตอบก็ลอยออกมาจากในแขนเสื้อของหลิ่วหมิงด้วยตัวเองแล้วส่องแสงสีทองระลอกแล้วระลอกเล่าออกมา
“อยู่ด้านในนี้จริงๆ” เห็นเช่นนี้หลิ่วหมิงก็ยินดี
ในเวลานี้เองด้านหลังร่างเขาก็มีเสียงกรีดร้องดุร้ายดังขึ้น ตัวอ่อนปรสิตมากกว่าเดิมโถมเข้ามาจากอุโมงค์ ในหมู่พวกมันมีหนอนประหลาดที่ร่างกายขนาดค่อนข้างใหญ่จำนวนหนึ่งเพิ่มขึ้นมาด้วย คิดว่าคงถูกคลื่นพลังเวทรุนแรงเมื่อครู่ชักนำมา
ทันใดนั้นหนอนปรสิตประหลาดตัวใหญ่ตัวน้อยนับไม่ถ้วนก็ก่อตัวเป็นคลื่นหนอนโถมเข้ามาดังครืน
หลิ่วหมิงตกตะลึงไม่กล้าชักช้าอยู่ที่นี่อีก เขาโฉบวูบเดียวพุ่งผ่านกำแพงเนื้อบินเข้าไปในพื้นที่ว่างฝั่งตรงข้าม
หนอนปรสิตประหลาดพุ่งผ่านกำแพงเนื้อตามเข้ามาติดๆ ทว่าเวลานั้นเงาร่างของหลิ่วหมิงก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
หนอนปรสิตประหลาดตัวใหญ่ที่ปากทางพากันยกหัวขึ้น ‘มอง’ ไปรอบด้านพักหนึ่ง หลังจากค้นหาหลิ่วหมิงไม่พบจึงทยอยแยกย้ายกันไป
ทว่าตัวอ่อนเหล่านั้นยังอยู่ที่เดิม อ้าๆ หุบๆ ปากขนาดเล็ก กรีดร้องอย่างตื่นเต้นครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนกับผู้ฝึกฝนที่สูดลมหายใจเข้าออก
สูงขึ้นไปสิบกว่าจั้งกลางอากาศ เงาคนสีดำร่างหนึ่งลอยอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ คือหลิ่วหมิงที่ใช้ภาพสัญลักษณ์ปิดซ่อนกลิ่นอายอยู่นั่นเอง
เขามองการเคลื่อนไหวของหนอนปรสิตประหลาดทั้งหลายเบื้องล่าง แววตาวูบไหวเล็กน้อย ตอนนี้ถึงเพิ่งจะเข้าใจขึ้นมา
แม้หนอนปรสิตเหล่านี้จะไม่ใช่ปีศาจอสูร แต่พวกมันเข้าใจว่าการกลืนกินปราณจิตวิญญาณมีประโยชน์ มิน่ามันจึงมารวมตัวกันที่นี่
ในใจคิดเช่นนี้แล้วหลิ่วหมิงก็เอามุกสนองตอบออกมาอีกครั้ง มือยิงเคล็ดวิชาหลายสายเข้าไป
มุกสนองตอบเปล่งแสงสีทองเจิดจ้าออกมาทันที ลวดลายจิตวิญญาณบนผิวไหลวนอยู่พักหนึ่งก็ชี้เลือนรางไปยังทิศทางหนึ่ง
หลิ่วหมิงสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง จากนั้นร่างกายก็ขยับไปยังทิศทางที่มุกสนองตอบเคลื่อนไป แต่หลังจากเพิ่งลอยไปได้ไม่เท่าไร เขาก็ทำหน้าตกตะลึงแล้วหยุดเท้า หันไปมองเนื้องอกชิ้นหนึ่งด้านบน
เขาหรี่ตาทั้งสองข้างลง นิ้วมือดีดทีหนึ่ง คมดาบสายลมสีน้ำเงินอ่อนเส้นหนึ่งก็พุ่งวูบหายไปก่อนจะฟันเนื้องอกออกมาอย่างง่ายดาย เผยให้เห็นลูกบอลแสงสีน้ำเงินขมุกขมัวดวงหนึ่ง ด้านในมีของขนาดเท่าไข่ไก่ชิ้นหนึ่งร่วงลงมา
หลิ่วหมิงเพียงสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่งหอบลูกบอลแสงสีน้ำเงินมา จากนั้นจึงถูมือทั้งสองข้างเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของมัน
มันก็คือลูกข่างสีน้ำเงินอ่อนที่ทำขึ้นมาอย่างประณีตยิ่งนักชิ้นหนึ่ง!
บนผิวของสิ่งนี้เห็นลวดลายจิตวิญญาณละเอียดยิบวงแล้ววงเล่าอยู่ มันแผ่คลื่นพลังเวทเลือนรางวงหนึ่งไปรอบด้าน ตอบสนองกับลูกบอลกลมสีทองในแขนเสื้อขงเขา
หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งสองข้างลงเพราะเข้าใจอะไรขึ้นมา
คิดว่าของสิ่งนี้คงจะเป็นวัตถุจิตวิญญาณกำหนดตำแหน่งที่นิกายเทียนกงใส่ไว้ในร่างอสูรยักษ์ตัวนี้
ลูกข่างลูกนี้อยู่ในร่างอสูรยักษ์ตัวนี้มาสามหมื่นปีก็ยังส่งสารบอกตำแหน่งได้อย่างแม่นยำเช่นนี้ พอจะแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญมากมายที่นิกายเทียนกงใส่ไว้ในอุปกรณ์ขื้นนี้
หลิ่วหมิงชื่นชมในใจหลังจากนั้นก็เก็บลูกข่างไป แล้วเหาะไปด้านหน้าต่อ
ทว่าเนื่องจากจิตสัมผัสกับสายตาใช้ได้อย่างจำกัดยิ่งในที่แห่งนี้ เขาจึงไม่กล้าเหาะเร็วนัก
ผ่านไปไม่นานอากาศรอบด้านก็เริ่มเปียกชื้น คล้ายกับไอความชื้นหนาแน่นมาก
ฉับพลันทันใดก้อนเนื้อสีแดงคล้ำบนพื้นด้านล่างก็มีเสียงขยับเคลื่อนไหวดังขึ้นคล้ายกับมีบางสิ่งคลานผ่านอยู่ด้านใน
หลิ่วหมิงหวาดหวั่นจึงยิ่งระวังมากขึ้นอีก เขาโคจรภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนไม่หยุดแล้วเหาะไปด้านหน้าอย่างเงียบเชียบ
เวลาแต่ละวินาทีแต่ละนาทีเคลื่อนผ่านไป
พื้นที่ว่างด้านในกำแพงเนื้อเหมือนจะใหญ่จนน่าตะลึง หลิ่วหมิงเหาะออกไปได้ระยะหนึ่ง ด้านหน้าก็ยังคงเป็นไอหมอกสีม่วงที่ลอยตลบอบอวล ยังไม่มีทีท่าว่าจะเห็นปลายทาง
ขณะที่หลิ่วหมิงคาดเดาอยู่ในใจนั่นเอง บนพื้นไม่ไกลออกไปก็มีแสงส่องสว่างขึ้นมา ความคิดของเขาถูกดึงกลับมา ร่างกายฉับพลันหยุดอยู่กลางอากาศแล้วลอยลงไปบนพื้นตรงนั้นอย่างเชื่องช้า