หลิ่วหมิงกระตุ้นลำแสงเต็มกำลัง ไม่นานเขาก็สลัดหนอนปรสิตประหลาดร่างยักษ์ทิ้งไว้ไกลเบื้องหลัง
ยามมาเส้นทางคดเคี้ยวแต่ยามเดินทางย้อนกลับไม่ลำบากเช่นนั้น เมื่อมีเชอฮ่วนกลบกลิ่นอาย หนอนปรสิตประหลาดทั่วไปก็หาหลิ่วหมิงไม่พบอย่างสิ้นเชิง ตลอดทางจึงไม่เกิดเรื่องสักนิด
ไม่นานเขาก็มองเห็นทางออกอยู่ไม่ไกลเบื้องหน้า
หลังจากเขากวาดสายตามองครั้งหนึ่ง คิ้วก็ขมวดเล็กน้อย
เวลานี้รูบนกำแพงเนื้อที่ถูกตนเองทำลายมีหนอนปรสิตประหลาดระลอกแล้วระลอกเล่ากำลังคืบคลานทะลักเข้าไปด้านในจนแทบจะอุดรูไปค่อนครึ่ง ในหมู่พวกมันมีตัวอ่อนและมีหนอนปรสิตประหลาดที่โตเต็มวัยแล้ว
หลิ่วหมิงลอยตัวอยู่กลางอากาศ เขาใช้เคล็ดวิชาหนึ่งออกมาโดยที่ความเร็วลำแสงไม่ลดลง ปราณดำรอบร่างทะลักออกมากลายเป็นมังกรสีดำตัวหนึ่งบินวนล้อมรอบร่างกายเขา
เขาคำรามเบาๆ ครั้งหนึ่งแล้วโจมตีหนึ่งหมัดเข้าใส่รูบนกำแพงเนื้อแต่ไกล
มังกรสีดำคำรามแล้วสะบัดร่างพุ่งเข้าใส่ทางออกทันที
ปังปังปัง!
เมื่อมังกรถลาเข้าชน หนอนปรสิตประหลาดที่อุดทางเข้าอยู่ย่อมไม่มีกำลังต่อต้านแม้แต่น้อย พวกมันปลิวออกไปพร้อมเสียงดังสนั่น โพรงทางออกสะอาดเกลี้ยงในทันใด
ฟึบ!
เงาดำพุ่งวูบเดียว หลิ่วหมิงก็เหาะออกจากรูบนกำแพงเนื้อดั่งสายฟ้าแลบ
แม้ในเขาวงกตจะมีเส้นทางมากมาย แต่สถานการณ์ที่เขาเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้วเขาย่อมไม่กลัวหลงทาง
แต่ชุดเกราะจักรกลที่หุ้มทั้งร่างเหลือพลังจิตวิญญาณไม่เท่าไรแล้ว โล่แสงทรงโค้งที่ปล่อยออกมาสองด้านก็หม่นหมองไร้แสง ไอหมอกสีม่วงรอบด้านกัดกร่อนมันจนโงนเงนใกล้หลุดร่วง
หลังผ่านไปเป็นเวลาครึ่งก้านธูปหลิ่วหมิงก็พุ่งออกมาจากในอุโมงค์กำแพงเนื้ออย่างรวดเร็ว ขณะที่กำลังจะเพิ่มความเร็ว เสียงแหวกอากาศก็ดังมาจากด้านหลัง ในใจเขาคิดอะไรขึ้นได้ ร่างกายจึงหยุดชะงักแล้วหันหลังมองกลับไป
แสงสีเงินสายหนึ่งพุ่งเสียงดังหวีดหวิวมาดั่งดาวตก คนที่อยู่กลางแสงสีเงินเห็นหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านหน้าอย่างรวดเร็วแล้วหยุดอย่างฉับไว เขาคือหลัวเทียนเฉิงนั่นเอง
ในเวลานี้สีหน้าเขาดำทะมึน ชุดเกราะจักรกลบนร่างพังเสียหายจนจะทนไม่ไหวอยู่บ้างแล้ว เสื้อผ้าด้านในตรงจุดที่เสียหายก็ถูกกัดกร่อนจนหายเกลี้ยงเผยให้เห็นผิวหนังแถบใหญ่ที่ถูกไอหมอกสีม่วงกัดกร่อนจนตกอยู่ในสภาพถูกกัดกร่อนแล้วฟื้นสภาพซ้ำไปมาไม่หยุด
“ศิษย์น้องหลัว หากจะออกไปข้ากับเจ้าต้องร่วมแรงกัน ต่อจากนี้เดินทางด้วยกันดีไหม?” หลิ่วหมิงเอ่ยปากขึ้นมา
จากการคาดการณ์ของเขา หากตอนนี้เหาะด้วยความเร็วไปตลอดทางใช้เวลาเพียงหนึ่งมื้ออาหารเท่านั้นก็จะไปถึงลำคอของอสูรยักษ์ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุการณ์ในพื้นที่ลึกลับซึ่งซ่อนสมบัติไว้แห่งนั้นหรือไม่ ตอนนี้ในอุโมงค์กำแพงเนื้อจึงพบหนอนประหลาดอุดขวางอยู่เป็นระยะ เมื่อเป็นเช่นนี้ภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนย่อมหมดความหมาย
แม้เดิมทีหนอนประหลาดเหล่านี้รวมตัวกันจำนวนมากอีกเท่าใดก็ไม่ใช่ศัตรูของหลิ่วหมิง แต่หากสองคนร่วมแรงกันย่อมประหยัดพลังเวทได้มาก
“ร่วมทางกับเจ้าน่ะหรือ!”
หลัวเทียนเฉิงได้ยินก็แค่นเสียงหยันแต่ไม่มีท่าทีจะคัดค้าน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มน้อยๆ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นสะบัด ทันใดนั้นร่างกายที่หุ้มด้วยปราณสีดำก็แหวกอากาศไปเบื้องหน้าต่อ
ดวงตาหลัวเทียนเฉิงมีประกายบางอย่างปรากฏขึ้นแต่ก็ยังตามไปติดๆ
ครู่หนึ่งหลังจากนั้นในอุโมงค์เนื้อตรงลำคอของอสูรยักษ์ก็มีแสงสีดำสายหนึ่งกับสีเงินสายหนึ่งเหาะออกมาแทบจะพร้อมกัน เมื่อแสงดับหายไปก็เผยร่างของหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงออกมา
พื้นที่กว้างขวางใหญ่หนึ่งหมู่เบื้องหน้าก็คือช่องปากของอสูรยักษ์ รอบด้านมีกำแพงเนื้อสีชมพูขยับไหวไม่หยุด เบื้องหน้าเป็นรูปครึ่งวงกลมมีฟันแหลมคมสีขาวโพลนขนาดยักษ์สองแถวบนกับล่างสบสลับกัน แต่ละซี่ยาวสิบจั้งทำให้คนสั่นสะท้านทั้งที่ไม่หนาว
ยามนี้สีหน้าของทั้งสองคนไม่ดีนัก ชุดเกราะจักรกลบนร่างหลิ่วหมิงยังเปล่งแสงสีดำแผ่วจางออกมาอย่างทุลักทุเล แต่เพราะไอหมอกสีม่วงกัดกร่อนไม่หยุด มันจึงเหมือนจะพังทลายได้ตลอดเวลา ส่วนชุดเกราะจักรกลของหลัวเทียนเฉิงหายไปนานแล้ว
ทว่าเมื่อมาถึงตรงนี้หมอกสีม่วงเบาบางลงมาก อาศัยร่างจิตวิญญาณตูเทียนของหลัวเทียนเฉิง เขาจึงเมินเฉยต่อการกัดกร่อนของหมอกสีม่วงได้อย่างสิ้นเชิง
หลิ่วหมิงกวาดสายตามองรอบด้านแล้วพบว่าฟันแหลมคมด้านบนและด้านล่างของอสูรยักษ์ตัวนี้สบกันพอดีไม่มีช่องว่างแม้แต่น้อย และมันก็ไม่มีทีท่าว่าจะอ้าปากแม้แต่น้อยด้วย
“ดูท่าอยากจะให้อสูรยักษ์ตัวนี้อ้าปากจะไม่ใช่เรื่องง่าย” หลิ่วหมิงเอ่ยเรียบๆ
“เหอะ เรื่องนี้ยากตรงไหน อาละวาดถล่มที่แห่งนี้เสียยังจะกลัวมันไม่อ้าปากอีกหรือ” หลัวเทียนเฉินเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา
สิ้นเสียง แสงสีเงินบนร่างเขาก็สว่างจ้าก่อนจะพุ่งเร็วรี่ไปด้านหน้า
แสงสีเงินกะพริบวูบหนึ่ง หลัวเทียนเฉิงหยุดห่างจากฟันแหลมคมของอสูรยักษ์สิบกว่าจั้ง เขาตวาดแผ่วเบาครั้งหนึ่ง มังกรหมอกสีเงินห้าตัวกับพยัคฆ์หมอกสีเงินห้าตัวพลันกระโจนออกมาจากแสงสีเงินรอบตัวแล้วเหาะวนรอบร่าง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้แม้จะขมวดคิ้ว แต่สองแขนก็ยื่นไปข้างหน้าพร้อมกัน ปราณสีดำบนร่างพลุ่งพล่านออกมา ท่ามกลางเสียงร้องของมังกรกับเสียงคำรามของพยัคฆ์ มังกรห้าตัวกับพยัคฆ์ห้าตัวหน้าตาเหมือนกันก็ปรากฏออกมา เพียงแต่สีเป็นสีดำเท่านั้น
ครู่ต่อมาทั้งสองคนก็ส่งการโจมตีออกไปแทบจะพร้อมกัน
เคล็ดวิชาบนสองมือของหลัวเทียนเฉิงประหนึ่งกงล้อ มังกรสีเงินกับพยัคฆ์สีเงินพุ่งออกไปดั่งสายฟ้าแล้วชนเนื้อด้านบนและด้านล่างของฟันแหลมคมของอสูรยักษ์อย่างรุนแรงพร้อมกัน
ภายนอกร่างอสูรยักษ์ทนทานอย่างยิ่ง ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ยังยากจะทำให้ฉีกขาดได้แม้แต่น้อย แต่เนื้ออ่อนนุ่มด้านในปากของมันเหล่านี้เห็นชัดว่าไม่ได้ทนทานเช่นนั้น เวลานี้โจมตีครั้งเดียวเลือดเนื้อก็พากันปลิวว่อนถูกฉีกกระชากเป็นแผลมหึมาทันที
จากนั้นมังกรห้าตัวกับพยัคฆ์ห้าตัวของหลิ่วหมิงก็มาถึงพร้อมเสียงดังกึกก้อง โจมตีรุนแรงซ้ำลงบนแผลที่หลัวเทียนเฉิงฉีกกระชากไว้
เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!
พื้นที่ด้านในกำแพงเนื้อทั้งหมดสั่นสะเทือนรุนแรง ด้านบนจรดด้านล่างสั่นคลอน หลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงร่างกายโงนเงนแทบจะไม่อาจยืนมั่นคงได้ พื้นที่ทั้งหมดเหมือนฟ้าดินพลิกตลบ
แววตาเหี้ยมเกรียมปรากฏในดวงตาของคนทั้งคู่ พวกเขาออกแรงโจมตีมากกว่าเดิม
……
ในป่าสีเหลืองที่อสูรยักษ์อยู่ บนใบหน้าของเยี่ยโจ่งผู้ลอยอยู่กลางอากาศมีเม็ดเหงื่อขนาดเท่าเมล็ดถั่วไหลผ่านแก้มทีละหยดๆ ขณะที่มือเขายิงเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าร่วงลงบนแผ่นค่ายกลห้าสีที่หมุนไม่หยุดอยู่ตรงหน้าไม่ขาดสาย
ศิษย์นิกายเทียนกงที่ควบคุมหุ่นห้าธาตุทั้งห้าคนสีหน้าซีดเผือดยิ่งนัก
ค่ายกลห้ามุมตรงใจกลางค่ายกลที่เดิมทีเคยหยุดความเคลื่อนไหวของอสูรยักษ์ได้ผลไม่รู้หายไปตั้งแต่เมื่อใด เวลานี้มีแต่โซ่พลังจิตวิญญาณขนาดมหึมาที่โผล่ออกมาจากแขนของหุ่นนักรบชุดเกราะขนาดยักษ์ทั้งห้าแต่ละเส้นพันธนาการร่างอสูรยักษ์หน้าตาเหมือนเม่นไว้
โซ่พลังจิตวิญญาณนี้เหมือนแถบแสงห้าสีที่พันธนาการอสูรยักษ์ไว้ตอนเริ่มแรก พวกมันล้วนเป็นชั้นจำกัดพันธนาการชนิดหนึ่งที่อยู่ในค่ายกลหุ่นเทพห้าธาตุ แต่โซ่นี้เสียพลังเวทน้อยกว่ามากและพันธนาการความเคลื่อนไหวของอสูรยักษ์ได้ค่อนข้างจำกัด
ส่วนเกราะแสงห้าสีรูปครึ่งวงกลมเหมือนชามคว่ำตอนแรกก็ก่อตัวขึ้นใหม่อีกครั้งและล้อมคนทั้งหมดไว้ด้านใน เพียงแต่พลังจิตวิญญาณที่ผิวของเกราะแสงเบาบางอยู่บ้าง แข็งแกร่งสู้ครั้งแรกที่ก่อตัวขึ้นไม่ได้อย่างชัดเจน
อสูรยักษ์ที่ถูกขังอยู่ตรงกลางคล้ายจะเหนื่อยอยู่บ้างแล้ว เวลานี้มันฟุบหมอบอยู่บนพื้น จมูกพ่นไอหมอกสีม่วงสายแล้วสายเล่าออกมาพลางครางฮึ่มอย่างโกรธเกรี้ยวครั้งแล้วครั้งเล่า
จินเทียนชื่อที่อยู่บนท้องฟ้าใกล้ๆ สีหน้าเคร่งขรึมยิ่งนักเช่นเดียวกัน เขาสั่งให้เวินเจิงกับบุรุษแซ่หยวนหยุดการโจมตี ส่วนตัวเขาก็เก็บวงแหวนเก็บพลังจิตวิญญาณไปนานแล้ว หากทำให้อสูรยักษ์โกรธขึ้นมาจริงๆ สภาพชั้นจำกัดในเวลานี้เกรงว่าคงไม่อาจปราบอสูรตัวนี้ไว้ได้นานนัก
ตอนนี้เป้าหมายของพวกเขาคือยื้ออสูรยักษ์ไว้เท่าที่ทำได้ พยายามซื้อเวลาเพิ่มให้หลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงให้ได้มากที่สุด
ทันใดนั้นใบหน้าของอสูรยักษ์ก็บิดเบี้ยว เท้าทั้งสี่ข้างยันพื้นลุกพรวดขึ้นมา
ภาพนี้ทำให้ทุกคนที่นั่นตกตะลึง
ยังไม่ทันที่ทุกคนจะเคลื่อนไหวอย่างใด อสูรยักษ์ก็เริ่มขยับเท้าทั้งสี่ข้าง ร่างกายมโหฬารกระชากโซ่พลังจิตวิญญาณบนร่างจนขยับเคลื่อนจากตำแหน่งอย่างเชื่องช้า ทันใดนั้นร่างกายของมันก็หยุดก่อนที่เท้าทั้งสี่จะกระทืบพื้นแล้วใช้เขาเดี่ยวบนหัวพุ่งชนด้านบนอย่างแรง
เสียง “เปรี้ยง” ดังสนั่น!
ม่านแสงห้าสีเริ่มสั่นไหว
เยี่ยโจ่งเห็นเช่นนี้ใบหน้าก็ซีดเผือด เขาถ่ายเทพลังเวทเข้าไปในแผ่นค่ายกลต่อเนื่องไม่ขาดสายพยายามสุดกำลังทำให้ม่านแสงห้าสีมั่งคง ใบหน้าเผยสีหน้าร้อนใจออกมาเป็นครั้งแรก
ค่ายกลหุ่นเทพห้าธาตุเป็นค่ายกลหุ่นอันเลื่องชื่อของนิกายเทียนกงซึ่งมีชื่อเสียงด้านการป้องกัน ค่ายกลนี้ก็สมคำร่ำลือที่พันธนาการอสูรยักษ์ป่าเถื่อนตัวนี้อยู่ด้านในได้ยาวนานเช่นนี้
แต่สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คืออสูรยักษ์ตัวนี้พละกำลังมหาศาลน่าตะลึงอย่างที่สุด มันดิ้นรนในค่ายกลจนแทบจะผลาญพลังเวทของพวกเขาไปหมด
“นานป่านนี้ หลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงน่าจะได้เตาหล่อหลอมวิญญาณมาแล้ว ดูจากสถานการณ์ตอนนี้คนของนิกายเทียนคงใกล้จะทานไม่ไหวแล้ว…” จินเทียนชื่อเห็นเช่นนี้ในใจก็ลอบพิจารณา พร้อมกันนั้นสายตาก็กวาดมองรอบด้าน
สิ่งเดียวที่รู้สึกโชคดีตอนนี้ก็คือไม่พบศัตรูภายนอกจากกลุ่มอำนาจอื่น ไม่เช่นนั้นศึกในศึกนอกกระหน่ำ ค่ายกลหุ่นเทพห้าธาตุคงถูกทำลายลงนานแล้ว
เปรี้ยง!
เขาเดี่ยวบนหน้าผากของอสูรยักษ์หน้าตาเหมือนเม่นชนม่านแสงห้าสีอย่างรุนแรงอีกครั้ง ทำให้ม่านแสงส่องสว่างวูบวาบหลายหนจากนั้นหม่นแสงลงอย่างรวดเร็ว
พวกเยี่ยโจ่งพ่นโลหิตบริสุทธิ์คำหนึ่งออกมาพร้อมกัน
อสูรยักษ์เห็นเช่นนี้ดวงตาก็ฉายแววดุร้าย หนามบนแผ่นหลังสั่นระริกก่อนจะส่งแสงสีดำแสบตาสิบกว่าสายออกมาในทันใด
แสงสีดำผสานกลายเป็นร่างเดียวในพริบตาจากนั้นกลายเป็นลำแสงหนาเส้นหนึ่งยิงลงบนม่านแสงห้าสีอย่างรุนแรง
เสียงเปรี้ยงดังสนั่น ม่านแสงทั้งผืนสั่นคลอน รัศมีแสงห้าสีที่เกี่ยวกระหวัดกันอยู่กะพริบวูบวาบแล้วท่าทางคลอนแคลนเหมือนจะถล่มลงมาเดี๋ยวนั้น
“ระวัง!”
เยี่ยโจ่งหน้าถอดสีตะโกนเสียงดัง ขณะที่มือยิงเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าออกมาประหนึ่งกงล้อ
ศิษย์นิกายเทียนกงทั้งห้าคนกำธงค่ายกลในมือแน่น ปลายธงส่งลำแสงหนาเส้นหนึ่งผสานเข้าไปในม่านแสงห้าสีต่อเนื่องไม่ขาดสาย
ม่านแสงห้าสีเหมือนต้นหญ้าแห้งกลางสายลม มันสั่นไหวอย่างรุนแรงแต่ยังตั้งมั่นคงอยู่ได้อย่างหวุดหวิด
เพลิงโทสะของอสูรยักษ์ยิ่งลุกโหม สี่เท้าตั้งท่าหมายจะใช้เขาเดี่ยวบนหัวพุ่งชนอีกครั้ง ทว่าครู่ต่อมาดวงตาของมันก็พลันฉายแววเจ็บปวด หัวมหึมาส่ายซ้ายสะบัดขวาแล้วอ้าปากคำรามเสียงแหลมออกมาเบาๆ
พริบตานั้นที่อสูรยักษ์อ้าปากขนาดมหึมา ไอหมอกสีม่วงแถบหนึ่งก็พุ่งออกมา ท่ามกลางไอหมอกลำแสงสีดำกับสีเงินอย่างละเส้นพุ่งออกมาดุจสายฟ้าแลบ พวกมันเลือนหายไปวูบหนึ่งก่อนจะโผล่มาห่างร้อยจั้ง
หลังจากลำแสงดับลงก็เผยร่างคนด้านใน พวกเขาก็คือหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงนั่นเอง
“ได้มาไหม?” เห็นคนทั้งสองฝ่าออกมาได้ เยี่ยโจ่งที่อยู่ด้านบนก็มีสีหน้ายินดีเป็นอย่างแรกจากนั้นเอ่ยปากถามอย่างรวดเร็ว
“อืม อยู่กับข้า” หลิ่วหมิงเก็บชุดเกราะจักรกลที่สูญเสียพลังจิตวิญญาณบนร่างไป จากนั้นยิ้มเล็กน้อยเอ่ยบอก
หลัวเทียนเฉิงด้านข้างสีหน้าเรียบเฉยไม่เอ่ยวาจา
การเก็บสมบัติในร่างอสูรยักษ์ครั้งนี้ก็แพ้ให้แก่หลิ่วหมิงอีกครั้ง นี่ทำให้เขาหงุดหงิดอย่างยิ่ง