“ครั้งนี้ปล่อยให้พวกกระจอกเผ่ามนุษย์เหล่านั้นชนะไปได้สองรอบกับเสมออีกหนึ่งรอบ นี่ต่างจากแผนการที่เจ้ากับข้าวางไว้ตอนแรกมากนัก! จะต้องแบ่งสมบัติสองส่วนครึ่งกับพวกเขาจริงหรือ?” สยงเยวี่ยเอ่ยด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“เรื่องนี้ก็ผิดจากที่ข้าคิดไปมากเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าในหมู่ผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนของเผ่ามนุษย์จะมีพวกที่ฝีมือแข็งแกร่งเช่นนี้อยู่ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหนูคนนั้นที่สู้กับข้า ไม่เพียงเกือบจะทำร้ายข้าได้ สุดท้ายยังหนีพ้นจากมือข้าได้อีก! ถ้าหากว่าอีกฝั่งให้คนผู้นี้สู้กับคนอื่นของฝั่งเรา เกรงว่าคงจะชนะได้อีกรอบหนึ่ง” บุรุษจมูกอินทรีทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยพลางเอ่ยขึ้นช้าๆ
“พี่อิง พูดเช่นนี้ท่านหมายความว่าอย่างไร? ยกยอผู้อื่นหยามหมิ่นตนเองได้อย่างไร!” สยงเยวี่ยได้ยิน พลันฟาดหนึ่งฝ่ามือลงมาอย่างแรง ตบโต๊ะหินตรงหน้าแหลกกระจุยแล้วตวาดเกรี้ยวกราด
“พี่สยงสงบใจหน่อยไม่ต้องร้อนรนไป ที่จริงข้ามีวิธีรับมือไว้อยู่แล้ว! แต่ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ที่ความสามารถในการต่อสู้ไม่ธรรมดาหลายคนนี้ท่านกับข้าต้องวางแผนกันดีๆ สักหน่อยว่าสมควรรับมืออย่างไร มุกบรรพตธาราสมบัติล้ำค่าเช่นนี้จะปล่อยให้ตกอยู่ในมือผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์เหล่านั้นได้อย่างไร?” ลูกตาของบุรุษจมูกอินทรีกลอกกลิ้งอย่างรวดเร็วพลางหัวเราะแผ่วเบา
“อ้อ? ข้านึกอยู่แล้วเชียวว่าพี่อิงย่อมมีแผนล้ำเลิศ…” สยงเยวี่ยเปลี่ยนจากโมโหมาเป็นยินดีในทันใด
“เอาเช่นนี้เถิด…ถึงเวลาพวกเราก็ทำเช่นนี้…” บุรุษจมูกอินทรีกระเถิบเข้ามาชิดหูของสยงเยวี่ยแล้วกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา
“ดี ดี ดี ! มิน่าพี่อิงจึงบอกว่าต้องกลับมาก่อน ที่แท้มีแผนการดีๆ เช่นนี้อยู่ ทำเช่นนี้ก็แล้วกัน! ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปสั่งการเรื่องนี้เดี๋ยวนี้ ครั้งนี้จะต้องให้พวกกระจอกเผ่ามนุษย์พวกนั้นไปไม่กลับให้จงได้! แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราย่อมไม่จำเป็นต้องพักอะไรมาก เคลื่อนย้ายไปเดี๋ยวนี้เลยเถิด ดูท่าคำพูดที่ท่านบอกกับเผ่ามนุษย์คนอื่นก่อนหน้านี้ก็คงเป็นเพียงคำพูดเฉพาะหน้าเท่านั้น” ทีแรกสยงเยวี่ยยังคิ้วขมวดเป็นปม แต่หลังจากฟังจบคิ้วก็คลายออก เขาปรบมือหัวเราะลั่น หลังจากเอ่ยคำว่า ‘ดี’ ติดกันสามคำก็ยิ้มร่าจากไป
……
บนรถเหาะสีฟ้าขนาดยักษ์ที่เดินทางแหวกผ่านท้องนภา ผู้คนของพันธมิตรเผ่ามนุษย์ไม่ได้หดหู่เพราะได้ชัยชนะมาเพียงสองรอบ ตรงกันข้ามพวกเขาล้วนมีสีหน้าตื่นเต้นยินดีและสนทนากันเป็นพักๆ
“ที่จริงหากวันนี้ให้สหายหลิ่วไปจัดการผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจอีกตนหนึ่งของอีกฝ่าย เช่นนั้นพวกเราก็ชนะได้สามรอบ ได้แบ่งคนละครึ่งกับคนของเผ่าปีศาจพวกนั้นแล้ว!” ชายหนุ่มแซ่หลี่หัวเราะเบาๆ
“สหายหลี่ หากพวกเราจงใจจัดให้ผู้ฝึกฝนที่พลังแข็งแกร่งสู้กับผู้ฝึกฝนที่ค่อนข้างอ่อนแอของฝั่งตรงข้ามอย่างที่เจ้าพูด เช่นนั้นอาจชนะสี่รอบก็เป็นไปได้ แต่ถึงเวลานั้น ยังไม่ต้องพูดถึงว่าอีกฝ่ายจะบันดาลโทสะเดี๋ยวนั้นหรือไม่ เรื่องฝังสัญลักษณ์บนร่างผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้สองตนของอีกฝ่ายก็เกรงว่าคงจะไม่มีทางดำเนินไปอย่างราบรื่นเช่นนี้” หญิงสาวนามอู่หงกลับยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้นมา
“แม้สหายหลิ่วเป็นอันดับหนึ่งของงานประตูสวรรค์ พลังเป็นที่ประจักษ์ แต่หากอยากเอาชนะยอดฝีมือระดับแก่นแท้ขั้นปลายของเผ่าปีศาจตนหนึ่งจริงๆ ก็คงไม่น่าเป็นไปได้นัก” ชายหนุ่มอีกคนจากสำนักเฮ่าหรานถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นมา
หลิ่วหมิงทำเหมือนไม่ได้ยินบทสนทนาของผู้คนด้านข้างเหล่านี้ เขาเพียงนั่งอยู่เงียบๆ ในมุมหนึ่งมุ่งแต่สงบใจทำสมาธิ
ในเวลานี้เองลำแสงสีเหลืองสายหนึ่งพลันพุ่งเร็วไวกลับมาจากไกลๆ หวงอวินผู้เฒ่าคิ้วเหลืองแห่งสำนักเฮ่าหรานที่รับผิดชอบตรวจตราบริเวณโดยรอบนั่นเอง
“พวกเผ่าปีศาจยามนี้ออกเดินทางแล้ว แต่พวกเขาไม่ได้ตรงไปยังซากโบราณสถาน แต่พักอยู่ในฐานที่พักเดิม” ผู้เฒ่าคิ้วเหลืองรายงานผู้ฝึกฝนแซ่ซุน
“ครั้งนี้พวกเราได้ชัยชนะมาสองรอบครึ่ง คนของเผ่าปีศาจคงไม่เลิกราโดยดี แต่ไม่ว่าพวกเขาคิดจะเล่นลูกไม้อะไร ตอนนี้ก็สายไปแล้ว แผนการครั้งนี้เรียกได้ว่าสำเร็จมาระดับหนึ่ง ค่ายกลเคลื่อนย้ายตรงปากทางเข้าซากโบราณสถานวางไว้เรียบร้อย ปีศาจทั้งเจ็ดตนก็ถูกฝังสัญลักษณ์เอาไว้แล้ว เหลือแต่รอให้ช่วงเวลานั้นชั้นจำกัดถูกทำลายแล้วกระตุ้นค่ายกลอันนั้นเคลื่อนย้ายพวกเขาจากไปพร้อมกัน จำเอาไว้ เมื่อถึงเวลาจะต้องจบศึกให้เร็ว กำจัดผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่เหลืออยู่ให้หมด” ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนถือป้ายหยกแผ่นหนึ่งแกว่งไปทางทุกคนพร้อมกับยิ้มน้อยๆ บนนั้นดวงดาราเจ็ดดวงทอแสงกะพริบ
ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย
อย่างไรเสียหลังจากขาดเผ่าปีศาจเจ็ดตนซึ่งรวมหัวหน้าระดับแก่นแท้สองตนนั้นด้วย เผ่าปีศาจที่เหลือย่อมไม่ใช่ปัญหา สมบัติทั้งหมดในซากโบราณสถานย่อมเป็นของในกระเป๋าแล้ว
หลังจากนั้นเป็นเวลาไม่ถึงชั่วหนึ่งมื้ออาหาร พวกหลิ่วหมิงก็มาถึงปากทางเข้าซากโบราณสถานตามที่ตกลงกับเผ่าปีศาจไว้
แต่สิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือเมื่อพวกเขามาถึงกลับพบว่าผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจกลุ่มนั้นมารออยู่ที่ปากทางเข้าซากโบราณสถานก่อนแล้ว
“พวกเจ้าแซงหน้าพวกเรามาได้อย่างไร…ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าวางค่ายกลเคลื่อนย้ายไว้ก่อนแล้ว” ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ทั้งหลายล้วนตกใจ แต่คนหนึ่งในนั้นฉุกคิดขึ้นมาได้ทันทีจึงโพล่งออกมาเสียงดัง
“คนแซ่ซุน ทำไมเจ้าเพิ่งมา เชื่องช้าปานนี้ พวกเราคิดว่าพวกเจ้าเผ่ามนุษย์จะไม่เอาแม้กระทั่งสมบัติสองส่วนครึ่งแล้ว!” บุรุษกำยำผิวดำที่เป็นหัวหน้าเหล่มองผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ทั้งหลายครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยเสียดสี
ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่อยู่ด้านหลังเขาก็เยาะเย้ยถากถางตามด้วยพักหนึ่ง
“พวกเจ้า…” เสิ่นว่านชิงผู้สวมชุดสีแดงได้ยินพลันสีหน้าโกรธเกรี้ยว ยกแขนขึ้นเล็กน้อยหมายจะลงมือ
ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนรีบยกแขนข้างหนึ่งขึ้นขวางห้ามเขาไว้ จากนั้นกวาดสายตามองรอบด้านโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าแล้วขยับริมฝีปากขมุบขมิบส่งกระแสจิตสั่งทุกคน
“ค่ายกลยังไม่ถูกพบ ทุกคนจำไว้ว่าตอนนี้ต้องอดทน รอหลังจากทำลายชั้นจำกัดด้วยกันแล้วค่อยกระตุ้นค่ายกลรวบพวกเขาในคราวเดียว”
จากนั้นเขาก็เอ่ยกับเผ่าปีศาจฝั่งตรงข้ามเรียบๆ
“สหายสยงล้อเล่นแล้ว สมบัติสองส่วนครึ่งนี้แม้เทียบกับสิ่งที่เผ่าปีศาจของพวกเจ้าจะได้ไม่นับว่ามาก แต่พวกเราไม่มีทางไม่เอาแน่นอน”
ระหว่างที่ทั้งสองคนสนทนากันอยู่ หลิ่วหมิงก็ปล่อยจิตสัมผัสออกไปกวาดผ่านผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจฝั่งตรงข้ามรอบหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย สายตาทอประกายเล็กน้อย
“ในเมื่อพวกเรามากันพร้อมแล้วก็พูดไร้สาระให้น้อย ช่วยกันทำลายชั้นจำกัดแล้วเข้าไปเอาสมบัติเถิด” บุรุษจมูกอินทรีข้างกายสยงเยวี่ยก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงดังกับพวกหลิ่วหมิง
“เช่นนี้ดียิ่ง อย่าปล่อยให้เวลาลากยาวจนเกิดเรื่องไม่คาดฝัน” ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนพยักหน้าให้เขา
ตอนนี้ทุกคนถึงเคลื่อนสายตามองไปยังเสาศิลาสีน้ำเงินสูงหลายสิบจั้งสองต้นที่ปากทางเข้าซากโบราณสถาน
พวกเขาเห็นระหว่างกลางเสาศิลาสีน้ำเงินที่ทอแสงหลากสีมีม่านแสงสีน้ำเงินอ่อนชั้นหนึ่งผลุบๆ โผล่ๆ เดี๋ยวมีเดี๋ยวไม่มี ดูนิ่งสงบอย่างยิ่งดุจผิวน้ำ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ
กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากม่านแสงระหว่างเสาศิลาสองต้นนี้คล้ายกับมหาค่ายกลวิญญาณพฤกษาที่หลานซือวางในตอนนั้นอยู่บ้าง
ด้านหลังเสาศิลาคือหุบเขาตั้งตระหง่านที่ถูกเกราะแสงรูปไข่ไก่สีเหลืองขมุกขมัวชั้นหนึ่งล้อมอยู่ สมบัติทั้งหมดเห็นชัดว่าอยู่ด้านในนี้
“ชั้นจำกัดที่นี่ดูเหมือนไม่มีสิ่งใดพิเศษ” อู่หงหญิงสาวหน้าดำด้านหลังผู้ฝึกฝนแซ่ซุนเอ่ยขึ้นอย่างฉงนเล็กน้อย
“สหายอู่กล่าวผิดแล้ว สิ่งที่อยู่ตรงนี้คือชั้นจำกัดธาตุพฤกษาที่ลี้ลับอย่างที่สุดอันหนึ่ง พวกเราที่อยู่ที่นี้ไม่มีสักคนรู้วิชาชั้นจำกัดจึงได้แต่ใช้กำลังหักหาญทำลายมัน แต่ถึงแม้สองฝ่ายจะร่วมแรงกัน หากไม่มีเวลาสองสามชั่วยามก็เกรงว่าคงไม่อาจโจมตีทำลายมันได้” ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนตอบเช่นนี้
“ผู้น้อยไร้ความสามารถ ขอลองดูก่อน”
อู่หงได้ฟัง คิ้วดำงามก็เลิกขึ้น นางย่างเท้าแผ่วเบาหลายก้าวก่อนที่ร่างจะส่องสว่างวูบหนึ่งแล้วปรากฏตัวหน้าม่านแสงสีน้ำเงิน แขนสองข้างสะบัด กำไลสีเขียวหยกสองวงพลันหลุดจากมือแล้วเปล่งแสงสีเขียวสว่างจ้าเบื้องหน้า
เมื่อหญิงสาวนางนี้ท่องมนตร์ออกมาจากปาก ก็เห็นวงแหวนสีเขียวสองวงหมุนติ้วไม่หยุดอยู่เบื้องหน้านางแล้วขยายใหญ่จนมีขนาดหลายจั้ง
เสียงฟู่ดังขึ้นไม่ขาด ยันต์สีเงินขนาดเท่าฝ่ามือตัวแล้วตัวเล่าบินออกมาจากบนวงแหวน มันส่องสว่างวูบหนึ่งแล้วจมเข้าไปในม่านแสงสีน้ำเงินจนหมด
“ม่านแสงนี้กลืนกินพลังเวททั้งปวงแล้วเผาผลาญให้หมดได้ มีแต่ต้องถ่ายเทพลังเวทเข้าไปในตัวมันไม่หยุดจนถึงขีดสุดของมันเท่านั้นถึงจะทำลายมันได้” สยงเยวี่ยเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะหยันเอ่ยขึ้นมา
หญิงสาวกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน นางสนใจแต่ใช้วิชาบังคับวงแหวน ส่งยันต์สีเงินมากกว่าเดิมออกมา
ผลปรากฏว่าครู่เดียวหลังจากนั้นแสงสีเงินจุดแล้วจุดเล่าก็ซึมออกมาบนม่านแสงสีน้ำเงิน รอยแตกแคบยาวเส้นแล้วเส้นเล่าปรากฏขึ้นบนผิวม่านแสงอย่างเงียบเชียบ
อู่หงเห็นเช่นนี้ใบหน้าพลันยินดี มือข้างหนึ่งตั้งท่าเคล็ดวิชา วงแหวนส่องแสงสว่างเจิดจ้าปล่อยยันต์สีเงินมากมายยิ่งกว่าเดิมออกไปทำให้รอยแตกแคบยาวปรากฏขึ้นบนม่านแสงสีน้ำเงินหนาขึ้นทุกที
“ดูท่ากำไลคู่นี้ของสหายอู่จะเป็นสมบัติพิสดารที่หาได้ยากชิ้นหนึ่ง เหมือนจะข่มชั้นจำกัดนี้ได้อยู่บ้าง” ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนเห็นดังนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าตกตะลึงระคนยินดี
ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจระดับแก่นแท้สองตนอีกด้านหนึ่งเห็นเช่นนี้ต่างก็มองตากัน พวกเขารู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง
ในเวลานี้เองวงแหวนสีเขียวหยกสองวงพลันส่งเสียงครวญครางทุ้มต่ำออกมาแล้วเริ่มสั่นเบาๆ
“เอ๋!”
หญิงสาวหน้าดำขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งขรึม
หนึ่งถึงสองลมหายใจหลังจากนั้นรอยแยกสีเงินที่เดิมทีหนาเท่าแขนแล้วกลับเล็กลงอย่างรวดเร็ว กระทั่งแสงสีเงินจุดแล้วจุดเล่าที่ผุดขึ้นบนม่านแสงสีน้ำเงินเหล่านั้นก็ถูกแสงสีน้ำเงินกลืนกินไปจนหมดสิ้นอีกครั้ง
ม่านแสงสีน้ำเงินฟื้นกลับมานิ่งสงบดุจผิวน้ำอีกหน
“ปึก” “ปึก”
วงแหวนสองวงร่วงลงบนพื้นอย่างไม่อาจควบคุมได้
หญิงสาวหน้าดำหน้าถอดสี นางรีบกวักมือข้างหนึ่ง วงแหวนสองวงกลับกลายเป็นกำไลหยกสองวงบินกลับมาบนแขนอีกครั้ง นางตรวจตราอยู่ครู่หนึ่งถึงโล่งอก
ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจหลายคนที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะลั่น สีหน้าเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ ดวงตาพลันเปล่งประกายเจิดจ้า ชั้นจำกัดนี้แตกต่างกับชั้นจำกัดที่เขาเคยพบก่อนหน้านี้มากจริงๆ แต่ตอนนี้เขามีกระบี่ขู่หลุนอยู่ในมือ หากประสานกับวิชาลับทำลายชั้นจำกัดของเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งก็อาจลองดูได้สักหน
ทว่าทันทีที่ความคิดนี้เกิดขึ้นในใจเขา มันก็มลายหายไปในทันใด!
“ในเมื่อสหายอู่ไม่มีวิธีทำลายชั้นจำกัดนี้เช่นกัน พวกเราก็ได้แต่ใช้วิธีโง่ที่สุด ฝืนใช้กำลังทำลายชั้นจำกัดนี้แล้ว” ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนถอนหายใจอย่างผิดหวังเล็กน้อยแล้วเอ่ยสั่งทุกคน
เหล่าศิษย์สำนักเฮ่าหรานลงมือก่อน สองมือของพวกเขาแต่ละคนยกขึ้นส่งรุ้งยาวสีฟ้าสายแล้วสายเล่าออกมา
สิ่งที่ถูกหุ้มอยู่ในแสงสีฟ้าคือหนังสือเหล็กสีเทาเล่มแล้วเล่มเล่า เมื่อพวกมันเปิดออกทีละเล่ม อักขระโบราณหลากลายสีสันพลันผุดออกมากลายเป็นดาบ กระบี่ ขวานฟาดฟันเข้าใส่ม่านแสงอย่างบ้าคลั่ง
หลิ่วหมิงก็ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเช่นกัน เสียงใสกังวานดังขึ้น รุ้งยาวสีม่วงสายหนึ่งบินออกมาพร้อมกับแสงอสนีบาตสีม่วงซึ่งส่งเสียงดังเปรี้ยงปร้างแล้วโจมตีเข้าไปดังกึกก้อง
ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ที่เหลือทยอยเรียกอาวุธและวิชาลับนานาชนิดออกมาสาดใส่ม่านแสงด้วย
“เอาล่ะ พวกเราก็อย่าถูกผู้อื่นทิ้งไว้ข้างหลัง ลงมือเถอะ!” สยงเยวี่ยเอ่ยกับผู้ฝึกฝนปีศาจทั้งหลายด้านหลังร่างเช่นเดียวกัน
ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจทั้งหลายได้ยินย่อมขานรับแล้วเรียกวิชาสารพัดออกมากระหน่ำโจมตีเข้าใส่ม่านแสงสีน้ำเงิน
ชั่วขณะหนึ่งตรงทางเข้าซากโบราณสถานเกิดเสียงกึกก้องดังขึ้นไม่ขาด แสงเรืองรองสารพัดสีพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนกับยอดฝีมือระดับแก่นแท้สองตนจากเผ่าปีศาจกลับไม่ลงมือ แต่มองฝั่งตรงข้ามอย่างเย็นชาและระแวดระวัง