ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 973 ศึกยืดเยื้อ

สถานการณ์พลิกผันอย่างรวดเร็ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเผ่าปีศาจเจ็ดตนที่ยกพลมาอย่างทรงพลัง ทุกคนก็เคลื่อนสายตามองไปทางผู้ฝึกฝนแซ่ซุน

“ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว แต่เวลานี้หากถอย อีกฝ่ายคงไม่มีทางปล่อยพวกเราจากไปเช่นนี้แน่ แล้วยังเท่ากับเป็นการประเคนสมบัติในที่แห่งนี้ให้ผู้อื่น แทนที่จะเป็นเช่นนั้นต่อสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่งเลยดีกว่า พวกเราก็ไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาสชนะ!” ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ก็ส่งกระแสจิตบอกทุกคนทันที

เมื่อคำนี้เอ่ยออกมา ผู้คนที่เดิมทีตกใจและงุนงงอยู่เล็กน้อยก็รู้สึกว่ามีเหตุผลยิ่ง ในใจเกิดไฟสู้ขึ้นมาทันที

ระดับพลังเลื่อนมาถึงขั้นนี้ ไม่ว่าผู้ใดล้วนเคยล้มลุกคลุมคลานผ่านความเป็นความตายมาแล้วทั้งสิ้น พวกเขาย่อมเข้าใจหลักการที่ว่าอยากได้โชคลาภต้องเสี่ยงอันตราย

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็พรูลมหายใจออกมาเบาๆ แล้วถอยหลังอย่างเงียบเชียบไปอยู่ที่ขอบของกลุ่มคน

เวลาเพียงชั่วครู่นี้ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจเจ็ดคนก็เข้ามาใกล้ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์แล้ว

ชายหนุ่มแซ่หลี่กับผู้ฝึกฝนชุดขาวจากนิกายปีศาจลี้ลับสบตากันครั้งหนึ่งแล้วยกแขนขึ้นพร้อมกัน รุ้งน่าตะลึงสีฟ้ากับสีดำสองสายพุ่งเร็วรี่ตรงเข้าใส่กลุ่มหมอกสีเทาที่พุ่งมาเร็วสุด บุรุษจมูกอินทรีผู้นั้นนั่นเอง

บุรุษจมูกอินทรีเวลานี้ต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ขนนกสีเทาแต่ละเส้นทั่วร่างตั้งชัน ศีรษะกลายเป็นหัวนกอินทรี หมอกสีเทาที่ล้อมตัวเขาอยู่ก่อตัวเป็นรูปอินทรียักษ์ตัวหนึ่ง

“สยงเยวี่ย ข้าจะถ่วงเวลาคนแซ่ซุนคนนั้นไว้ คนอื่นยกให้เจ้า!”

บุรุษจมูกอินทรีผู้อยู่ในสภาพครึ่งปีศาจไม่สนใจอาวุธจิตวิญญาณที่บินพุ่งเข้ามาสองชิ้นนั้นอย่างสิ้นเชิง เขาเอ่ยเสียงเย็นชาประโยคหนึ่งแล้วเปลี่ยนทิศกลางอากาศพุ่งผ่านรุ้งยาวสองสายไปด้วยมุมอันน่าเหลือเชื่อ ตรงดิ่งเข้าไปหาผู้ฝึกฝนแซ่ซุนทันที

“พี่อิงท่านวางใจได้ คอยดูข้าจะฉีกพวกกระจอกพวกนั้นเป็นชิ้นๆ!” ใจกลางไอหมอกสีเหลือง สยงเยวี่ยที่กลายสภาพเป็นปีศาจอย่างสมบูรณ์ ตอนนี้เป็นหมียักษ์สูงสี่ถึงห้าจั้งตัวหนึ่งคำรามอย่างเกรี้ยวกราด

ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนขยับริมฝีปากขมุบขมิบสั่งทุกคนสองสามประโยคอย่างรวดเร็วแล้วกวักมือข้างหนึ่งเรียกพู่กันหยกกลับมา จากนั้นสองมือประกบกันตรงหน้าอก เปลวเพลิงสีขาวผืนหนึ่งแผ่ออกมาจากปลายพู่กันกลายเป็นเงาพยัคฆ์สีขาวขนาดมหึมาตัวหนึ่งกระโจนเข้าใส่บุรุษจมูกอินทรีในพริบตา

“บึ๊มๆ” เสียงปะทะกันดังขึ้นไม่หยุด!

กลางท้องฟ้าปรากฏภาพพยัคฆ์โรมรันกับอินทรี

อีกด้านหนึ่งสยงเยวี่ยที่กลายร่างแล้วพาปีศาจที่เหลืออีกห้าตน พุ่งเข้าไปกลางกลุ่มผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์

หมียักษ์สีน้ำตาลร่างแปลงของสยงเยวี่ยยืนสองขาแล้วตวัดอุ้งเท้าหมีอันกำยำ เพียงครั้งเดียวก็ฉีกศิษย์สำนักเฮ่าหรานที่ตั้งตัวไม่ทันคนหนึ่งด้านข้างเป็นสองซีก

ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจหมีเถื่อนกับเผ่าอินทรีทะลวงห้าตนที่เหลือล้วนกำลังใจฮึกเหิม ต่างพากันกลายร่างเป็นสภาพครึ่งปีศาจกับปีศาจเต็มตัว เข้าต่อสู้กับเหล่ามนุษย์ด้วย

สถานที่แห่งนั้นฉับพลันเต็มไปด้วยคาวเลือด เสียงเข่นฆ่าดังขึ้นรอบด้าน

หลังจากอู่หงถูกฝ่ามือของสยงเยวี่ยโจมตีจากไกลๆ จนปลิวออกไป นางก็ขยับร่างอย่างตกตะลึงและเกรี้ยวกราดมาปรากฏตัวตรงหน้าหลิ่วหมิงแล้วส่งกระแสจิตเอ่ยอย่างรวดเร็ว

“สหายหลิ่ว ข้ากับเจ้าสองคนร่วมมือกันถ่วงเวลาปีศาจตนนี้ดีหรือไม่ ไม่เช่นนั้นพวกเราคงถูกเขาสังหารทีละคน”

“ก็ดี”

หลิ่วหมิงฟังแล้วครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ก็พยักหน้าตกลง เขาตวาดลั่นคำหนึ่ง ไอหมอกสีดำพวยพุ่งทะลักออกมารอบร่าง เสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำรามดังก้องท้องนภาก่อนที่มังกรหมอกกับพยัคฆ์หมอกสีดำห้าตัวจะพุ่งเร็วรี่ออกจากแผ่นหลังโถมเข้าใส่สยงเยวี่ยที่กำลังสังหารอย่างเมามันอยู่ไม่ไกล

“ลูกไม้กระจอก” สยงเยวี่ยเพิ่งตะปบดาบบินของผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์คนหนึ่งเป็นสองท่อน เมื่อเห็นภาพนี้ก็หัวเราะคลุ้มคลั่ง อุ้งเท้าหมีหนาอีกข้างหนึ่งตบเข้าใส่หลิ่วหมิง

“เปรี้ยง” เงาอุ้งเท้าขนาดเท่าบ้านข้างหนึ่งตบมังกรหมอกกับพยัคฆ์หมอกจนถอยไปสิ้นในทันใด

“คุกมืด!”

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้พลันจี้ดัชนีใส่อากาศด้วยสีหน้าเคร่งขรึม มังกรหมอกกับพยัคฆ์หมอกสลายกลายเป็นแสงสีดำเต็มฟ้าม้วนตัวกลับมาล้อมสยงเยวี่ยผู้ไม่ทันป้องกันเข้าไปด้านในทันที

ในเวลาเดียวกันนี้ดวงหน้างามของอู่หงก็เคร่งขรึม แขนเสื้อยกขึ้น แสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออกมาจมเข้าไปในคุกมืดทันที

ทันใดนั้นเสียงคำรามรวมถึงเสียงระเบิดเปรี้ยงปร้างก็ดังออกมาจากในลูกบอลแสงสีดำของคุกมืด

ผู้คนที่อยู่ด้านข้างเห็นพวกหลิ่วหมิงสองคนลงมือขังสยงเยวี่ยไว้ได้อย่างราบรื่นดุจสายฟ้าแลบ ก็พยายามล้อมจัดการผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจห้าคนที่เหลือบ้าง

แต่เวลานี้ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่เหลือซึ่งก่อนหน้านี้หนีไปโถมกลับมาร่วมวงต่อสู้แล้ว การต่อสู้จึงชุลมุนในทันใด

“ไม่ประมาณกำลังตน!”

ผ่านไปเพียงสามสี่ลมหายใจ เสียงคำรามทุ้มต่ำเกรี้ยวกราดก็ดังออกมาจากในลูกบอลแสงสีดำ

“ฟึบ” “ฟึบ” ทันใดนั้นกรงเล็บยักษ์สีเหลืองสองข้างก็ยื่นออกมาจากแสงสีดำ กรงเล็บคมกริบแผ่ปราณเย็นเยียบน่าขนลุก เมื่อมันแยกออกมาจากกัน ลูกบอลแสงยักษ์พลันถูกฉีกกระจุยกลายเป็นละอองแสงสีดำจุดแล้วจุดเล่าสลายไป เผยร่างของสยงเยวี่ยที่ถูกขังอยู่ด้านใน

ในปากเขาคาบเข็มสีเงินเรียวเล็กเล่มหนึ่งไว้ เมื่อเขาอ้าปากถ่มส่งๆ ไปด้านข้าง เส้นไหมสีดำเส้นหนึ่งก็กะพริบจมหายไปในพื้นดินใกล้ๆ

“ฝีมือแค่นี้ก็คิดจะทำร้ายข้า น่าขันจริง!” สยงเยวี่ยหัวเราะหยันอย่างดูแคลน ร่างกายขยับวูบเดียวพุ่งตรงมาที่พวกหลิ่วหมิงสองคนอยู่อย่างรวดเร็ว

หลิ่วหมิงกับอู่หงเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มอย่างจนปัญญา ได้แต่ร่วมมือกันเข้าไปประจันหน้าอีกครั้ง

เวลานี้เบื้องหน้าที่ตั้งซากโบราณสถาน แสงจิตวิญญาณสารพัดสีระเบิดแสงรัศมีแสบตาดวงแล้วดวงเล่า เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้อากาศทั่วทั้งบริเวณสั่นไหว

แม้ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจแต่ละตนจะมีพลังเหนือกว่าอยู่บ้าง แต่เผ่ามนุษย์อาศัยความได้เปรียบด้านจำนวนโต้กลับสุดกำลังจึงพอสู้ได้สูสี

แต่เห็นชัดว่าในเวลาสั้นๆ ทั้งสองฝ่ายไม่อาจปราบอีกฝั่งลงอย่างสิ้นเชิงได้

เมื่อเป็นเช่นนี้การต่อสู้ตะลุมบอนครั้งนี้จึงเกิดเป็นศึกยืดเยื้ออีกหน

พร้อมกับที่เวลาผันผ่านไปแต่ละนาทีแต่ละวินาที เผ่ามนุษย์ก็มีผู้ฝึกฝนบาดเจ็บล้มตายไปอีกราวสามสี่คน แต่เผ่าปีศาจด้านนี้กลับตายหนึ่งตนบาดเจ็บหนึ่งตนเท่านั้น สภาพโดยรวมยังคงอยู่ในสภาพสูสีทัดเทียม

หลิ่วหมิงกับหญิงสาวหน้าดำยังคงต่อสู้ติดพันอยู่กับหมียักษ์สีน้ำตาลซึ่งเป็นร่างจำแลงของสยงเยวี่ย

หลังจากสยงเยวี่ยแปลงกายอย่างสมบูรณ์ ปราณปีศาจก็วนเวียนทั่วร่างตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับว่ามีพลังเวทและพละกำลังให้ใช้ไม่หมดสิ้น ขนสีดำที่ปกป้องร่างแทบจะเรียกได้ว่าหอกดาบฟันแทงไม่เข้า มันเมินการโจมตีกว่าครึ่งของพวกหลิ่วหมิงแล้วใช้อุ้งเท้าหมีสองข้างสร้างเงาอุ้งเท้ามหึมาข้างแล้วข้างเล่าโถมมืดฟ้ามัวดินเข้าใส่ทั้งสองคน

หลิ่วหมิงอาศัยเคล็ดวิชาเงาสามส่วนสร้างร่างเงาออกมาไม่หยุดจึงหวุดหวิดหลบพ้นการโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่ามาได้ ส่วนหญิงสาวหน้าดำใช้กำไลหยกทั้งสองวงจนถึงขีดสุดขวางการโจมตีของสยงเยวี่ยไว้ได้อย่างหวุดหวิดเช่นกัน

ทว่าแม้เป็นเช่นนี้ทั้งสองคนก็แทบจะมีกำลังพอแค่ตั้งรับการโจมตีจากเงาอุ้งเท้าที่กระหน่ำมาดุจเกลียวคลื่นเท่านั้น

อีกด้านหนึ่งผู้ฝึกฝนแซ่ซุนผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ของเผ่ามนุษย์ฝั่งนี้สถานการณ์ก็แลดูย่ำแย่เล็กน้อย

ดูเหมือนเพราะก่อนหน้านี้เขาผลาญพลังเวทมากเกินไป ตอนนี้จึงเริ่มตกเป็นรอง ตรงหัวไหล่ถูกบุรุษจมูกอินทรีควักออกไปเป็นรูเบ้อเริ่มไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร เลือดไหลพรากออกมาจนใบหน้าที่ไร้สีเลือดอยู่แล้วซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม

ตอนนี้เองผู้ฝึกฝนแซ่ซุนพลันเก็บพู่กันหยกในมือไป แขนเสื้อสะบัดหนึ่งครั้ง ปราณโลหิตสายหนึ่งพลันพุ่งออกมากลายเป็นดาบยาวสีเลือดยาวห้าหกจั้งเล่มหนึ่ง

เขาอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมาหนึ่งคำ แสงสีเลือดบนคมดาบพลันเป็นประกายแล้วยืดจนยาวสิบกว่าจั้ง

ทันทีที่ดาบเล่มนี้ถูกเรียกออกมา ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ ก็รู้สึกว่าเลือดและปราณในร่างปั่นป่วน โลหิตบริสุทธิ์ในร่างมีแนวโน้มว่าจะสูญเสียการควบคุม

ทว่าระหว่างที่เข่นฆ่ากันจนดวงตาเป็นสีเลือดอยู่นี้ย่อมไม่มีผู้ใดคิดสืบสาวเรื่องนี้

หลิ่วหมิงที่อยู่ไม่ไกลสัมผัสได้ถึงสภาพในร่างกายอยู่บ้าง ดวงตาจึงฉายแววประหลาดใจที่แทบจะสังเกตไม่เห็นออกมา

“คนแซ่ซุน ตอนนี้เจ้าบาดเจ็บไม่น้อยแล้วยังคิดใช้โลหิตบริสุทธิ์กระตุ้นสมบัติระดับนี้อีก จะพินาศไปด้วยกันทั้งหมดหรืออย่างไร จะว่าไปแล้วเจ้าก็ลอบเล่นงานพวกข้าก่อน หากยอมทิ้งสมบัติในที่แห่งนี้ พวกเราก็ไม่ใช่ว่าจะลองคิดปล่อยพวกเจ้าไปไม่ได้ ถึงอย่างไรหากเป็นเช่นนี้ต่อ พวกเจ้าก็ไม่ได้ประโยชน์อันใด หลักการที่ว่านกกับหอยตีกัน ชาวประมงรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ เจ้าน่าจะเข้าใจ”

ขณะที่ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนเตรียมเรียกดาบยาวสีเลือดออกมา บุรุษจมูกอินทรีพลันสีหน้าเปลี่ยนไป ร่างกายขยับวูบถอยหลังหลายก้าว เริ่มเอ่ยเจรจาสงบศึกก่อนทันที

ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจและมนุษย์ที่กำลังต่อสู้อยู่ได้ยินคำนี้ล้วนเงี่ยหูฟัง มือที่เคลื่อนไหวอยู่เชื่องช้าลงพร้อมกันอย่างไม่ได้นัด

ไม่ว่าอย่างไรเวลานี้ทั้งสองฝ่ายก็เสียพลังเวทไปไม่น้อยแล้ว หากหยุดต่อสู้ได้ย่อมดีที่สุด

ชั่วขณะหนึ่งความสนใจของคนทั้งหมดล้วนรวมอยู่ที่ตัวผู้ฝึกฝนแซ่ซุน

ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนฟังแล้วก็คิ้วขมวดเล็กน้อยยืนอยู่ที่เดิม เขาไม่ได้ส่งการโจมตีออกมาแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูด เขาเพียงมองดาบโลหิตในมือแล้วทันใดนั้นมุมปากก็ผุดรอยยิ้มประหลาด

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ สองตาพลันหรี่ลงทันที

ในเวลานี้เอง เรื่องไม่คาดฝันก็บังเกิดขึ้น!

“บึ๊ม” “บึ๊ม” เสียงดังสนั่นขึ้นหลายครั้ง พื้นดินข้างใต้พวกเขาฉับพลันปริแยก เสาหยกสีแดงสดหนาหนึ่งจั้งกว่าเจ็ดต้นพุ่งขึ้นมาบนท้องฟ้า!

เส้นไหมแวววาวสีเลือดเส้นแล้วเส้นเล่าพุ่งออกมาจากเสาหยกกลายเป็นม่านแสงสีเลือดชั้นหนึ่งล้อมพวกเขาไว้ข้างใต้ในพริบตา

ในเวลาเดียวกันนี้ผู้ฝึกฝนทั้งหลายต่างรู้สึกว่าเลือดและปราณในร่างปั่นป่วน “พรวด” โลหิตบริสุทธิ์ทะลักผ่านผิวหนังออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้แล้วจมเข้าไปในเสาทั้งเจ็ดต้น กระทั่งผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้สามคนก็ไม่เว้น

ผู้ฝึกฝนทั้งหลายเห็นเช่นนี้ย่อมสับสนวุ่นวาย บางคนหยุดการกระทำแล้วปล่อยอาวุธเวทป้องกันออกมาทันที บางคนใช้วิชาโจมตีม่านแสงสีเลือด แต่ม่านแสงนี้ทนทานยิ่งนัก ชั่วครู่ชั่วยามไม่อาจทำลายได้เลย

ที่แห่งนั้นโกลาหลทันที มีผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าเป็นระยะ

หลิ่วหมิงก็ตกใจเช่นกัน เขารู้สึกว่ามีแรงดูดรุนแรงส่งมาจากทั่วทุกสารทิศ โลหิตบริสุทธิ์ในร่างปั่นป่วนทะลักออกไปด้านนอก

สองมือเขาใช้เคล็ดวิชาในทันใด คิดจะใช้พลังเวทในร่างฝืนกดโลหิตบริสุทธิ์ที่รั่วออกไปข้างนอก แต่แทบไม่มีประโยชน์ โลหิตบริสุทธิ์สายแล้วสายเล่ายังคงสาดออกไปจากทั่วร่าง

ครู่หนึ่งหลังจากนั้นหลิ่วหมิงก็ร่วงหล่นจากท้องฟ้ากระแทกบนพื้นหนักหน่วงดัง “ตุ้บ” แล้วแน่นิ่ง

เวลาชั่วหนึ่งมื้ออาหารหลังจากนั้น ด้านในม่านแสงสีเลือด นอกจากผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้สามคน คนอื่นก็ล้วนร่วงลงไปสิ้น

แม้สยงเยวี่ยกับบุรุษจมูกอินทรีสองตนจะยังลอยอยู่บนท้องฟ้า แต่โลหิตเป็นสายก็ผุดออกมาจากทั่วร่างเช่นกัน พวกเขาร่างกายโงนเงน สีหน้าตกตะลึงระคนกราดเกรี้ยว

“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่ามาจนถึงตอนนี้แล้วยังจะเจรจาสงบศึก นี่ไม่เหมือนวิถีของเผ่าปีศาจระดับสูงของแผ่นดินหมายฮวงเอาเสียเลย! ดูท่าเวลาผ่านไปนานปีพวกเจ้าเผ่าปีศาจจะเริ่มรักตัวกลัวตายขึ้นมาเหมือนกันแล้ว” ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนที่มีเลือดผุดออกมาทั่วร่างดุจเดียวกันฉับพลันหัวเราะเย็นชาน่าขนลุก

สิ้นเสียงเขาก็ทำท่ามือด้วยมือข้างเดียว ดาบยาวสีเลือดในมือส่งเสียงดัง “ปัง” แล้วพังทลายกลายเป็นอสรพิษน้อยสีเลือดตัวแล้วตัวเล่ามุดเข้าไปในร่างของเขา

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ
Status: Ongoing
เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset