หลังเหาะออกจากโลกใต้ดิน หลิ่วหมิงก็ยืนอยู่ตรงหน้าเสาศิลาสีน้ำเงินสองต้น เขาพลิกมือเรียกคัมภีร์หยกที่ชายหนุ่มแซ่หลี่ทิ้งเอาไว้ให้เมื่อตอนนั้นออกมาแนบกับหน้าผาก
ยามนั้นเขาไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ แต่ยามนี้ชายหนุ่มแซ่หลี่กับศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับผู้นั้นสิ้นชีพไปแล้วทั้งคู่ อีกทั้งตนก็เสียเวลามากกว่าที่คิดไว้ไปกับการหลอมมุกบรรพตธารา แทนที่จะไปตามหาแล้วกลับไปรวมตัวกับคนของนิกายยอดบริสุทธิ์ ไม่สู้ไปค้นหาด้วยตนเองก่อนสักหน่อยดีกว่า
ในเมื่อตอนแรกชายหนุ่มแซ่หลี่คิดว่าผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนสามคนสามารถเข้าไปในที่แห่งนี้ได้ คิดว่าสถานที่แห่งนี้ก็คงไม่อันตรายนัก ตอนนี้เขามีมุกบรรพตธาราอยู่ในมือแล้ว ขอเพียงระวังสักหน่อยก็น่าจะไม่มีปัญหาอันใด
หลังจากคิดเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็แหวกท้องฟ้ามุ่งไปยังทิศทางที่คัมภีร์หยกบันทึกไว้
ห่างจากแดนน้ำแข็งขั้วโลกไปหลายหมื่นลี้คือป่าทึบขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง
หากมองลงมาจากบนท้องฟ้า ป่าทึบทั้งผืนแลดูเหมือนสีเขียวเข้มหนาทึบแถบหนึ่ง แต่หากเข้าไปในป่าทึบกลับจะเห็นภาพอีกแบบ
ผืนป่าสีสันละลานตา เถาวัลย์สีเลือดเส้นแล้วเส้นเล่าเลื้อยพันบนลำต้นหนา บนกิ่งไม้แมลงน้อยสีทองขนาดเท่าเล็บมือตัวแล้วตัวเล่าคลานไต่ ผลไม้ขนาดเท่ากำปั้นผลแล้วผลเล่าห้อยอยู่บนกิ่งไม้ดุจดั่งโคมไฟ
ผลไม้เหล่านี้แผ่แสงจิตวิญญาณอ่อนโยนออกมาเลือนรางส่องป่าทึบทั้งผืนให้สว่างไสว
ลำแสงสีม่วงสายหนึ่งพุ่งรวดเร็วผ่านท้องฟ้าเหนือป่าทึบ ด้านในลำแสงคือหลิ่วหมิงผู้สวมชุดสีน้ำเงินบนกระบี่บินสีม่วงเล่มหนึ่งที่กำลังชะเง้อมองรอบด้านด้วยสีหน้าระแวดระวัง
เขาออกจากซากโบราณสถานแล้วเดินทางมาถึงที่แห่งนี้จากตำแหน่งที่ทำเครื่องหมายไว้ในคัมภีร์หยกของชายหนุ่มแซ่หลี่ ผสมกับสิ่งที่บันทึกอยู่ในแผนที่ของนิกาย
จากที่เขาคาดการณ์ หากข้ามผ่านป่าทึบผืนนี้ไปก็น่าจะถึงที่หมายแล้ว
ส่วนสภาพด้านในป่าทึบ เขาส่งจิตสัมผัสออกไปสำรวจแต่ไกลแล้วรอบหนึ่ง แมลงจิตวิญญาณเหล่านั้นเป็นเพียงแมลงจิตวิญญาณระดับต่ำที่พบได้บ่อยมาก ผลไม้ที่ราวกับโคมไฟนั้นใช้มาทำอาหารระดับต่ำให้แก่อสูรเลี้ยงได้ แต่สำหรับเฟยเอ๋อร์และเซียเอ๋อร์ที่ระดับผลึกแล้วแทบจะไม่มีประโยชน์อันใด
แต่ความกว้างของป่าทึบผืนนี้ผิดจากที่หลิ่วหมิงคาดอยู่มาก เขาขี่กระบี่เหาะมาสองชั่วยามกว่าแล้ว แต่ยังมองไม่เห็นสุดปลายป่าทึบเสียที
ในเวลานี้เองอากาศเบื้องหน้าก็เกิดคลื่นสั่นสะเทือน ท้องนภาทั้งผืนฉับพลันสั่นไหว ปราณจิตวิญญาณอันมีเอกลักษณ์ลอยผ่านมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ มือก็ทำท่าเคล็ดวิชาทันที กระบี่ขู่หลุนใต้เท้าส่งเสียงกังวานใส มันสั่นไหววูบหนึ่งแล้วหยุดอยู่ที่เดิมกลางอากาศ
เขาปล่อยจิตสัมผัสกวาดออกไปเบื้องหน้า แล้วพบว่าตำแหน่งหนึ่งห่างไปร้อยกว่าลี้มีแผ่นดินจุดหนึ่งถล่มอยู่ ปราณจิตวิญญาณปริมาณมากทะลักออกมาด้านนอกไม่หยุด
หลังจากหลิ่วหมิงครุ่นคิดเล็กน้อย เขาก็เก็บกระบี่ขู่หลุนใต้เท้าแล้วเหยียบเมฆดำก้อนหนึ่งเหาะไปยังใจกลางคลื่นสั่นสะเทือนของปราณจิตวิญญาณอย่างช้าๆ
ระยะทางไม่กี่ร้อยลี้สำหรับเขาแทบจะมาถึงได้ในพริบตา ยามนี้เขาจึงค้นพบว่าใจกลางแผ่นดินที่เห็นชัดว่าเพิ่งถล่มไปไม่นานมีต้นไม้ยักษ์สูงเสียดฟ้าเส้นผ่านศูนย์กลางหลายสิบจั้งต้นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่
ส่วนรากของต้นไม้ยักษ์มีโพรงมหึมาอยู่โพรงหนึ่ง รอบด้านเห็นร่องรอยชั้นจำกัดที่ถูกคนทำลายอยู่รางๆ ดูแล้วคงมีคนมาถึงก่อน
ในสิบส่วนมีแปดเก้าส่วนที่สถานที่นี้น่าจะเป็นที่ตั้งซากโบราณสถานแห่งนั้นที่ผู้ฝึกฝนแซ่หลี่บอก เพียงแต่เหมือนจะมีคนมาถึงก่อนแล้วก้าวหนึ่ง แล้วยังถล่มพื้นดินบริเวณใกล้ๆ จากด้านในจรดด้านนอกก่อนจะหนีไปไกลอีกด้วย
ยามนี้แมลงน้อยสีทองเหล่านั้นบนพื้นกำลังเรียงแถวคลานเข้าไปในโพรงต้นไม้ราวกับว่ามีบางสิ่งด้านในกำลังดึงดูดพวกมัน
หลิ่วหมิงสีหน้าอึมครึม แต่ในเมื่อมาถึงที่แห่งนี้แล้วเขาย่อมไม่อยากกลับไปมือเปล่าเช่นนี้ หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งเขาก็ร่อนลงไปยังส่วนฐานของต้นไม้ยักษ์ทันที
หลังจากเขามั่นใจแล้วว่ารอบด้านไม่มีสิ่งผิดปกติอย่างใดก็ขยับร่างหายเข้าไปในโพรงต้นไม้
ผลปรากฏว่าทันทีที่เข้าไปในโพรงไม้ก็พบว่าด้านในเป็นสถานที่ซึ่งแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง มันเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในต้นไม้ยักษ์
ห้องโถงกว้างขวางอย่างยิ่ง มีโต๊ะ เก้าอี้ ชั้นวางของที่แกะสลักจากไม้อยู่ครบถ้วนด้านใน ด้านหลังห้องโถงใหญ่มีทางเดินเส้นหนึ่งวนขึ้นไปด้านบนกับทางเดินเส้นหนึ่งที่วนลงไปด้านล่าง
หลิ่วหมิงหรี่ตาเล็กน้อย เขาปล่อยจิตสัมผัสออกไปหมายจะสำรวจโดยสัญชาตญาณ แต่เมื่อจิตแผ่ไปตามทางเดินด้านบนและด้านล่างไกลสิบกว่าจั้ง มันก็ถูกชั้นจำกัดบางประเภทขวางไว้
เขาจนปัญญาจึงได้แต่เดินตามทางเดินขึ้นไปด้านบน
หลังจากสำรวจพักหนึ่งก็ปรากฏว่ามีห้องที่ซ่อนอยู่ในต้นไม้ยักษ์แบบเดียวกันอีกสิบกว่าห้องตามทางเดินที่วนขึ้นไปด้านบนเส้นนี้
ประตูของแต่ละห้องถูกทำลายอยู่ก่อนแล้ว ทว่าบนบานประตูล้วนมีชั้นจำกัดปิดกั้นขนาดเล็กอยู่ ไม่แปลกที่จิตสัมผัสไม่อาจแทรกเข้าไปด้านในได้
หลังจากหลิ่วหมิงใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง เขาก็กลับไปยังประตูห้องแรกแล้วก้าวเท้าเดินเข้าไป
นี่เป็นห้องขนาดราวหนึ่งหมู่กว่าห้องหนึ่ง ด้านในมีห้องลับขนาดเล็กที่แยกออกไปหลายห้อง ไข่แมลงขนาดน้อยใหญ่กับอาหารกระจายเกลื่อนอยู่บนพื้น มองปราดเดียวก็รู้ว่าที่นี่เคยเป็นห้องลับที่ใช้เลี้ยงแมลงจิตวิญญาณ
ดูจากโครงสร้างแล้วที่นี่คงจะเคยเลี้ยงแมลงจิตวิญญาณมากมายหลายสิบชนิดเป็นอย่างน้อย ทว่ายามนี้เรียกได้ว่าระเนระนาดไปหมด ภายในห้องลับถูกปล้นไปจนเกลี้ยงก่อนแล้ว ทั่วทุกแห่งมีแต่ถุงแมลงกับกำไลอสูรถูกทิ้งไว้ แมลงน้อยสีทองที่คลานเข้ามาจากนอกโพรงกำลังรวมตัวยั้วเยี้ยกัดกินไข่แมลงจิตวิญญาณที่ตายแล้วกับอาหารที่เหลือเหล่านี้อย่างเพลิดเพลิน
หลิ่วหมิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นกวักเก็บไข่แมลงบนพื้นขึ้นมา จากนั้นหมุนตัวไปที่ห้องลับห้องอื่น ค้นหาแต่ละห้องอย่างไม่เหนื่อยหน่าย
หลังจากเวลาชั่วหนึ่งมื้ออาหาร หลิ่วหมิงที่อยู่ด้านในห้องโถงใหญ่ของโพรงถ้ำก็มองแมลงจิตวิญญาณกับศพอสูรจิตวิญญาณที่กองอยู่ตรงหน้าพลางยิ้มจืดเจื่อน
ผู้ที่ชิงมาถึงก่อนคนนี้กวาดเรียบเกินไปแล้ว นอกจากศพแมลงจิตวิญญาณกับอสูรจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งที่พบก็มีแต่ไข่ฝ่ออีกจำนวนหนึ่ง นอกเหนือจากนี้ก็ไม่เหลือของมีค่าอันใดไว้เลย
กระทั่งสองห้องด้านบนสุดของต้นไม้ยักษ์ซึ่งเป็นห้องนอนกับห้องฝึกวิชาก็ว่างโล่งโจ้ง กระทั่งหญ้าจิตวิญญาณสักต้นก็ไม่เห็น
หลิ่วหมิงผู้ไม่ได้สิ่งใดมาสักอย่าง ได้แต่เก็บแมลงจิตวิญญาณ ศพของอสูรจิตวิญญาณรวมถึงไข่ที่ตายแล้วของแมลงและอสูรนานาชนิดซึ่งตกกระจายเกลื่อนในห้องเหล่านี้มา หวังว่าศพกับไข่ฝ่อเหล่านี้จะมีค่าอยู่บ้าง ภายหน้าออกจากเศษซากโลกบนอาจใช้เติมให้ครบจำนวนที่ต้องส่งมอบแก่นิกาย หรือขายพวกมันเป็นวัตถุดิบหลอมอาวุธแลกหินจิตวิญญาณ เช่นนี้จึงจะไม่ถึงกับมาที่นี่แล้วกลับไปมือเปล่า
เขาแยกประเภทสิ่งของด้านหน้าแล้วเก็บเข้าไปในแหวนย่อส่วน จากนั้นเดินเข้าไปในทางเดินวนที่มุ่งลงไปเบื้องล่าง
เป็นเหมือนที่คิด ด่านล่างมีห้องอยู่ห้าห้อง สภาพคล้ายคลึงกับห้องด้านบนเป็นส่วนใหญ่
ทว่าเมื่อหลิ่วหมิงเดินเข้าไปในห้องลับห้องสุดท้าย เตรียมตัวจะเก็บไข่ฝ่อที่ร่วงอยู่เกลื่อนพื้น ทันใดนั้นเสียงของเซียเอ๋อร์ก็ดังขึ้นมาจากในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ
“นายท่านช้าก่อน….ลมปราณที่นี่ผิดปกติเล็กน้อย ทันทีที่ข้าเข้ามาที่นี่ก็ตัวสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เหมือนมีศัตรูธรรมชาติที่ข่มข้าได้อยู่”
ในถ้อยคำของเซียเอ๋อร์เต็มไปด้วยความหวาดกลัวล้ำลึก
“ศัตรูธรรมชาติ?” หลิ่วหมิงได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“นายท่าน ข้าก็สัมผัสได้ถึงลมปราณที่ไหลมารวมกันในที่แห่งนี้ แม้จะเบาบาง แต่ก็ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายอย่างยิ่ง” เสียงที่ติดจะหวาดกลัวเช่นเดียวกันของเฟยเอ๋อร์ดังออกมาจากในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณอีกใบหนึ่ง
“อ้อ?”
เขาตระหนักถึงพลังในการค้นหาสมบัติของเซียเอ๋อร์มานานแล้ว ยามนี้เฟยเอ๋อร์ยังเอ่ยเช่นนี้อีก นี่ทำให้หลิ่วหมิงยิ่งรู้สึกสงสัย เขารีบกวาดสายตามองภายในห้องอย่างละเอียดอีกครั้ง
ภายในห้องอสูรเลี้ยงห้องนี้ มีไข่อสูรที่ส่องแสงสีทองเรืองๆ ร่วงเกลื่อนพื้นระเกะระกะอยู่แถบหนึ่ง จากที่เขารู้พวกนี้ล้วนเป็นไข่ของปีศาจอสูรที่ชื่อว่าอสูรไก่ทองคำสามมงกุฎ อีกทั้งลมปราณแทบไม่เหลือ เห็นชัดว่าเป็นไข่ที่ตายแล้ว
จะว่าไปแล้ว อสูรไก่ทองคำสามมงกุฎก็เป็นอสูรจิตวิญญาณธาตุไฟที่ค่อนข้างจะธรรมดาชนิดหนึ่ง แม้บนแผ่นดินจงเทียนจะไม่ค่อยพบนัก แต่ก็ไม่ใช่ของหายากอันใด ในตลาดอสูรจิตวิญญาณธรรมดาล้วนมีขายไข่พวกนี้ หินจิตวิญญาณแสนก้อนเศษก็ซื้อสักฟองได้
หลังจากเลี้ยงดูอสูรตัวนี้อย่างใส่ใจ เมื่อโตเต็มที่พลังอาจบรรลุถึงระดับของเหลวจิตวิญญาณ นิสัยมันดุร้ายอย่างยิ่ง โดยทั่วไปตระกูลหรือนิกายจะซื้อหามาใช้เพิ่มพูนประสบการณ์การต่อสู้จริงให้แก่ศิษย์ระดับของเหลวจิตวิญญาณ ไม่มีทางทำให้เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ที่เข้าสู่ระดับผลึกนานแล้วหวาดกลัวได้แต่อย่างใด
หลิ่วหมิงใช้จิตสัมผัสกวาดผ่านไข่แต่ละฟองอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบความผิดปกติประการใด แล้วก็ไม่พบไข่อสูรที่ลมปราณแข็งแกร่งด้วย
ดังนั้นเขาจึงตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอว ไอหมอกสีดำกับสีเขียวม้วนตัวลอยออกมา พวกมันหมุนติ้วแล้วก่อตัวเป็นร่างของเซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์
“ในเมื่อพวกเจ้าสองตัวสัมผัสถึงการมีอยู่ของมันได้ก็หามันออกมาเถอะ” หลิ่วหมิงเอ่ยสั่ง
“รับคำสั่ง นายท่าน” เฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์เอ่ยตอบเป็นเสียงเดียวกัน
จากนั้นอสูรเลี้ยงทั้งสองตัวก็เริ่มก้มตัวตรวจสอบไข่อสูรบนพื้นทีละฟองอย่างละเอียด
เวลาผ่านไปพักหนึ่ง ทันใดนั้นเฟยเอ๋อร์ก็ถือไข่อสูรที่ส่องแสงสีทองเรืองๆ ฟองหนึ่ง วิ่งส่ายไปมาเข้ามาหาหลิ่วหมิง
“นายท่าน ข้าหาเจอแล้ว ฟองนี้แหละ!”
เซียเอ๋อร์เห็นเช่นนี้ก็รีบโยนไข่ฝ่อในมือทิ้ง ปราณดำม้วนรอบตัวแล้วไปปรากฏตัวใกล้ๆ เฟยเอ๋อร์ทันที หลังจากนางเพ่งมองไข่สีทองในมือเขาก็ถอยหลังก้าวหนึ่งด้วยความหวาดกลัวอย่างลึกล้ำ
“ไม่ผิด นายท่าน ไข่อสูรฟองนี้แหละเจ้าค่ะ”
หลิ่วหมิงขยับนิ้วคีบไข่อสูรออกจากในมือเฟยเอ๋อร์ ยกขึ้นมาพินิจดูตรงหน้าอย่างละเอียด
ไข่ฟองนี้เล็กกว่าไข่ไก่อยู่เล็กน้อย ทั้งฟองเป็นสีทองอ่อน บนไข่อสูรมีลายจุดสีขาวจางๆ อยู่จำนวนหนึ่ง ลมปราณที่มันแผ่ออกมาเดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวเลือนหาย คล้ายคลึงเล็กน้อยกับไข่เทพอสูรฟองนั้นที่ได้มาจากเผ่าเจ้าสมุทรเมื่อตอนนั้น
ไข่ฟองนี้นอกจากเล็กกว่าไข่อสูรไก่ทองคำสามมงกุฎทั่วไปอยู่นิดหน่อยแล้วก็ไม่มีสิ่งใดแตกต่าง และการที่ไข่อสูรขนาดไม่เท่ากันก็เป็นเรื่องที่พบเห็นบ่อยอย่างที่สุด ไม่อาจใช้สิ่งนี้ตัดสินได้ว่าเป็นอสูรกลายพันธุ์อะไร
หลิ่วหมิงใช้จิตสัมผัสกวาดผ่านไข่ฟองนี้อีกครั้ง ด้านในเป็นพลังที่สับสนยุ่งเหยิง ไม่มีจุดที่ผิดปกติแม้แต่น้อย
แต่ในเมื่อเฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์ล้วนสัมผัสความผิดปกติบางประการจากมันได้ เขาย่อมไม่กล้าเมินเฉย
หลังจากนั้นเขาจึงลองสารพัดวิธีเช่นถ่ายเทพลังเวทเข้าไปด้านในตัวมันหรือใช้ยันต์พิเศษสำหรับจำแนกระดับอสูรจิตวิญญาณแยกแยะ แต่ก็ไม่ได้ผลลัพธ์ที่แน่ชัดแต่ประการใด
หลังผ่านไปชั่วจิบชา หลิ่วหมิงก็ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาอยู่บ้าง
“นายท่าน พวกเราก็ไม่รู้เช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไข่อสูรฟองนี้…” เฟยเอ๋อร์เห็นเช่นนี้ก็เกาศีรษะแล้วเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความงุนงง