“เปลี่ยนค่ายกลผลึกเกลียวคลื่นเป็นรูปแบบป้องกัน ค่ายกลผลึกเกลียวคลื่นเคยขังและสังหารผู้ฝึกฝนระดับดาราพยาการณ์มาก่อนแล้ว คนผู้นี้เพิ่งเข้าสู่ระดับดาราพยากรณ์ ไม่มีค่าให้กังวลสักนิด!” สตรีต่างเผ่าระดับแก่นแท้นางนั้นตวาดเสียงดังอย่างตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว นางอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์สีฟ้าออกมาคำหนึ่งผสานเข้าไปในเกราะแสงค่ายกลเบื้องล่าง
เกราะแสงสีฟ้าที่สั่นไหวอย่างรุนแรงมั่นคงขึ้นในทันใด
ชายหนุ่มระดับแก่นแท้ผู้ครองหอกสีฟ้าไม่พูดพร่ำอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์คำแล้วคำเล่ากลายเป็นหมอกโลหิตจมลงไปในค่ายกลเช่นกัน ในเวลาเดียวกันผู้ฝึกฝนเผ่าเกล็ดผลึกด้านล่างก็พากันทำท่าเคล็ดวิชาท่าแล้วท่าเล่า เคลื่อนพลังเวททั้งหมดกรอกเข้าไปในค่ายกลผลึกเกลียวคลื่น
เกราะแสงสีฟ้าฉับพลันส่องแสงสว่างจ้า บนผิวเกิดประกายสายฟ้าดังชี่ ต้านการโจมตีของลำแสงสีทองเอาไว้
จินเทียนชื่อหลับตาทั้งสองข้างแน่น สองมือเคลื่อนดุจเมฆาสายน้ำไหลประสานท่าเคล็ดวิชาท่าแล้วท่าเล่า ลำแสงสีทองสิบสองสายที่แผ่ออกมาจากร่างสว่างขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าคนของเผ่าเกล็ดผลึกพยายามถ่ายเทพลังเวทเข้าไปในค่ายกลผลึกเกลียวคลื่นอย่างไร ลำแสงสีทองก็ยังกดประกายสายฟ้าทั้งหลายที่ปะทุออกมาจากเกราะแสงสีฟ้าไว้
“เปิด!”
จินเทียนชื่อลืมตาโพลง สองแขนหยุดนิ่ง ลำแสงสีทองสิบสองสายที่มีตัวเขาเป็นศูนย์กลางรวมตัวกันกลายเป็นพายุหมุนสีทองสิบสองลูกแล้วหมุนวนอย่างรวดเร็ว
ท้องนภาด้านบนที่เต็มไปด้วยหมอกเมฆปั่นป่วนประหนึ่งน้ำเดือด มวลเมฆโกลาหล แสงดาวกลางท้องฟ้าทอแสงเจิดจ้าขึ้นฉับพลัน
ชั้นเมฆทั้งหมดบนท้องฟ้าแหวกออก พายุหมุนแสงดาวขนาดมหึมาอย่างยิ่งสิบสองลูกปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้า เข้าคู่กับพายุหมุนสีทองสิบสองลูกเบื้องล่าง
ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้สองตนของเผ่าเกล็ดผลึกเห็นภาพนี้ในที่สุดก็หน้าถอดสี แรงกดดันมหาศาลสายนี้บนท้องนภาไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาทั้งสองจะต้านทานได้อย่างแน่นอน ต่อให้รวมค่ายกลผลึกเกลียวคลื่นก็ไม่อาจต้านได้แม้แต่น้อย!
ทั้งสองตนสบตากันแล้วรีบวาดสองมือ แสงสีฟ้าบนร่างส่องสว่าง เกราะป้องกันสีฟ้าชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นก่อนที่ทั้งสองจะเหาะเร็วไวมุ่งไปไกลโดยไม่สนใจสหายร่วมเผ่าสิบกว่าตนด้านล่าง
จินเทียนชื่อแววตาเฉยชา ในขณะที่สองมือประสานเคล็ดวิชาเหมือนช้าแต่ที่จริงว่องไว พายุหมุนมหึมาสองลูกจากสิบสองลูกกลางอากาศเกิดประกายแสงดาวสีทองจุดแล้วจุดเล่าจากตรงกลาง แสงรัศมีแสบตาส่องสว่างวูบหนึ่งแล้วยิงแสงดาวสีทองเส้นหนาอย่างยิ่งสองเส้นลงมาในทันใด
บุรุษหอกสีฟ้ากับผู้ฝึกฝนสตรีระดับแก่นแท้เพิ่งเหาะออกมาไม่กี่ลี้ก็ถูกแสงดาวสีทองโจมตีอย่างแม่นยำยิ่งนัก
เสียงกรีดร้องโหยหวนสองเสียงดังขึ้น!
ครู่ต่อมาแสงดาวสีทองก็สลายไป ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจระดับแก่นแท้จากเผ่าเกล็ดผลึกทั้งสองตนหายไปอย่างสมบูรณ์
มาถึงตอนนี้เผ่าเกล็ดผลึกระดับผลึกสิบกว่าตนที่เหลือเพิ่งได้สติกลับมา หลังจากร้องตกใจครั้งหนึ่ง ไหนเลยยังจะสนใจรักษาค่ายกลไว้อีก พวกเขาพากันหมุนตัวหนีกระเจิงไปทันที
จินเทียนชื่อหัวเราะหยัน สิบนิ้วดีดเล็กน้อย พายุหมุนแสงดาวกลางท้องฟ้าพลันส่องแสงสว่างจ้า แสงดาวสีทองสิบกว่าสายร่วงลงมาอีกครั้ง โจมตีถูกผู้ฝึกฝนเผ่าเกล็ดผลึกทั้งหมดไม่พลาดสักตน
หลังจากเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น ผู้ฝึกฝนเผ่าเกล็ดผลึกทั้งหมดก็หายไปท่ามกลางแสงดาวสีทองไม่เว้นแม้สักตน
ครืน! ค่ายกลผลึกเกลียวคลื่นพังทลายลงพร้อมเสียงดังกึกก้อง แสงดาวแสบตาทั่วฟ้ากับพายุหมุนแสงดาวมหึมาสิบสองลูกกลางอากาศสลายตามไปอย่างเชื่องช้า
ในเวลาเดียวกันนี้พายุหมุนสีทองสิบสองลูกที่ออกมาจากร่างของจินเทียนชื่อก็พุ่งกลับไปราวกับวาฬดูดน้ำ พวกมันก่อตัวเป็นเงาธารดาราสีขาวยาวเฟื้อยเส้นหนึ่งด้านหลังเขา กลางธารดารามีดวงดาราสีทองสิบสองดวงเรียงเป็นแนวทอแสงระยิบระยับ ผิวของดาวแต่ละดวงมีภาพสัญลักษณ์เลือนรางไม่ชัดอยู่ภาพหนึ่ง
ธารดาราทั้งเส้นส่องแสงแสบตาดุจดวงตะวันทำให้คนไม่กล้ามองตรงๆ
พวกหลัวเทียนเฉิงตาโตอ้าปากค้างมองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ พวกเขาอ้าปากกว้างพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
จินเทียนชื่อสะบัดมือทั้งสองข้างยิงเคล็ดวิชาออกมาสายหนึ่ง ธารดาราสีขาวบนแผ่นหลังกะพริบวูบหนึ่งก็จมเข้าไปในร่างเขาอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์พี่จิน ท่าน…” จนตอนนี้หลัวเทียนเฉิงเพิ่งได้สติกลับมา เขาเหมือนยังไม่อยากจะเชื่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
“ข้าเข้าสู่ระดับดาราพยากรณ์แล้ว พลังแห่งกฎของเศษซากโลกบนกำลังจะบีบบังคับให้ข้าออกไป เวลาของข้ามีไม่มากมีเรื่องที่ต้องกำชับพวกเจ้า” จินเทียนชื่อเอ่ยอย่างเร็วไว
ระหว่างที่เขาเอ่ย อากาศเหนือศีรษะก็เริ่มบิดเบี้ยว รอยแยกมิติสีดำสนิทที่บิดเป็นเกลียวปรากฏขึ้นมาอย่างเชื่องช้า
“ตอนนี้เศษซากโลกบนอันตรายยิ่งนัก แม้พวกเจ้าจะมีความสามารถไม่เลว แต่อาศัยเพียงพวกเจ้าไม่กี่คนยากนักจะเอาชีวิตรอดในที่แห่งนี้ ศิษย์น้องเวิน ข้ามอบอำนาจให้เจ้าเป็นผู้นำกลุ่มพวกศิษย์น้องหลัวชั่วคราว พาพวกเขาไปรวมตัวกับศิษย์น้องฉิวในทันที อย่าได้บุ่มบ่ามเข้าไปใน…”
ยังเอ่ยไม่ทันจบ รอยแยกมิติด้านบนก็ระเบิดแสงแวววาวสายหนึ่งออกมา หอบร่างกายของจินเทียนชื่อหายไปในพริบตา
แสงสว่างกะพริบวูบเดียว จินเทียนชื่อก็พลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย
พลังมหาศาลสายหนึ่งสาดออกมา พวกหลัวเทียนเฉิงไม่มีกำลังต่อต้านแม้แต่น้อย พวกเขาต่างถูกซัดปลิวออกไป ยังดีที่พลังสายนี้ไม่ได้สำแดงเดชอันใด พวกเขาจึงไม่ได้ถูกทำร้ายตรงไหน
เมื่อพวกเขาตั้งหลักได้และมองไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง มิติที่บิดเป็นเกลียวก็หายไปไร้ร่องรอยนานแล้ว
หลัวเทียนเฉิง เวินเจิงและคนที่เหลือเห็นเช่นนี้ ในใจต่างหวาดผวาในทันใด
“ทุกท่าน ในเมื่อศิษย์พี่จินบอกแล้วเมื่อครู่ พวกเราก็ไปรวมตัวกับศิษย์พี่ฉิวเถิด” ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังเป็นหลัวเทียนเฉิงที่ทำลายความเงียบเอ่ยปากออกมาก่อน
ชายหนุ่มชุดน้ำเงินอีกสามคนได้ยินก็พยักหน้า แต่สีหน้าของเวินเจิงกลับแปลกไปเล็กน้อย
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น ลำแสงหลายสายก็แหวกอากาศมุ่งไปไกลอย่างรวดเร็ว
……
ณ เทือกเขาหมื่นวิญญาณ ด้านในห้องโถงใหญ่ใต้ดินบนยอดเขาหลัก เทียนเกอเจินเหรินกับผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์อีกสามคนยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเสาหินที่มีมังกรสีน้ำเงินเลื้อยพันของแต่ละคน พวกเขาหลับตาทำสมาธิอย่างนิ่งสงบ
ในตอนนี้เองแสงเรืองรองสีเขียวครามก็ทอแสงขึ้นวูบหนึ่งกลางค่ายกลมหึมาระหว่างเสาศิลาที่มังกรเลื้อยพันอยู่สี่ต้น จากนั้นเงาคนร่างหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา เขาก็คือจินเทียนชื่อนั่นเอง
“จินเทียนชื่อ ทำไมเจ้า…”
พริบตาที่ประกายแสงส่องสว่างในค่ายกล เทียนเกอเจินเหรินก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น เมื่อเห็นร่างของจินเทียนชื่อ ในดวงตาก็ฉายแววตกตะลึงเล็กน้อย
จากนั้นสีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นมา เขามองสำรวจจินเทียนชื่อตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วส่ายศีรษะ ถอนหายใจออกมา
“ดูเหมือนสุดท้ายเจ้าก็คลายผนึก”
“ศิษย์หลานจิน เจ้ากลับมาแล้ว” ผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์สามคนที่เหลือตอนนี้ก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นแล้วเหมือนกัน พวกเขามองจินเทียนชื่อที่ยืนอยู่ตรงกลางอย่างแปลกใจเล็กน้อย
“ท่านประมุข ผู้อาวุโสทุกท่าน ผู้แซ่จินทำงานที่ได้รับมอบหมายไม่ลุล่วง พวกเราพบเรื่องไม่คาดฝันบางประการในเศษซากโลกบน ข้าจึงไม่อาจคงผนึกในร่างไว้ได้” จินเทียนชื่อประสานมือคำนับไปรอบด้าน
ผู้อาวุโสทั้งสามคนฟังแล้วก็ตกตะลึง แต่ไม่ได้พูดอะไร
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?” เทียนเกอเจินเหรินดวงตาทอประกายวูบหนึ่งแล้วเอ่ยถามขึ้นมา
จินเทียนชื่อหัวเราะฝืดเฝื่อนออกมาทีหนึ่ง หลังจากนั้นจึงเล่าเรื่องที่พบมนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์ หลังจากนั้นถูกหู่ฉางไล่ล่าสังหารจนต้องคลายผนึกชั่วคราว ท้ายที่สุดถูกเผ่าเกล็ดผลึกล้อมโจมตีจนไม่อาจคงผนึกในร่างไว้ได้อีกออกมาอย่างย่อๆ
พวกเทียนเกอเจินเหรินฟังแล้ว สีหน้าก็แตกต่างกันไป
“ศิษย์คนอื่นตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” เทียนเกอเจินเหรินคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยถามเสียงขรึม
“มีศิษย์หลายคนสิ้นชีพระหว่างการต่อสู้กับมนุษย์ปีศาจจากแผ่นดินว่านหมัวและพวกต่างเผ่า ส่วนศิษย์น้องหลิ่วจากยอดเขาลั่วโยวหายตัวไปหลังจากถูกผู้ฝึกฝนเผ่าหมาป่าเงากับเผ่าพยัคฆ์เงินจากแผ่นดินหมานฮวงซุ่มโจมตี ไม่ทราบเช่นกันว่าตอนนี้เป็นอย่างไร” จินเทียนชื่อเล่าสถานการณ์ของคณะเดินทางที่เศษซากโลกบนอย่างสั้นๆ
เทียนเกอเจินเหรินได้ยินพลันคิ้วขมวดเล็กน้อย เขาส่ายหน้าเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“ไม่คิดเลยว่าที่เศษซากโลกบนจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันมากมายเช่นนี้ แต่เรื่องราวดำเนินมาถึงตอนนี้ เสียดายไปก็ไร้ประโยชน์ เจ้าเพิ่งเลื่อนเข้าสู่ระดับดาราพยากรณ์ พลังยังไม่มั่นคง กลับไปทำให้มั่นคงสักหน่อยเถอะ”
จินเทียนชื่อพยักหน้า เขาประสานมือให้สี่คนที่นั่น จากนั้นแสงสีทองก็สว่างขึ้นรอบร่างแล้วหายไปจากที่เดิม
……
หนึ่งเดือนให้หลัง
ภายในห้องศิลาของพระราชวังใต้ดินที่เดิมทีเงียบสงบฉับพลันมีเสียงหัวเราะลั่นของหลิ่วหมิงดังขึ้น
เขายืนอยู่กลางห้องศิลา ในมือถือมุกกลมสีเหลืองขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดี
บนมุกกลมสีเหลืองสลักยันต์เล็กจิ๋วประณีตตัวแล้วตัวเล่าและแผ่ปราณจิตวิญญาณน่าตะลึงสายหนึ่งออกมา
หากพิจมองให้ละเอียดก็จะพบว่าด้านในมุกกลมมองเห็นภูเขาลูกใหญ่สีเหลืองที่ดูประหนึ่งมีชีวิตลูกหนึ่งกับแม่น้ำใหญ่สีดำสนิทดั่งหมึกสายหนึ่งที่ล้อมพันอยู่ได้อย่างชัดเจน แลดูลี้ลับยิ่งนัก
ใช้เวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ ในที่สุดเขาก็หลอมมุกบรรพตธาราลูกนี้ได้สำเร็จ
จะว่าไปแล้วอาวุธชิ้นนี้ก็ยังเป็นแค่ของที่เสร็จสมบูรณ์เพียงครึ่งเดียว แต่กระบวนการหลอมกลับยาวนานและยากเย็นนักจนทำให้ตอนนี้เขานึกย้อนไปก็หวาดเสียวอย่างยิ่ง
หากไม่มีเตาหล่อหลอมจิตวิญญาณช่วยเสริมพลังจิตวิญญาณในไข่มุกให้มั่นคง สมบัติชิ้นนี้ก็คงระเบิดตัวเองระหว่างการหลอมไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
อาวุธเวทที่เสร็จสมบูรณ์แค่ครึ่งเดียวกลับต้องเปลืองเวลายาวนานปานนี้ เป็นเรื่องที่หลิ่วหมิงผิดคาดและจนปัญญายิ่งนัก!
เพราะทันทีที่เริ่มหลอมอาวุธชิ้นนี้ เขาก็วางมือไปกลางคันไม่ได้ เมื่อคิดขึ้นว่าอาวุธเวทชุดนี้หากลูกใดลูกหนึ่งเสียหายไป หลังจากนี้พลังจะลดทอนลงมาก เขาก็ได้แต่ดันทุรังอยู่ที่นี่ต่อ
แม้อาวุธชิ้นนี้จะหลอมสำเร็จแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อหลิ่วหมิงคิดถึงเวลาหนึ่งเดือนกว่าที่เสียไป ในใจก็ยังเจ็บปวด
เวลานานเช่นนี้ หากเขาอยู่นอกซากโบราณสถาน ไม่รู้ว่าจะหาสมบัติแห่งฟ้าดินเจอมากเท่าไรแล้ว
หากหลิ่วหมิงรู้ว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันเช่นนี้ ตีให้ตายเขาก็ไม่มีทางบุ่มบ่ามหลอมมุกบรรพตธาราลูกนี้เด็ดขาด
เวลานี้ที่เขาหัวเราะออกมาดังลั่น เหตุผลประการสำคัญก็เพราะในที่สุดก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่เปล่าๆ อีกแล้ว
หลังจากเสียงหัวเราะใต้ดินหยุดลง หลิ่วหมิงก็ถือมุกกลมในมือขึ้นมาอีกครั้งแล้วมองสำรวจอย่างละเอียดอีกหน
แม้เขายังไม่ได้ทดลองพลังของมุกบรรพตธาราลูกนี้ แต่แรงกดดันจิตวิญญาณที่แฝงเลือนรางอยู่ด้านในมุกลูกนี้ก็เหนือกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก
แต่เนื่องจากหยดพลังวารีมีเพียงสองหยด มุกบรรพตธาราลูกนี้จึงหลอมสำเร็จในขั้นต้นเท่านั้น วันหน้าหากหาหยดพลังวารีจำนวนมากพบแล้วเสริมเข้าไปด้านในจึงจะเลื่อนระดับกลายเป็นอาวุธเวทอย่างแท้จริง
“ยินดีกับนายท่านที่หลอมสำเร็จ!”
สักพักหนึ่งเซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ก็เหาะเข้ามาเอ่ยแสดงความยินดีเป็นเสียงเดียวกัน
จะว่าไปแล้ว อาจเป็นเพราะกลอุบายต่างๆ ที่อสูรเลี้ยงทั้งสองตัวใช้ได้ผล หรืออาจเพราะที่แห่งนี้เร้นลับจริงๆ หนึ่งเดือนมานี้จึงไม่มีคนนอกเข้ามารบกวนจนทำให้หลิ่วหมิงหลอมมุกบรรพตธาราสำเร็จ
พื้นที่พระราชวังหลังนี้และรอบด้านถูกเซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ค้นจนหมดทุกซอกทุกมุมนานแล้ว น่าเสียดายนอกจากมุกบรรพตธาราก็ไม่มีสมบัติอื่นอีก
ส่วนโครงกระดูกร่างนั้น เขาไม่ได้รบกวน เพียงเอาป้ายคำสั่งสีน้ำเงินแผ่นนั้นติดตัวไปด้วยเท่านั้น คิดว่าเมื่อกลับไปนิกายหากมีเวลาว่างจะสืบค้นความเป็นมาสักหน่อย
หลิ่วหมิงชมอสูรเลี้ยงทั้งสองตัวสองสามประโยค แล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นกวักเก็บเฟยเอ๋อร์เข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ จากนั้นแสงสีดำรอบร่างก็ม้วนเขากับเซียเอ๋อร์เข้าไปด้านใน กะพริบวูบเดียวเหาะออกจากพระราชวังไป
เขาเก็บค่ายกลโปรดสัตว์ที่วางไว้รอบด้าน หลังจากนั้นเมฆสีเหลืองก็ลอยออกมาจากร่างของเซียเอ๋อร์ก่อนจะล้อมรอบตัวทั้งสองเอาไว้แล้วเหาะขึ้นไปบนพื้นดินด้านบนอย่างรวดเร็ว