สือชวนที่อยู่ในแสงสีแดงทำราวกับไม่ได้ยิน และพุ่งชนเข้าใส่เฟิงฉานโดยไม่ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย
“สือชวน เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือไง!”
เฟิงฉานหลบด้วยความตกใจ แต่ด้วยความโมโหทำให้ไอสีเทาพวยพุ่งออกมามากขึ้น ขณะเดียวกันแขนผอมแห้งข้างหนึ่งก็คว้าไปจับไหล่ของสือชวนไว้อย่างรวดเร็ว
เสียงดัง “เพล้ง!”
เฟิงฉานจับไหล่ของสือชวนไว้แน่น และหลังจากดวงตาเปล่งประกายแสงเย็นสะท้านออกมา เขาก็ออกแรงที่นิ้วมือทั้งห้าเพื่อคิดที่จะทำให้สือชวนได้รับความเจ็บปวด
แต่ฉากอันน่าตกใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว
เห็นชัดๆ ว่านิ้วทั้งห้าที่ดูราวกับตะขอเหล็กของเฟิงฉานจมลึกลงไปบนไหล่ของสือชวนหลายชุ่น แต่สือชวนกลับหันไปมองเขาด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก จากนั้นลูกตาดำที่ดูปกติก็เปลี่ยนเป็นยาวรี ก่อนที่จะสบถออกมา
“ไป…ตาย”
เสียงเพิ่งจะสิ้นสุดลง แขนข้างหนึ่งของสือชวนก็เคลื่อนไหวจนดูพร่ามัว ฝ่ามือที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีแดงเจาะเข้าไปตรงอกของเฟิงฉาน และคว้าเอาหัวใจสีแดงสดออกมาโดยที่มันยังเต้นอยู่
ดวงตาของเฟิงฉานเบิกกว้าง เขาก้มหน้ามองดูฝ่ามือที่เจาะเข้าไปบนหน้าอกของตนเอง และขยับปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่สามารถเปล่งเสียงใดๆ ออกมาได้
ร่างศพเหล็กที่เขาฝึกฝน ไม่อาจต้านทานการโจมตีของสือชวนได้
ความชั่วร้ายได้เผยออกมาบนใบหน้าของสือชวน ก่อนที่แขนอีกข้างจะเคลื่อนไหว แล้วนิ้วมือเยือกเย็นทั้งห้าก็กดลงบนหัวของเฟิงฉาน และบีบมันเข้าหากัน
เสียงดัง “โพละ!” ศีรษะของเฟิงฉานระเบิดออกมาราวกับแตงโม ด้วยระยะห่างอันใกล้นี้ทำให้สมองกว่าครึ่งหนึ่งแตกเป็นฟองและกระเด็นใส่ตัวของสือชวน
สือชวนดึงมือทั้งสองกลับมา หลังจากปล่อยซากศพที่อ่อนยวบยาบทิ้งไปแล้ว ก็เอาหัวใจใส่เข้าปากและกลืนลงไป จากนั้นก็แลบลิ้นยาวสีแดงอมม่วงออกมาเลียของเหลวสีขาวบนนิ้วมือ และจ้องมองอีกคนด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
เกาชงถูกฉากเมื่อครู่ทำให้ตกใจจนปากอ้าตาค้าง
ก่อนหน้านั้นที่เขากับเฟิงฉานสบตาสื่อความหมายกัน ก็เพื่อฉวยโอกาสรีดไถเอาผลประโยชน์จากสือชวนที่มาคนเดียว
เพราะเมื่อออกจากแดนลึกลับไป ทรัพยากรหนึ่งในสิบของที่หามาได้ทั้งหมดจะตกเป็นของตัวเอง ก่อนหน้านั้นพวกเขาเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ และเก็บพืชจิตวิญญาณมาได้ไม่มากนัก จึงคิดที่จะหาส่วนชดเชยจากสือชวน
แต่คาดไม่ถึงว่าศิษย์พี่ใหญ่แห่งสาขาเก้าทารกที่ควรจะรังแกได้ง่ายๆ กลับฆ่าเฟิงฉานอย่างโหดเหี้ยม พลังของเฟิงฉานแข็งแกร่งเพียงใดนั้นก็เป็นที่รู้ๆ กันอยู่ ถึงแม้เขาจะไม่ได้ระมัดระวังจนเป็นสาเหตุให้ถึงแก่ความตาย แต่พลังของฝ่ายตรงข้ามก็แข็งแกร่งจนยากที่จะรู้ได้
อย่างน้อยเกาชงก็รู้ดีว่า ต่อให้ตนเองใช้พลังปราณอันเข้มแข็ง ก็ไม่อาจทำลายร่างศพเหล็กของเฟิงฉานภายในระยะเวลาอันสั้นได้
แต่เมื่อเขาเหลือบไปเห็นลิ้นยาวสีแดงอมม่วงกับมือที่เต็มไปด้วยเกล็ดแล้ว สีหน้าเขาก็ซีดขาวขึ้นมา จากนั้นก็รีบหมุนตัวทะยานขึ้นฟ้าท่ามกลางหมอกโลหิตอันพวยพุ่งในทันที
มาถึงตอนนี้แล้วทำไมเขาจะไม่รู้ว่า ‘สือชวน’ ที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่สือชวนคนเดิม บางทีอาจจะกลายร่างมาจากสิ่งแปลกประหลาดอย่างอื่นก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้พอเขาค้นพบถึงความผิดปกติแล้วก็รีบหลบหนีไปทันทีโดยไม่ต้องพูดอะไรมาก
เกาชงมีชีพจรจิตวิญญาณพสุธาที่เป็นพรสวรรค์เลิศล้ำที่สุดในยุคนี้ จะยอมเสียชีวิตอยู่ในแดนลึกลับได้อย่างไร
‘สือชวน’ จ้องมองฉากนี้พร้อมกับค่อยๆ แยกปากจนถึงใบหูทั้งสองข้าง เผยให้เห็นคมเขี้ยวอันแหลมคมสองแถว จากนั้นก็สะบัดไหล่เล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะไล่ตามเกาชงไป
แต่ในขณะนั้นเอง เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง จากนั้นพื้นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนแยกออกจากกัน และเปลวเพลิงสีแดงจำนวนมากก็พุ่งขึ้นมาจากในนั้น
พอนิ้วมือปีศาจค้ำฟ้าที่อยู่ด้านหลังแยกออกจากกัน มันก็ทุบผ่านอากาศลงไปยังพื้นด้านล่าง ทำให้ปีศาจอสูรอ่อนแอมากมายที่ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้กลายเป็นชิ้นเนื้อเละๆ ในทันที เลือดสดๆ ไหลออกมาจากมือยักษ์เสียงดัง “จ๊อกๆ!”
เสียงดัง “ซิ้วๆ!” ไหมเงินพุ่งยิงออกมาเป็นจำนวนมากอีกครั้ง พริบตาเดียวมันก็เจาะเข้าไปยังคราบเลือด
สือชวนเห็นเช่นนี้ก็เผยแววตาอันหวาดกลัวออกมา จากนั้นก็เคลื่อนตัวกลายเป็นกลุ่มแสงสีแดงกลมๆ พุ่งไปยังด้านหน้า โดยละความคิดที่จะตามฆ่าเกาชงอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเกาชงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา แต่หลังจากที่หันหน้าไปดูมือยักษ์สีดำที่ทุบลงพื้นด้วยพลังมหาศาลอีกครั้ง ใจเขาก็รู้สึกสั่นสะท้าน จากนั้นก็กระตุ้นพลังเวทย์เพื่อหลบหนีอย่างสุดชีวิต
ทิศทางที่เขาไปย่อมห่างไกลจากทิศทางที่สือชวนไปเป็นอย่างมาก
……
หลิ่วหมิงไปตามเส้นทางที่บันทึกไว้บนแผ่นเข็มทิศจนออกมาจากโลกหิมะได้ และกลับมาอยู่บริเวณหุบเหวที่มีเสาหินเป็นจำนวนมากอีกครั้ง
ตอนนี้เขาถึงค่อยโล่งใจขึ้นมาบ้าง และก็หันกลับไปมองด้านหลังด้วยเช่นกัน มือยักษ์สีดำข้างนั้นยังคงทุบลงบนพื้นอย่างไม่รีบร้อน ไม่รู้ว่าภายในชั่วพริบตาจะมีปีศาจอสูรจำนวนเท่าไหร่ที่ถูกทุบจนเละเทะ
หลังจากที่มือยักษ์อันน่ากลัวทุบลงไปสิบกว่าครั้ง ก็ทำให้ต้นไม้สูงใหญ่ที่อยู่บริเวณนั้นล้มราบเป็นหน้ากลอง และก่อให้เกิดเป็นแอ่งขนาดใหญ่ที่ลึกสิบกว่าจั้ง
ดูเหมือนกับว่ามันจะไม่ยอมรามือถ้าไม่ได้สังหารปีศาจอสูรทั้งหมด
เมื่อหลิ่วหมิงเห็นฉากนี้ก็รู้สึกเย็นสะท้านขึ้นมา เขาสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่ลังเลก่อนที่จะมีเชือกสีดำม้วนตัวไปพันกับเสาหินที่อยู่ใกล้ที่สุด
ขณะเดียวกัน ตรงบริเวณอีกส่วนหนึ่งของขอบหุบเหว หลังจากที่หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วนางก็ดึงกระบี่ยาวหิมะขาวออกมาจากหลังในทันที หลังจากนั้นปราณกระบี่ก็พุ่งขึ้นไปในอากาศ ร่างของนางกลายเป็นแสงกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวก่อนที่จะพุ่งออกไปยังอีกฝั่งของหุบเหว
หลังจากกะพริบไม่กี่ทีแสงกระบี่ก็หายไป และหญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ก็ปรากฏตัวตรงอีกฝั่งของหุบเหวแล้ว
สีหน้าของนางซีดขาวเป็นอย่างมาก นางหันหน้าไปมองหลิ่วหมิวอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะทำท่ามือเรียกเมฆเทาออกมาแล้วขี่จากไปอย่างเงียบๆ
“นี่คือความสามารถของร่างกระบี่ ช่างไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!” หลังจากที่หลิ่วหมิงใช้พลังจำนวนมากในการต้านแรงดึงดูดและดึงตัวเองขึ้นมาอยู่บนยอดเสาหินได้แล้ว เขาก็มองตามหลังหญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ด้วยความอิจฉา
แต่หลังจากชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป เขาก็กระโดดขึ้นมาอีกฝั่งของหุบเหวพร้อมกับร่างที่เต็มไปด้วยเหงื่อ
โชคดีที่พลังกับพลังเวทย์ของเขาในตอนนี้เพิ่มขึ้นมาจากก่อนหน้านั้นมาก ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถข้ามมาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้
พอหลิ่วหมิงหลุดพ้นจากแรงดึงดูดอันน่ากลัวก็รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก และอาศัยจังหวะที่พลังของยันต์เทพเคลื่อนไหวยังคงมีอยู่กลายร่างเป็นกลุ่มแสงสีเขียวพุ่งทะยานไปยังป่าดงดิบที่อยู่ไกลๆ
แต่ฟองอากาศลึกลับตรงจุดตันเถียนของหลิ่วหมิงก็ยิ่งเคลื่อนไหวถี่ขึ้น ความรู้สึกกระหายบางอย่างที่ดูผิดปกติก็เริ่มรุนแรงมากขึ้น
ถึงแม้ว่าหลิ่วหมิงจะรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก แต่เวลาเช่นนี้ ไหนเลยจะกล้าหยุดเพื่อทำการตรวจสอบอย่างละเอียด ทำได้แต่รอหาสถานที่เร้นลับปลอดภัยก่อนแล้วค่อยหาวิธีจัดการกับปัญหานี้
แต่พอเขาเคลื่อนไหวเข้าไปในป่าดงดิบอย่างรวดเร็วแล้วหยุดอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง และขณะที่กำลังจะกระตุ้นพลังเวทย์เพื่อมุ่งหน้าไปต่อนั้น เรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น!
ไม่คาดคิดว่าฟองอากาศลึกลับในจุดตันเถียนจะระเบิดออกมา
หลิ่วหมิงเพียงแค่รู้สึกเจ็บในจุดตันเถียน จากนั้นตาทั้งสองก็ดำมืด และร่วงหล่นลงไปจากกิ่งไม้ด้วยเสียงดัง “ตุ๊บ!” แล้วล้มลงไปบนใบไม้หนาๆ ก่อนที่จะหมดสติไป
ครู่ต่อมา ไอสีดำจำนวนมากก็พรั่งพรูออกมาจากผิวหนังของหลิ่วหมิง หลังจากที่มันหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้วก็กลายเป็นอักขระสีดำที่ไม่ทราบชื่อเป็นจำนวนมาก และมันหมุนวนรอบตัวหลิ่วหมิงอย่างบ้าคลั่ง
ท่ามกลางแสงสีดำที่เคลื่อนไหว ได้ปรากฏค่ายกลแปลกประหลาดที่มีขนาดใหญ่จั้งกว่าๆ อยู่ลางๆ
ค่ายกลสีดำเคลื่อนไหวเพียงแค่ไม่กี่ที ไอดำก็รวมตัวอยู่ที่บริเวณใจกลางและกลายเป็นฟองอากาศแวววาว แสงสีเงินค่อยๆ ปรากฏออกมาจากในนั้น
ดูเหมือนกับว่าชั่วพริบตาที่จุดแสงสีเงินนี้ปรากฏออกมา มือปีศาจค้ำฟ้าที่กดทับปีศาจอสูรจำนวนมากจนไร้เรี่ยวแรงก็หยุดชะงักอยู่กลางอากาศในทันที
กลับมีเพียงหัวใจสีเงินที่ฝังอยู่บนมือยักษ์กะพริบอย่างบ้าคลั่งเท่านั้น
เสียงดัง “เพล้ง!” “เพล้ง!” หัวใจสีเงินที่กลายเป็นแสงสีเงินก็ระเบิดออกมาในทันที
มือยักษ์ค้ำฟ้าก็สลายกลายเป็นไอสีดำราวกับว่าสูญเสียการควบคุม จากนั้นก็พัดกระพือหือโหมไปยังที่ที่หลิ่วหมิงอยู่
……
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าตัวเองหลับฝันไปอย่างยาวนาน ราวกับว่าในความฝันนั้นเขากลับไปยังห้องว่างเปล่าลึกลับอันมืดครึ้มอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็ถูกอสรพิษสีดำจำนวนมากรัดพันร่างของเขาอยู่ ทำให้ไม่สามารถขยับตัวได้เลยแม้แต่น้อย และอากาศรอบด้านก็มีเงาพร่ามัวสีดำเคลื่อนไหวอยู่ไหม่หยุด
เงาดำเหล่านี้ บ้างก็เดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวหาย บ้างก็มากระซิบอยู่ข้างหูด้วยภาษาที่ดูแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ไม่อาจได้ยินเนื้อหาที่เต็มประโยคได้ ทำให้เขารู้สึกวุ่นวายใจเป็นอย่างมาก
ท่ามกลางไอดำเหล่านี้ มีเพียงแค่เงาดำขนาดสูงใหญ่เงาหนึ่งที่ก้มหน้ายืนนิ่งสงบอยู่ตรงมุม และเงาดำอื่นๆ ก็พากันหลบห่างออกจากมันราวกับว่าไม่มีใครสนใจมันเลย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เงาดำสูงใหญ่นั้นก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วค่อยๆ เดินมาที่หลิ่วหมิง เงาดำอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็พากันหลีกทางให้และค่อยๆ กลายเป็นหมอกก่อนที่จะสลายไป
เงาดำสูงใหญ่เดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงด้านหน้าหลิ่วหมิง ราวกับว่ากำลังพินิจดูหลิ่วหมิงอยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่าตนเองสามารถรับรู้ถึงไอร้อนที่ฝ่ายตรงข้ามหายใจออกมาได้ แต่ใบหน้าของมันพร่ามัวไปหมด ถึงแม้จะพยายามเพ่งมองก็ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของฝ่ายตรงข้ามได้ จนเขารู้สึกกลัวขึ้นมา
ในขณะนั้นเอง อยู่ๆ ก็พลันมีเสียงฟ้าแลบฟ้าผ่าดังขึ้น สายฟ้าสีเงินเส้นหนึ่งปรากฏออกมาในบริเวณนั้น
ด้วยแสงอันน้อยนิดนี้ ในที่สุดหลิ่วหมิงก็เห็นใบหน้าของเงาดำได้อย่างชัดเจน เขาหลุดปากออกมาในทันที
“เป็นไปไม่ได้ ทำไมถึงเป็นเจ้า!”
……………………………………….