เงาคนนิ่งไม่ขยับขณะที่กะพริบตามองผู้คนต่อสู้กัน ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็หันไปหาศิลาทรายดาราที่อยู่กลางกองหินระเกะระกะ ในเวลาเดียวกันนั้นร่างกายของเขาก็ก่อตัวชัดขึ้นอย่างช้าๆ เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
“คนของหอเป๋ยโต่วกับวังสวรรค์…แล้วก็ศิลาทรายดารานั่น จะว่าไปแล้วทรายธารดาราก็หลอมมาจากของสิ่งนี้สินะ ก้อนใหญ่เช่นนี้หากหลอมทั้งหมดน่าจะได้ทรายธารดาราถึงสามถุง…”
หลิ่วหมิงครุ่นคิดในใจ หลังจากนั้นดวงตาก็ทอประกายประหลาด ร่างกายเลือนหายไปอีกครั้ง
ในวงต่อสู้ชายหนุ่มแซ่สวีจากหอเป๋ยโต่วกำลังสู้หนึ่งต่อสาม แม้เป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ก็ถูกคนจากวังสวรรค์ทั้งสามคนยื้อไว้ไม่ปล่อย ชั่วขณะหนึ่งไม่อาจผละตัวออกมาได้
ชายหนุ่มแซ่สวีกวาดสายตามองรอบด้านแวบหนึ่ง ในดวงตาปรากฏแววตาร้อนใจเล็กน้อย จากนั้นจึงกัดฟัน อ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์คำหนึ่งออกมากลายเป็นหมอกโลหิตผสานเข้าไปในตะขอสองเล่มในมือ
ตะขอแสงดาวสองเล่มส่องแสงสว่างจ้าแล้วบินหลุดจากมือ พวกมันหมุนรอบหนึ่งแล้วพลันกลายเป็นเงาหน้าตาคล้ายแมงกะพรุนโปร่งใสทั้งร่างสองตัวที่เบื้องล่างมีละอองแสงดาวโปรยปราย
เมื่อสองมือของชายหนุ่มแซ่สวีทำท่าเคล็ดวิชาท่าแล้วท่าเล่า แมงกะพรุนสองตัวก็บินวนรอบตัวคนทั้งสามจากวังสวรรค์อย่างรวดเร็ว แสงดาวเต็มฟ้าพร่างพรมลงมาประหนึ่งม่านน้ำตก ขังทั้งสามคนของวังสวรรค์ไว้ตรงกลาง
“ฮ่าๆ พี่เหยา ศิลาทรายดารานี่ข้าขอรับเอาไว้ล่ะ…” ชายหนุ่มแซ่สวีหัวเราะ จากนั้นร่างกายก็เหาะไปยังกองหินระเกะระกะดั่งสายฟ้าแลบ
“เร็ว ขวางเขาไว้!” เสียงของบุรุษวัยกลางคนของวังสวรรค์ดังออกมาจากใจกลางแสงดาว
ผู้ฝึกฝนอีกสามคนของวังสวรรค์ได้ยินคำนี้ในใจก็ร้อนรนยิ่งนัก พยายามขวางชายหนุ่มแซ่สวีสุดกำลัง แต่พวกอิ๋นเซ่อสามคนย่อมไม่ยอมให้พวกเขาสมหวัง โจมตีเร็วขึ้นอีก
ชายหนุ่มแซ่สวีเหาะขึ้นลงไม่กี่ครั้งก็ปรากฏตัวบนท้องฟ้าเหนือกองหินระเกะระกะ ดวงตาฉายแววยินดีเจือจาง แสงดาวสายหนึ่งผุดขึ้นกลางฝ่ามือกำลังจะม้วนศิลาทรายดาราเบื้องล่างขึ้นมา
ในเวลานี้เอง เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็บังเกิด!
เสียงกรีดร้องแสบแก้วหูดังขึ้น พร้อมกับที่ลูกบอลสีน้ำตาลอ่อนขนาดหนึ่งจั้งกว่าลูกหนึ่งปรากฏขึ้นไกลๆ จากนั้นมันก็กลายเป็นดาวตกดวงหนึ่ง พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงดังหวีดหวิว พริบตาเดียวก็มาถึงหลังร่างชายหนุ่มแซ่สวี
ลูกบอลสีน้ำตาลพุ่งมาราวกับอสนีบาต ยังไม่ทันสัมผัสถูกร่างของชายหนุ่มแซ่สวี พลังมหาศาลก็กดทบลงบนร่างของเขา แสงเรืองรองสีเหลืองกวาดเข้าใส่
ชายหนุ่มแซ่สวีหน้าถอดสี เขาไม่มีเวลาเก็บศิลาทรายดารา ได้แต่กระทืบเท้าอย่างแรงครั้งหนึ่ง พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า หลบพ้นขอบของแสงเรืองรองสีเหลืองไปอย่างหวุดหวิด
กระแสลมแรงดุดันสายหนึ่งพัดร่างของเขาปลิวออกไปไกล
“ผู้ใด?” ชายหนุ่มแซ่สวีสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีแล้วตวาดลั่นเสียงเหี้ยม
ลูกบอลสีเหลืองส่องแสงสายหนึ่งออกมาม้วนศิลาทรายดาราไว้ จากนั้นกะพริบวูบหนึ่งกลายเป็นแสงสีน้ำตาลอ่อนสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่จากไปไกลทันที
เหตุการณ์ไม่คาดฝันเหล่านี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา คนขอหอเป๋ยโต่วและวังสวรรค์พากันตาโตอ้าปากค้าง กระทั่งตอนนี้เพิ่งได้สติ
“รีบตาม!”
ชายหนุ่มแซ่สวีสีหน้าย่ำแย่ยิ่งนัก เขากวักมือครั้งหนึ่ง แสงดาวที่ขังคนทั้งสามจากวังสวรรค์อยู่ก็คลายออกกลายเป็นตะขอสองเล่มบินกลับมาอยู่ในมือเขาอีกครั้ง จากนั้นร่างของเขาก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
พวกอิ๋นเซ่อสามคนเวลานี้ก็หยุดโจมตีทันทีเช่นกัน พวกเขาไม่พูดพร่ำตามหลังชายหนุ่มแซ่สวีไปติดๆ
“พวกเราก็ตามไปด้วย!” ผู้ฝึกฝนหกคนของวังสวรรค์เคลื่อนไหวช้ากว่าเล็กน้อย แต่หลังจากได้สติก็รีบร้อนไล่ตามไปเช่นเดียวกัน
กลางลำแสงสีเหลือง หลิ่วหมิงหันศีรษะกลับไปมองผู้ฝึกฝนจากหอเป๋ยโต่วกับวังสวรรค์ที่ไล่ตามติดมา คิ้วขมวดเล็กน้อย
แม้มุกบรรพตธาราจะมีพลังโจมตีรุนแรงบดขยี้ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ทั่วไปได้อย่างง่ายดาย แต่ความเร็วยามใช้อาวุธชิ้นนี้เหาะเหินก็ไม่เร็วนัก
เขาครุ่นคิดเพียงเล็กน้อย มือก็ทำท่าเคล็ดวิชาท่าหนึ่งเก็บมุกบรรพตธาราไปอย่างเร็วไว จากนั้นแสงกระบี่สีม่วงพลันพุ่งออกมาราวอสนีบาตแล้วยกร่างกายเขาแหวกท้องฟ้าต่อ ความเร็วเพิ่มขึ้นไม่น้อยในทันที
ชายหนุ่มแซ่สวีที่มีแสงดาวชั้นหนึ่งหุ้มอยู่รอบตัวไล่ตามมาใกล้ที่สุด เมื่อเห็นเงาคนด้านหน้าฉับพลันมีแสงกระบี่สายหนึ่งปรากฏขึ้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันใด
“ผู้ฝึกกระบี่!”
ในหมู่ผู้ฝึกฝนสารพัดประเภท หากพูดถึงความเร็วในการเหาะเหิน วิชาขี่กระบี่ของผู้ฝึกฝนกระบี่เป็นที่ยอมรับกันว่ารวดเร็วที่สุด ดวงตาของชายหนุ่มแซ่สวีทอประกายเย็นเยียบ เขาอ้าปากพ่นเส้นแสงสีดำสนิทเรียวเล็กเส้นหนึ่งเข้าใส่เงาคนเบื้องหน้า
ใครจะรู้ว่าแสงกระบี่สีม่วงด้านหน้ากลับพร่าเลือนไปวูบหนึ่งแล้วกลายเป็นแสงกระบี่ที่หน้าตาเหมือนกันทุกประการสี่สาย เหาะเร็วรี่ไปสี่ด้านแปดทิศอย่างกะทันหัน
“วิชาแยกร่าง!”
ชายหนุ่มแซ่สวีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด เขาส่งจิตสัมผัสออกไปในทันที แต่เมื่อกวาดผ่านไปกลับพบว่าลมปราณด้านในลำแสงสี่สายเหมือนกันทุกประการ ชั่วขณะหนึ่งไม่อาจแยกออกว่าคนไหนคือร่างจริง
เวลาเพียงชั่วครู่ที่เขาลังเล แสงกระบี่สี่สายกะพริบวูบเดียวก็กลายเป็นจุดแสงสี่จุดหายลับไปตรงขอบฟ้า
สองสามลมหายใจหลังจากนั้นสามคนที่เหลือของหอเป๋ยโต่วกับผู้ฝึกฝนของวังสวรรค์ก็ไล่ตามมาด้านหลัง ลำแสงทั้งหลายหยุดลงข้างกายชายหนุ่มแซ่สวี
“ตั๊กแตนจับจั๊กจั่น นกขมิ้นตลบหลัง พี่สวีครั้งนี้ท่านพลาดเสียแล้ว” บุรุษวัยกลางคนจากวังสวรรค์มองเบื้องหน้าแวบหนึ่ง ยังเห็นเงาคนอีกเสียที่ไหน เขาหันศีรษะไปมองชายหนุ่มแซ่สวีแล้วเอ่ยถากถางอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
ดวงตาของชายหนุ่มแซ่สวีเพลิงโทสะลุกโชน เขาหันกลับมาในทันใด
บุรุษวัยกลางคนกลับหน้าระรื่นไม่เกรงกลัว แม้พวกเขาหกคนสู้กับหอเป๋ยโต่วสี่คนจะตกเป็นรอง แต่แค่รักษาชีวิตย่อมทำได้สบายๆ
“หากพี่สวียังอยากสู้ ข้าก็พร้อมเป็นคู่มือ แต่อย่าเสียเวลาเปล่าเลยดีกว่า พวกเราไป!” บุรุษวัยกลางคนแค่นเสียงหยันคำหนึ่งแล้วกลายเป็นลำแสงสีขาวสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไปไกล คนของวังสวรรค์ห้าคนที่เหลือเห็นเช่นนี้ก็รีบตามไปด้วย
“พวกเราก็ไปกันเถอะ!” ชายหนุ่มแซ่สวีสีหน้าย่ำแย่เล็กน้อย แต่หลังจากสีหน้าเปลี่ยนไปมาสักพักหนึ่งก็เอ่ยปากขึ้นช้าๆ
พวกหลี่ว์เหมิง อิ๋นเซ่อสามคนมองตากันครั้งหนึ่งแล้วพยักหน้า
ห่างไปพันลี้หลิ่วหมิงผู้ยืนอยู่บนกระบี่ขู่หลุนกำลังมองศิลาทรายดาราในมืออย่างยินดี หลังจากมองสำรวจหลายครั้งจึงเก็บมันไป
เสียงเปรี๊ยะดังขึ้น ประกายอสนีบนาตสีม่วงปะทุออกมาจากกระบี่ขู่หลุน แล้วมันก็เหาะแหวกท้องฟ้าจากไปไกลเร็วขึ้นกว่าเดิมหลายส่วน
……
เวลาผ่านไปอย่างว่องไว พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกหลายเดือน ตามที่เป็นมาในอดีตอีกไม่กี่วันก็จะสิ้นสุดเวลาเดินทางบนเศษซากโลกบนแล้ว
ผู้ฝึกฝนจากกลุ่มอำนาจใหญ่แต่ละแห่งที่เที่ยวตระเวนค้นหาสมบัติไปทั่วอย่างบ้าคลั่งในเศษซากของโลกบนเริ่มทยอยกันเดินทางไปยังจุดรวมตัวที่นัดไว้ของแต่ละแห่ง รอนิกายเปิดค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลก
ณ ขอบทะเลทรายเวิ้งว้างแห่งหนึ่ง ที่แห่งนี้คือตำแหน่งเปิดค่ายกลเชื่อมระหว่างสองโลกของนิกายยอดบริสุทธิ์
เวลานี้ฉิวหลงจื่อ หลัวเทียนเฉิง พี่น้องโอวหยาง หลงเหยียนเฟยและศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์อีกสองคน ทั้งหมดเจ็ดคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่
ยามนี้เหลือเวลาก่อนสิ้นสุดการเดินทางบนเศษซากโลกบนอีกเพียงไม่ถึงหนึ่งวัน
สีหน้าของทุกคนเห็นชัดว่าค่อนข้างหม่นหมอง
นี่ก็ไม่แปลก แรกเริ่มผู้ที่เข้ามาในเศษซากโลกบนแห่งนี้มียี่สิบสองคน ไม่นับสามคนของตระกูลอื่นที่ไม่กลับมาและจินเทียนชื่อที่ถูกเคลื่อนย้ายออกไปก่อนหน้านี้ก็สมควรเหลือสิบแปดคน แต่ยามนี้กลับเหลือคนน้อยนิดเพียงเจ็ดคนเท่านั้น เรียกว่าบาดเจ็บล้มตายมากมายนัก
“เวลาเหลือไม่เท่าไรแล้ว ดูท่าคงมีแต่พวกเราที่มีชีวิตรอดมาได้” หลัวเทียนเฉิงส่ายศีรษะเอ่ยขึ้นเรียบๆ
ฉิวหลงจื่อสีหน้าไม่ทุกข์โศกแต่ก็ไม่ยินดี เขาทอดสายตามองไปไกลอย่างนิ่งสงบ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
พี่น้องโอวหยางได้ยินเช่นนี้พลันสบตากัน
“ตอนแรกไหว้วานให้พี่หลิ่วปกป้องพวกเรา คิดไม่ถึงว่าพวกเราจะไม่เป็นไร แต่พี่หลิ่ว…” โอวหยางฉินยิ้มฝืดเฝื่อน ริมฝีปากขยับเล็กน้อยส่งกระแสจิตสนทนากับโอวหยางเชี่ยน
“เรื่องราวในโลกล้วนไม่แน่นอน เศษซากโลกบนเดิมก็เป็นสถานที่อันตรายมีโอกาสตายเก้าในสิบ ไม่ว่าผู้ใดจบชีวิตลงที่นี่ล้วนไม่แปลก” โอวหยางเชี่ยนดูเหมือนเยือกเย็นมากกว่า นางส่งกระแสจิตตอบกลับมาอย่างราบเรียบ
ใต้เนินทรายที่อยู่ห่างจากสตรีทั้งสองนางไม่ไกล หลงเหยียนเฟยผู้สวมอาภรณ์สีม่วงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่เพียงลำพัง ลมหายใจเข้าออกของนางปั่นป่วนเล็กน้อยคล้ายกับว่าอาการบาดเจ็บยังไม่หายดี
ในเวลานี้เองฉิวหลงจื่อผู้กำลังชะเง้อมองไกลออกไปอย่างนิ่งสงบมาตลอดก็ขยับตัวกะทันหัน เขาหันศีรษะมองไปยังทิศทางหึ่ง
ตรงขอบฟ้าฉับพลันปรากฏจุดแสงสีม่วงจุดหนึ่ง
พร้อมกับที่เสียงแหวกอากาศใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จุดแสงสีม่วงก็ค่อยๆ ใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นแสงกระบี่สีม่วงเส้นหนึ่งเหาะมาที่นี่อย่างรวดเร็ว
ฉิวหลงจื่อเห็นเช่นนี้ แม้ร่างกายไม่ขยับ แต่ดวงตาทั้งสองข้างกลับเปล่งประกาย
คนที่เหลือได้ยินเสียงนี้ก็พากันเอี้ยวศีรษะมองบ้าง ทันใดนั้นสีหน้าของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป
เวลาเพียงสองสามลมหายใจ แสงกระบี่ก็เข้ามาใกล้ เมื่อแสงสว่างดับลง ร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งก็ปรากฏออกมา เขาสวมอาภรณ์สีน้ำเงิน ใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ
ไม่ใช่หลิ่วหมิงแล้วยังเป็นผู้ใดอีก?
“ศิษย์น้องหลิ่ว!”
“พี่หลิ่ว!”
เมื่อเห็นหลิ่วหมิง ทั้งเจ็ดคนที่นั่นล้วนตกตะลึง
จะว่าไปแล้วหลังจากเข้ามาในเศษซากโลกบนได้ไม่นาน หลิ่วหมิงก็พลัดจากกลุ่ม นับจากนั้นก็เงียบหายไป
แม้พลังของเขาแข็งแกร่งยิ่งนัก หลังจากเข้าสู่นิกายยอดบริสุทธิ์ก็สร้างปาฏิหาริย์มาหลายครั้ง แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ผนวกกับเผชิญความโหดร้ายของเศษซากโลกบนแห่งนี้รวมไปถึงการที่สหายข้างกายล้มตายไม่หยุดหย่อน แม้จะเป็นฉิวหลงจื่อที่เห็นความสามารถของเขามาตลอด เมื่อครู่ก่อนหน้านี้ก็ยังคิดว่าหลิ่วหมิงน่าจะสิ้นชีพอยู่ตรงที่ใดที่หนึ่งของเศษซากโลกบนไปแล้ว
“ศิษย์พี่ฉิว ศิษย์พี่หลง ไม่พบกันนาน” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยแล้วประสานมือมองไปรอบด้าน
“ศิษย์น้องหลิ่ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่ ครึ่งปีมานี้เจ้าไปที่ใดกันแน่?” ฉิวหลงจื่อก้าวยาวมาถึงตรงหน้าหลิ่วหมิงแล้วตบหัวไหล่หลิ่วหมิงหนักๆ ครั้งหนึ่ง จากนั้นหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยขึ้น
ตอนนี้พี่น้องโอวหยางกับหลงเหยียนเฟยที่รู้จักคุ้นเคยกับหลิ่วหมิงก็พากันเดินเข้ามาด้วย ในดวงตาพวกนางฉายแววยินดี แต่สายตาที่มองตรงมาทางเขาก็เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ด้วย
หลัวเทียนเฉิงกับศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์อีกสองคนที่ยืนอยู่ด้านข้างมองสำรวจหลิ่วหมิงตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ไม่เอ่ยปากพูดสิ่งใด
“เรื่องนี้เล่าแล้วยาว วันนั้นหลังจากไปชิงสมบัติให้นิกายเทียนกงด้วยกันกับศิษย์พี่จิน ข้าถูกผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่ปรากฏตัวขึ้นมากะทันหันไล่สังหาร…หลังจากนั้นเมื่อเวลาลากยาวไป ข้าก็หาทุกท่านไม่พบมาตลอด จึงได้แต่เดินทางท่องไปทั่วตามลำพัง…” หลิ่วหมิงซึ้งใจกับทุกคนที่เป็นห่วงเขาจากใจจริง จึงเล่าเรื่องที่ประสบครึ่งปีมานี้อย่างสั้นๆ รอบหนึ่ง ส่วนบางเรื่องย่อมถูกเขาปิดบังเอาไว้อย่างเจตนาแต่ไม่เหมือนเจตนา
“ดี ไม่ว่าอย่างไร มีชีวิตรอดกลับมาได้ก็ดีแล้ว!” หลังจากฉิวหลงจื่อฟังหลิ่วหมิงเล่าจบก็อดไม่ได้ถอนหายใจ
ผู้คนที่อยู่ที่นั่นได้ฟัง ในใจก็ล้วนทอดถอนใจเช่นกัน
นับตั้งแต่เข้ามายังเศษซากโลกบน พวกเขาผ่านการเอาชีวิตรอดท่ามกลางอันตรายและการพลัดพรากตายจากมามากมายนัก แล้วยังเห็นผู้ฝึกฝนจากกลุ่มอำนาจอื่นไม่น้อยพริบตาเดียวจบชีวิตไร้ที่ฝังกับตาตน
“ศิษย์พี่ฉิว มีสหายร่วมนิกายกลับมาเพียงเท่านี้เองหรือ หรือว่าคนอื่นล้วน…” หลิ่วหมิงกวาดสายตามองรอบด้านแล้วคิ้วขมวดเอ่ยขึ้น