นกยูงตัวนี้ขนาดเท่าสองกำปั้นเท่านั้น น่าจะเพิ่งฟักออกมาจากไข่ไม่นาน แววตาของมันมึนงงเล็กน้อย แต่บนร่างแผ่แรงกดดันจิตวิญญาณของระดับของเหลวจิตวิญญาณออกมาเลือนราง เส้นขนทั่วร่างเป็นสีเขียวเข้มกับสีเขียวอ่อนสอดแทรกสลับกัน เหนือศีรษะคือมงกุฎนกยูงห้าสี แลดูงดงามยิ่งนัก
“นี่คือนกยูงห้าวิญญาณในตำนานสินะ อสูรตัวนี้ แม้แต่บนแผ่นดินหมานฮวงก็เป็นอสูรที่พบยากอย่างที่สุด ไม่เลว ไม่เลว!” ผู้เฒ่าคิ้วหนาสีขาวลูบหนวดเคราพร้อมพยักหน้า ในดวงตาเต็มไปด้วยแววตายินดี
หลิ่วหมิงได้ฟัง สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
แม้เขาไม่เคยเห็นนกยูงห้าวิญญาณมาก่อน แต่เรื่องเล่าเกี่ยวกับปีศาจวิหคชนิดนี้เขาเคยได้ยินมานานแล้ว เล่ากันว่าหากคิดจะเลี้ยงปีศาจอสูรตัวนี้ให้เติบโตไม่ใช่เรื่องง่าย ปกติมันมักจะหยุดอยู่ที่ระดับผลึก แต่ถ้าวันหนึ่งขึ้นไปสู่ระดับแก่นแท้ได้ พลังของปีศาจอสูรตัวนี้จะทัดเทียมกับผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์
“ฉิวหลงจื่อ หากเจ้ายินดีมอบนกยูงห้าวิญญาณตัวนี้ให้แก่นิกาย วัตถุดิบที่เหลือเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด เจ้าเอาครึ่งหนึ่งในนั้นไปได้ จากที่ข้ารู้ในหมู่ของเหล่านี้มีวัตถุดิบที่เจ้าต้องใช้หลอมกระบี่บินไม่น้อยสินะ” ผู้เฒ่าคิ้วหนาสีขาวจ้องนกยูงไม่ละสายตาพร้อมกับยื่นข้อเสนอให้ฉิวหลงจื่อ
“ขอบคุณผู้อาวุโสโจวยิ่งนัก ถ้าเช่นนั้นผู้แซ่ฉิวไม่เกรงใจแล้ว” ฉิวหลงจื่อกวักมือข้างหนึ่งเรียกหญ้าจิตวิญญาณสีดำสนิทต้นแล้วต้นเล่ารวมถึงหินแร่สีเหลืองจำนวนหนึ่งกลับมาไว้ในมือด้วยสีหน้ายินดีเช่นเดียวกัน
“ดีมาก ครั้งนี้เจ้าคงเหนื่อยแล้ว กลับไปพักผ่อนในถ้ำที่พักของตนก่อนเถิด” เทียนเกอเจินเหรินเห็นฉิวหลงจื่อตัดสินใจแล้วก็พยักหน้า
ฉิวหลงจื่อประสานมือคำนับเทียนเกอเจินเหรินรวมถึงผู้อาวุโสคนอื่นอย่างนอบน้อมอีกครั้งแล้วออกจากห้องโถงใต้ดินของวิหารหลักไปเพียงลำพัง
ผู้อาวุโสคิ้วหนาสีขาวผู้นั้นยกแขนเสื้อขึ้น แสงเรืองรองสายหนึ่งหอบนกยูงห้าวิญญาณรวมถึงวัตถุดิบอื่นบนพื้นหายไปจากที่เดิม
จากนั้นก็ถึงตาหลัวเทียนเฉิงส่งมอบ เขาก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้วสะบัดแขนเสื้อ แสงจิตวิญญาณห้าสีส่องสว่าง วัตถุดิบมากมายกองพูนสูงบนพื้นดุจภูเขาน้อย ท่ามกลางของเหล่านั้นเกล็ดที่ทอประกายแวววาวหลายชิ้นดูสะดุดตาเป็นพิเศษ พวกมันก็คือสิ่งที่ได้มาจากร่างของเผ่าเกล็ดผลึกวันนั้นนั่นเอง
“เกล็ดย้อนของเผ่าเกล็ดผลึกหนึ่งในสามสุดยอดเผ่า! ดูจากลมปราณที่แผ่ออกมาเหมือนสายเลือดจะบริสุทธิ์อย่างยิ่ง หากเป็นเช่นนี้วันนั้นที่เทียนชื่อถูกบีบให้คลายผนึกจนออกจากเศษซากโลกบนก็ไม่นับว่าขาดทุนนัก” ผู้อาวุโสแซ่หานที่สวมชุดสีเทาดวงตาเป็นประกายแล้วเอ่ยอย่างยินดี
“แล้วยังมีหญ้าหยกเขียว ดอกแมวเพลิง…นี่มัน หญ้าเสียงหงส์! แล้วยังมีผลมังกรตระหง่านด้วย ดูแล้วอายุไม่น้อยกว่าหมื่นปีทั้งหมด” ผู้เฒ่าผู้มีใบหน้าอ่อนโยนเอ่ยขึ้น น้ำเสียงแฝงความตกตะลึงผสมกับความยินดี
“อืม ไม่เลวจริงๆ แต่วัตถุดิบพวกนั้นที่เหลือมีค่าไม่มากนัก หลัวเทียนเฉิง หากเจ้าต้องการสิ่งใดก็เอาไปหนึ่งในสามเถิด” ผู้เฒ่าคิ้วหนาสีขาวเอ่ยด้วยใบหน้าราบเรียบ
“ข้าไม่ต้องการสิ่งใด สิ่งของเหล่านี้มอบให้นิกายทั้งหมด” หลัวเทียนเฉิงไม่เหลือบมองวัตถุดิบเหล่านี้สักครั้ง เขาเอ่ยอย่างเด็ดขาดแน่วแน่
เมื่อคำนี้เอ่ยออกมา ผู้คนที่นั่นล้วนตะลึงไปเล็กน้อย เพราะสิ่งที่ได้มาจากเศษซากโลกบน แม้เป็นวัตถุดิบที่ธรรมดาอย่างที่สุดก็เป็นสิ่งที่โลกภายนอกหาได้ไม่มาก ปกติแล้วย่อมไม่มีเหตุผลให้ละทิ้งของเหล่านี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าหลัวเทียนเฉิงเวลานี้คิดสิ่งใดอยู่
“เช่นนั้นก็ได้ หลังจากนี้ข้าจะคิดแต้มคุณูปการเท่ากับที่วัตถุดิบหนึ่งในสามแลกได้แล้วมอบแต้มคุณูปการเหล่านี้แก่เจ้า เจ้าคิดว่าอย่างไร?” เทียนเกอเจินเหรินไม่ห้ามปราม เขาเพียงพยักหน้าเล็กน้อยเอ่ยกับหลัวเทียนเฉิง
“ขอบคุณท่านประมุข ศิษย์ก็เหนื่อยอยู่บ้างเช่นกัน ขอตัวก่อน” หลัวเทียนเฉิงประสานมือให้เทียนเกอเจินเหรินกับผู้อาวุโสสามคนที่เหลือแล้วหมุนตัวจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
ทุกคนเห็นเช่นนี้ล้วนสงสัยอยู่บ้าง แต่ไม่ได้พูดอะไรมาก
ต่อจากนั้นชายหนุ่มผมหยิกผู้นั้นกับศิษย์หนุ่มอีกคนหนึ่งก็แสดงสิ่งที่ได้มาตามลำดับ
ทว่าพวกเขาแต่ละคนต่างหยิบยันต์เก็บของออกมาน้อยนิดไม่กี่แผ่นเท่านั้น ของส่วนใหญ่ที่เก็บอยู่ในนั้นก็ล้วนเป็นหญ้าจิตวิญญาณ สมุนไพรจิตวิญญาณและหินแร่จำนวนหนึ่ง แม้ในหมู่ของเหล่านั้นจะมีของที่พบไม่บ่อยบนแผ่นดินจงเทียนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดชวนให้สะดุดตามากนัก
จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา ทั้งสองคนนี้รอดมาจนถึงตอนนี้ได้ไม่ใช่เพราะพลังเหนือกว่าผู้อื่น แต่เพราะก่อนหน้านี้บาดเจ็บจึงตามอยู่หลังพวกฉิวหลงจื่อตลอดไม่เคยออกเดินทางตามลำพังเลย ดังนั้นวัตถุดิบที่ได้มาจึงมีแต่ของธรรมดาเหล่านี้
แต่นี่ก็เป็นเพราะฉิวหลงจื่อกับหลัวเทียนเฉิงอยู่ลำดับก่อนหน้า จึงเพิ่มความคาดหวังให้แก่เทียนเกอเจินเหรินและคนลำดับสูงของนิกายยอดบริสุทธิ์ หากเป็นยามปกติสิ่งของที่ทั้งสองคนนี้ได้มาก็นับว่าล้ำค่ากว่าในแดนลับของแผ่นดินจงเทียนทั่วไปหลายเท่าแล้ว
แม้ในใจเทียนเกอเจินเหรินจะผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็ยังฝืนเอ่ยชมสองสามประโยค เขาเลือกวัตถุดิบจำนวนหนึ่งในนั้นมาพอเป็นพิธีจากนั้นก็ปล่อยสองคนนั้นไป
“หลิ่วหมิง ต่อไปตาเจ้า” ทันใดนั้นผู้อาวุโสหานก็หันหน้ามายิ้มให้หลิ่วหมิง
คำนี้เอ่ยออกมา คนทั้งหมดที่นั่นรวมทั้งเทียนเกอเจินเกรินก็เคลื่อนสายตามองมาที่หลิ่วหมิง
หลังจากหลิ่วหมิงประสานมือให้พวกเขา เขาก็ก้าวออกมาข้างหน้าหลายก้าว ขณะที่กำลังจะล้วงยันต์เก็บของและกำไลเก็บของทั้งหมดออกมานั่นเอง จู่ๆ ยันต์ส่งสารสีน้ำเงินแผ่นหนึ่งก็เหาะเข้ามาจากด้านนอก
เทียนเกอเจินเหรินโบกมือส่งสัญญาณให้หลิ่วหมิงยั้งมือไว้ก่อน จากนั้นคว้ายันต์ส่งสารไว้ในมือ หลังจากอ่านครู่หนึ่ง ริมฝีปากก็ขยับขมุบขมิบส่งกระแสจิตเอ่ยกับผู้อาวุโสอีกสามคนสองสามประโยค
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น ผู้อาวุโสผู้มีใบหน้าอ่อนโยนก็เอ่ยเสียงดังหนักแน่นไปยังทางเข้า
“ในเมื่อผู้อาวุโสโอวหยางเดินทางมาไกล ถ้าเช่นนั้นก็อย่าขวาง ให้เขาเข้ามาคุยกันเถิด”
“ทราบแล้ว”
เสียงขานรับของศิษย์คนหนึ่งที่เฝ้าประตูอยู่ดังมาจากทางเข้า
ไอหมอกสีม่วงอ่อนสายหนึ่งพัดมาจากจุดที่เสียงดังขึ้นเข้ามาในห้องโถงใหญ่ใต้ดิน แล้วก่อตัวกลายเป็นเงาคนสูงใหญ่ร่างหนึ่ง
“คารวะท่านลุงเฟิง” โอวหยางเชี่ยนกับโอวหยางฉินเห็นเช่นนี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าคำนับอย่างนอบน้อม
“โอวหยางเฟิงคารวะเทียนเกอเจินเหรินกับผู้อาวุโสทั้งสาม ข้าบุ่มบ่ามเข้าในมาห้องโถงใต้ดินแห่งนี้ ขอทุกท่านโปรดอภัย” ผู้ที่เอ่ยคือบุรุษหน้าตาเกลี้ยงเกลาหน้าตาอายุเพียงสามสิบปีสวมอาภรณ์ไหมคนหนึ่ง เขาพยักหน้าให้พวกโอวหยางเชี่ยนเล็กน้อยแล้วหันไปคำนับทั้งสี่คนที่อยู่ที่นั่น
“สหายเฟิงเกรงใจไปแล้ว ข้าเชิญท่านเข้ามา บุ่มบ่ามที่ไหนเล่า ได้ยินมานานแล้วว่าตระกูลโอวหยางคนมีความสามารถมากมาย ไม่ถึงพันปีสหายเฟิงก็คงเข้าสู่ระดับดาราพยากรณ์ได้สำเร็จ เป็นศิษย์อัจฉริยะที่หาได้ไม่มากในโลกแห่งการฝึกฝนอย่างแท้จริง ข้ามีชีวิตอยู่มาหมื่นปีแล้วยังหยุดอยู่ที่ระดับดาราพยากรณ์ขั้นปลาย อับอายแล้วจริงๆ” ผู้เฒ่าใบหน้าอ่อนโยนหัวเราะ
“ได้ยินว่าการเดินทางไปเศษซากโลกบนครั้งนี้มีอุปสรรคพอสมควร ศิษย์ล้มตายไม่น้อย พวกเราหลายคนในตระกูลจึงเป็นห่วงสภาพของเชี่ยนเอ๋อร์กับฉินเอ๋อร์สาวน้อยทั้งสองยิ่งนัก จึงได้ให้ข้ามารอที่นิกายยอดบริสุทธิ์แต่เนิ่นๆ” โอวหยางเฟิงยิ้มน้อยๆ เอ่ยบอก
“ดูท่าข่าวของตระกูลโอวหยางจะว่องไวเทียบเคียงกับหอเป๋ยโต่วเลยทีเดียว การเดินทางครั้งนี้พบเรื่องยุ่งยากอยู่บ้างก็จริง แต่ผู้เยาว์ทั้งสองของตระกูลท่านไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย นับได้ว่าคืนหยกให้แคว้นจ้าวได้ดังเดิม แต่ตามสัญญา สมบัติที่ทั้งสองคนนี้ได้มาจากในเศษซากโลกบนต้องทิ้งไว้ครึ่งหนึ่ง” ผู้เฒ่าคิ้วหนาสีขาวมุมปากกระตุกเล็กน้อย เอ่ยขึ้นอย่างไม่แสดงท่าที
“เรื่องนี้แน่นอน เชี่ยนเอ๋อร์ พวกเจ้ายังไม่เอาของออกมาให้ผู้อาวุโสทั้งหลายดูอีก!” โอวหยางเฟิงพยักหน้าแล้วสั่งสาวน้อยทั้งสองอย่างไม่ลังเลสักนิด
“เจ้าค่ะ”
พี่น้องโอวหยางได้ยินพลันสะบัดแขนเสื้อไปด้านหน้า เทของทั้งหมดที่ได้มาจากในเศษซากโลกลงบนพื้น
หญ้าจิตวิญญาณกับสมุนไพรจิตวิญญาณรวมกับกล่องหยกสามสี่ใบเหล่านี้ที่ทั้งสองได้มา ดูจากเพียงปริมาณไม่นับว่ามาก แม้รวมเข้าด้วยกันก็เท่ากับของหนึ่งส่วนของหลัวเทียนเฉิงเท่านั้น
แต่ผู้เฒ่าคิ้วหนาสีขาวกลับจ้องหญ้าจิตวิญญาณต้นหนึ่งที่หน้าตาเหมือนดอกไม้ประหลาดสีเขียวในกองนั้นอย่างไม่ละสายตา แล้วขยับริมฝีปากเล็กน้อยส่งกระแสจิตกับผู้เฒ่าที่หน้าตาอ่อนโยน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เผยสีหน้าสงสัยออกมาเล็กน้อย แล้วมองบุปผาจิตวิญญาณดอกนั้นเพิ่มอีกหลายหนอย่างอดไม่ได้
นี่เป็นดอกไม้สีเขียวหยกทั้งดอก หน้าตาคลับคล้ายดอกบัวแต่มีกลีบเพียงห้าถึงหกกลีบ ตรงเกสรดอกไม้มีของเหลวเหนียวสีดำหยดแล้วหยดเล่าซึมออกมาไม่หยุด ทำให้คนที่มองอดไม่ได้รู้สึกไปเองว่าหนาวทั้งร่างจนขนลุกตั้ง
ก็ไม่รู้ว่าดอกไม้นี้มีอิทธิ์ฤทธิ์พิเศษอันใดจึงทำให้ผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์สองคนหวั่นไหวเช่นนี้
พี่น้องโอวหยางคล้ายจะมองอาการของพวกเขาออก จึงจงใจไม่เก็บดอกไม้ดอกนี้ไว้ แต่เลือกของราวครึ่งหนึ่งเก็บเข้าไปในถุง ผู้เฒ่าทั้งสองจึงยิ่งมีสีหน้ายินดี
“สหายทุกท่าน ในเมื่อแบ่งทรัพยากรเหล่านี้กันเรียบร้อยแล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่รบกวนแล้ว” โอวหยางเฟิงมองภาพตรงหน้าแต่ไม่พูดอะไรมาก หลังจากมองดูสตรีทั้งสองนางเลือกเสร็จแล้วเขาก็ประสานมือให้ทุกคนแล้วเอ่ยลา
“ครั้งนี้ได้รับการดูแลจากทุกท่านในนิกายยอดบริสุทธิ์แล้ว ผู้เยาว์ขอตัว!” โอวหยางเชี่ยนกับน้องสาวก็คำนับให้คนที่อยู่ที่นั่นเช่นเดียวกัน
“ขออภัยที่ไม่ได้ส่ง” ผู้เฒ่าคิ้วหนาสีขาวยิ้มตอบ
เมื่อเอ่ยจบสองพี่น้องโอวหยางก็ตามโอวหยางเฟิงออกจากห้องโถงไป ก่อนจะออกจากประตูใหญ่ โอวหยางเชี่ยนหันกลับมามองหลิ่วหมิงด้วยแววตาขุ่นเคืองแวบหนึ่ง
“หลิ่วหมิง ต่อเถอะ หวังว่าสิ่งที่เจ้าได้มาจะไม่ทำให้พวกเราผิดหวังนะ” หลังจากมองส่งตระกูลโอวหยางทั้งสามคน ผู้อาวุโสหานก็ยิ้มน้อยๆ เอ่ยกับหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงตอบรับแล้วหยิบยันต์เก็บของกับกำไลเก็บของออกมาโยนไว้บนพื้นทั้งหมด มีมากถึงหลายสิบชิ้น นี่ทำให้ผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์ทั้งสี่คนที่นั่นกับพวกหลงเหยียนเฟยที่ยังไม่ออกไปล้วนตกตะลึง!
แม้พลังของหลิ่วหมิงจะเหนือกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันอยู่มาก แต่หยิบอาวุธเก็บของออกมาวางเต็มพื้นก็น่าเหลือเชื่ออยู่บ้าง
ขณะที่ทั้งสี่คนประหลาดใจนั่นเอง หลิ่วหมิงก็ยิงเคล็ดวิชาหลายสายเข้าใส่อาวุธเก็บของเหล่านั้นบนพื้นอย่างว่องไวดุจสายฟ้าแลบ แสงจิตวิญญาณกะพริบวูบหนึ่งก็เกิดเสียงดังครืน ปราณจิตวิญญาณที่เข้มข้นยิ่งกว่ายามฉิวหลงจื่อมอบสมบัติทะลักออกมาทันที พริบตาเดียวสมุนไพรจิตวิญญาณ หินแร่ อาวุธจิตวิญญาณและสมบัติต่างๆ ก็วางเต็มพื้นห้องโถงใหญ่ใต้ดินแลดูละลานตา
ท่ามกลางของเหล่านั้นเตาหล่อหลอมจิตวิญญาณที่กำลังทอแสงสีน้ำเงิน มุกบรรพตธาราสีเหลืองขมุกขมัวสิบสองลูก รวมถึงต้นห้วงสมุทรวิญญาณที่มีปราณดำลอยวนเวียนย่อมสะดุดตาเป็นพิเศษ
“เตาหลอมน้อยนี่พลังจิตวิญญาณเปี่ยมล้น น่าจะเป็นเตาหล่อหลอมจิตวิญญาณที่เทียนชื่อเคยเอ่ยถึงสินะ! แล้วก็ลูกแก้วกลมสิบสองลูกนี้ก็เหมือนจะใช้ดินปราณทองคำบริสุทธิ์จำนวนมากหลอมขึ้นมา แต่นี่เป็นเพียงร่างตั้งต้นเท่านั้น…”
“เอ๋ นี่คือผลจื่อหยวนที่ยืดอายุขัยได้สินะ มีตั้งสามผล ไม่เลว!”
“ต้นไม้นี่หรือว่าจะเป็นต้นห้วงสมุทรวิญญาณที่มีแต่ในยมโลก?”
“แล้วยังมีศิลาทรายดาราก้อนใหญ่เท่านี้ด้วย!”
ทันทีที่ได้เห็นสมบัติหลายชิ้นนี้ ทั้งสี่คนก็หลุดปากออกความเห็นอย่างอดไม่ได้
ผู้เฒ่าคิ้วหนาสีขาวผู้นั้นสองตาวาว รีบก้าวมาข้างหน้า ยกเตาหล่อหลอมจิตวิญญาณที่ทอแสงสีน้ำเงินวิบวับขึ้นมาสำรวจอย่างละเอียดทันที
ส่วนผู้เฒ่าผู้มีใบหน้าอ่อนโยนผู้นั้นก็ก้าวไปข้าวหน้าอย่างอดไม่ได้เช่นกัน เขาถือผลจื่อหยวนผลหนึ่งขึ้นมาสำรวจตรงหน้าอย่างระมัดระวัง ดีใจจนแสดงออกมาทางสีหน้า
เทียนเกอเจินเหรินกับผู้อาวุโสหานมีสีหน้าประหลาดใจปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง ก่อนที่จะมองสำรวจข้าวของชิ้นอื่นด้วยสีหน้านิ่งสงบ