ใบหน้าของคนผู้นั้นเหมือนกับหลิ่วหมิงไม่มีผิด
เขามองดูตัวเองที่เป็นคนอีกคนหนึ่งราวกับว่าเป็นเงาของกระจก สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกันคือฝ่ายตรงข้ามหลับตาทั้งของข้าง ใบหน้าไร้ความรู้สึก
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตัวในฉับพลันก็คือ คำพูดที่เปล่งออกมาเมื่อครู่ ราวกับว่าเขาคุ้นเคยกับฝ่ายตรงข้ามโดยไม่รู้ตัว
ในขณะนั้นเอง ‘หลิ่วหมิง’ ที่อยู่ตรงหน้าก็ลืมตาขึ้นมาในทันที ลูกตาของเขาเป็นแสงสีเงินละลานตาเป็นอย่างมาก
ด้วยความตกใจหลิ่วหมิงหลับตาทั้งสองลงโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเขาก็ตื่นขึ้นมาจากฝัน
รอบด้านมืดมิด และยังมีกลิ่นอับชื้นของดินโชยเข้ามาในจมูก
หลักจากที่เขาคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว ก็พลันรู้ตัวว่าตนเองถูกฝังอยู่ในดินทั้งเป็น
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเคล็ดวิชากระดูกดำที่เขาฝึกฝนได้ปล่อยไอสีดำปกป้องร่างเขาไว้ เกรงว่าคงเสียชีวิตไปโดยไม่รู้ตัวแล้ว
เสียงดัง “เพล้ง!”
หลิ่วหมิงตะโกนเสียงต่ำออกมา จากนั้นก็กลิ้งไปมาใต้พื้นดิน ก่อนที่จะกระโดดขึ้นมาจากใต้ดินที่ลึกหลายจั้งได้ แสงด้านนอกตอนนี้สว่างไสว เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว
เขาสำรวจดูรอบด้านอย่างรวดเร็ว ที่นี่คือบริเวณชายป่าดงดิบที่เขาสลบไสลไปก่อนหน้านั้น เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงถูกฝังอยู่ใต้ดินได้
หลังจากที่สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปมาก็พลันนึกเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขารีบทำท่ามือด้วยมือเดียวก่อนที่จะส่งจิตไปสำรวจดูที่บริเวณทะเลจิตวิญญาณ แต่เขาเห็นเพียงแค่ทะเลจิตวิญญาณที่ว่างเปล่า ทุกอย่างยังคงเป็นปกติ ฟองอากาศลึกลับที่ระเบิดตัวก็ไม่ได้ปรากฏออกมา
และพอเขากระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำเพื่อตรวจสอบพลังเวทย์ก็ยังเป็นปกติ ไม่มีสิ่งใดที่ดูผิดปกติแต่อย่างใด
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมา!
หรือว่าความฝันในก่อนหน้านี้จะเป็นเพียงแค่ความฝันจริงๆ แต่ความรู้สึกที่รับรู้ได้ในฝันนั้นดูคล้ายกับความจริงมาก ‘หลิ่วหมิง’ อีกคนทำให้เขารู้สึกขนลุกขนพองและหนาวเย็นจนถึงขั้วหัวใจ
เขาคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็รู้สึกสมองยุ่งเหยิงจนไม่สามารถจับต้นชนปลายได้ จึงได้แต่ส่ายศีรษะแล้วเก็บเรื่องนี้ไว้คิดที่หลัง จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยไปไปบนต้นไม้ใหญ่และเบิ่งมองไปข้างหน้าอันไกลโพ้น
ผลคือม่านตาดำของเขาหดตัวในทันที!
แอ่งขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางแดนลึกลับยังคงมีอยู่ แต่มือยักษ์ค้ำฟ้ากลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ตัวเขาสลบไปนานเท่าไหร่กันแน่ คงไม่ถึงกับเลยเวลาที่กำหนดให้อยู่ในแดนลึกลับได้นะ
หลิ่วคิดได้เช่นนี้แล้วก็รู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย เขารีบเหาะไปยังป่าดงดิบที่ลึกเข้าไปโดยไม่คำนึงถึงเรื่องอื่นๆ เลย
หลายชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงที่กระโดดอยู่ในป่าดงดิบก็ได้ยินเสียงดังอยู่แว่วๆ ความดีใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขาในทันที จากนั้นเขาก็กระโดดไปตามทิศทางของเสียง
ผ่านไปไม่นาน ร่างของเขาก็เคลื่อนตัวมาอยู่บนต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ขึ้นอยู่บนขอบพื้นที่กว้างโล่ง
ด้านหน้าที่อยู่ไม่ไกล มีชายหญิงสองคนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด
ผู้ชายสวมชุดหอสายธารโลหิต ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยปราณโลหิต ภายใต้การกวัดแกว่งดาบยาวสีเลือดที่อยู่บนมือ ทำให้แสงสีแดงน่าสะพรึงกลัวม้วนออกไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งราวกับอสรพิษ แต่ตาทั้งสองของเขากลับปิดสนิท โดยไม่มองคู่ต่อสู้แม้แต่น้อย
ผู้หญิงมีใบหน้างดงามจนยากหาที่เปรียบได้ ร่างของนางเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่แสงสีม่วงในตาทั้งสองกลับหมุนวนอยู่ไม่หยุด ในมือถือระฆังทองแดงขนาดเล็ก สูงชุ่นกว่าๆ และสั่นมันอยู่ไม่หยุด
นางก็คือเจียหลานนั่นเอง
ชายหอสายธารโลหิตผู้นั้นมีสีหน้าดุร้าย ถึงแม้เขาจะหลับตาทั้งสองข้าง แต่ทุกครั้งที่ฟาดฟันดาบออกไป มันก็ฟันเข้าใส่เจียหลานราวกับว่ามองเห็นอย่างชัดเจน จนทำให้นางไม่อาจอยู่นิ่งได้
ดีที่ระฆังเล็กในมือของหญิงสาวก็ดูเหมือนจะมีผลลัพธ์ที่น่าเหลือเชื่อ ทุกการสั่นไหวจะมีเสียงดังกังวานออกมา จนทำให้การเคลื่อนไหวของชายหอสายธารโลหิตหยุดชะงัก จากนั้นก็ถือโอกาสปล่อยวิชาออกไปโจมตี
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ชายหอสายธารโลหิตก็ยังโจมตีรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ปราณดาบสีแดงแต่ละสายก็ส่งกลิ่นคาวเลือดออกมาเข้มข้นยิ่งขึ้น ราวกับว่ามันได้ห่อหุ้มดรุณีน้อยไว้อย่างสมบูรณ์ และเจียหลานกลับมีสีหน้าซีดขาวคล้ายกับว่าเสียพลังไปอย่างมาก เห็นได้ชัดว่านางต้านทานไม่ค่อยไหวแล้ว
“ศิษย์พี่เจียหลาน ต้องการให้ศิษย์น้องช่วยหรือไม่!” ณ เวลานั้นเอง หลิ่วหมิงก็ลอยลงมาจากต้นไม้และกล่าวกับเจียหลานด้วยรอยยิ้ม
“ฮึ! ศิษย์นิกายปีศาจอีกแล้ว! ดี! นับว่าพวกเจ้าโชคดีไป ครั้งหน้าอย่าให้เจอพวกเจ้าตอนอยู่คนเดียวก็แล้วกัน” พอชายหนุ่มหน้าตาดุร้ายเห็นการปรากฏตัวของหลิ่วหมิงสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขารีบเก็บดาบโลหิตในทันที จากนั้นก็ถอยออกจากการต่อสู้ไปอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่จะหายเข้าไปในป่าดงดิบเขาได้กล่าวออกมาอย่างโหดเหี้ยม และหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
“ที่แท้ก็คือศิษย์น้องไป๋ ครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้ามาก” ตอนแรกเจียหลานตกใจที่เห็นหลิ่วหมิง แต่ต่อมากลับรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก หลังจากที่แสงสีม่วงในดวงตาได้หายไป ร่างของนางก็พร่ามัวกลับมาเป็นดรุณีน้อยใบหน้างดงามดังเดิม
“คนผู้นั้นคือใครกัน ทำไมต้องมาขัดขวางท่าน!” ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่หลิ่วหมิงเห็นการกลายร่างของดรุณีน้อย แต่ก็แอบบร้องออกมาด้วยความประหลาดใจไม่ได้ และถามออกไปด้วยความสงสัย
“เขาคือเซวี่ยนู่ศิษย์อันดับที่สามของหอสายธารโลหิต ไม่คาดคิดว่าเขาจะไม่กลัววิชาดวงตาละเมอฝันของข้า ที่เขาขัดขวางข้าก็เป็นเพราะว่าอยากได้พืชจิตวิญญาณของข้า สองวันนี้ศิษย์น้องไม่ได้พบกับศิษย์นิกายอื่นๆ เลยหรือ?” เจียหลานกล่าวก่อนที่จะถามออกไปด้วยความสงสัย
“บอกตามตรง สองวันนี้เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันกับข้าเล็กน้อย ข้าหมดสติหลับลึกอยู่ตรงสถานที่แห่งหนึ่ง และเพิ่งฟื้นขึ้นมา แต่ดูจากท่าทีแล้วข้าคงจะสลบไสลไปได้ไม่นาน” หลิ่วหมิงได้ยินก็แสดงสีหน้าราวกับคิดอะไรอยู่
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ศิษย์น้องวางใจได้ ตอนนี้ยังมีเวลาเหลืออีกสิบกว่าวันในการอยู่แดนลึกลับ แต่แดนลึกลับในตอนนี้อันตรายเป็นอย่างมาก ศิษย์นิกายอื่นๆ จำนวนมากต่างก็มาดักซุ่มแย่งชิงทรัพยากรของคนอื่นๆ โดยเฉพาะ ไม่สิ! ต้องพูดว่าตอนนี้ทั่วทุกพื้นที่เปลี่ยนเป็นอันตรายเป็นอย่างมาก มิเช่นนั้นข้าคงไม่ถูกค้นพบและโดนโจมตีรวดเร็วขนาดนี้ เกรงว่าเมื่อถึงเวลาสองสามวันสุดท้าย คนทุกคนจำต้องมารวมตัวกันในที่นี้ และคงจะเกิดการต่อสู้อย่างแท้จริง” เจียหลานกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่ทราบไหมว่ามือยักษที่อยู่ใจกลางแดนลึกลับนั้นหายไปไหนแล้ว ทำไมตอนที่ข้าฟื้นขึ้นมาถึงไม่เห็นมันแล้ว!” หลิ่วหมิงฉุกคิดอย่างรวดเร็ว แล้วก็ถามเรื่องที่ตัวเองกังวลออกมาอย่างอดไม่ได้
“มือยักษ์นั้นปรากฏออกมาได้ไม่กี่ชั่วยามก็หายไปตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว ตอนนั้น…” เจียหลานได้ยินก็เล่าเรื่องที่มือยักษ์ค้ำฟ้าสลายตัวกลายเป็นไอสีดำพวยพุ่งเข้าไปในป่าดงดิบ และก็หายไปอย่างแปลกประหลาดให้หลิ่วหมิงฟัง
“อะไรนะ! ไอดำที่กลายร่างมาจากมือยักษ์นั้นหายเข้าไปในขอบชายป่าดงดิบ” หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจขึ้นมา
“ไม่ผิด ตอนที่เห็นไอดำปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ข้ายังคิดว่าครั้งนี้ทุกคนคงหนีรอดไปได้ยาก แต่คิดไม่ถึงว่าพอไอดำอันน่ากลัวนี้พุ่งเข้าไปในป่าดงดิบ มันก็หายไปในพริบตาเดียว เรื่องนี้มันดูผิดปกติมาก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าที่นี่เป็นสถานที่ซ่อนตัวที่ดีที่สุดก่อนที่จะออกไปจากแดนลึกลับล่ะก็ ข้าคงจะไม่ยอมอยู่ที่นี่อย่างเด็ดขาด” เจียหลายขมวดคิ้วกล่าวออกมา
“ในเมื่อสุดท้ายแล้วมือยักษ์ข้างนั้นไม่ได้ปรากฏออกมา คาดว่าคงจะหายไปแล้วจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นอีกไม่กี่วันพวกเราก็ไปจากแดนลึกลับแล้ว แม้ว่าต่อไปจะมีเรื่องแปลกๆ อะไรเกิดขึ้นที่นี้ มันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเราแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวเหมือนคิดอะไรอยู่
“ข้าเองก็คิดเช่นนี้ ไม่ทราบว่าศิษย์น้องไป๋จะวางแผนต่อไปอย่างไร จะหาที่หลบซ่อนดีๆ หรือคิดที่จะไปหาพืชจิตวิญญาณในป่าต่อ และรอจนถึงเวลาที่สมควรแล้วค่อยไปจากแดนลึกลับ” เจียหลานพยักหน้ากล่าวออกมา
“หลายวันก่อนข้าเก็บเกี่ยวมาได้ไม่น้อย ดังนั้นจึงไม่คิดที่จะไปเสี่ยงอันตรายแล้ว ข้าคิดที่จะหาที่ซ่อนตัวสองสามวันแล้วค่อยว่ากัน
“ข้าเข้าใจความหมายของศิษย์น้องไป๋แล้ว ข้าจะไปสถานที่ไกลๆ สักหน่อยเพื่อดูว่ายังมีอะไรให้เก็บเกี่ยวได้บ้าง ถือโอกาสหลบการต่อสู้อันดุเดือดที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ด้วย”
ต่อมาทั้งสองก็พูดคุยกันไม่กี่ประโยคแล้วก็แยกย้ายกันไป
ทั้งสองต่างก็ไม่มีใครกล่าวถึงเรื่องการทำงานร่วมกันออกมา
ครึ่งวันต่อมา หลิ่วหมิงหาโพรงไม้ขนาดใหญ่ที่มีพุ่มไม้เตี้ยแน่นขนัดปกคลุมเอาไว้ได้ เขารีบเข้าไปข้างในด้วยความดีใจ เขารู้สึกว่าที่นี่สะอาดและกว้างขวาง ดังนั้นจึงตบกระเป๋าหนังบนเอวอย่างไม่ลังเล
หลังจากที่มีแสงสีดำม้วนตัวออกมา แมงป่องกระดูกขาวก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางไอสีม่วง
“ไป! ไปเฝ้าอยู่ด้านนอก ถ้ามีคนเข้าใกล้ให้รีบเรียกข้าให้ตื่น!” หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือเดียวแล้วใช้วิชาสื่อสารจิตวิญญาณสื่อสารกับจิตของแมงป่องกระดูกขาว
แมงป่องกระดูกขาวร้อง “แกว๊ก!” “แกว๊ก!” ไม่กี่ครั้งแล้วก็จมหายเข้าไปในพื้นดิน
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้ล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้ออย่างวางใจ เขาหยิบลูกท้อที่มีสีเขียวเล็กน้อยออกมาลูกหนึ่ง หลังจากที่สำรวจดูเล็กน้อยก็กัดกินอย่างไม่เกรงใจ
เวลาที่เหลือในหลายวันนี้ เขาต้องการกินลูกท้อจิตวิญญาณเหล่านี้ให้ได้จำนวนมาก จากนั้นก็ค่อยๆ กลั่นพลังออกมาเพื่อที่จะผลักดันให้การฝึกฝนของตนเองไปถึงเขตแดนศิษย์จิตวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบ
เช่นนี้แล้ว หลังจากที่เขาออกจากแดนลึกลับไปก็ไม่จำเป็นต้องกลัดกลุ้มกับเรื่องการใช้โอสถเพิ่มพลังเวทย์แล้ว เพียงแค่มุ่งมั่นหาวิธีทะลวงเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณก็พอ
พอหลิ่วหมิงรับรู้ได้ถึงพลังบริสุทธิ์ที่พรั่งพรูอยู่บริเวณท้องน้อยก็รีบหลับตาทั้งสองลงทันที จากนั้นเขาก็เข้าสู่ฌานอย่างรวดเร็วโดยไม่รับรู้เรื่องราวภายนอกเลยแม้แต่น้อย
ขณะนี้ ‘เซวี่ยนู่’ ศิษย์หอสายธารโลหิตก็ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่ที่มีกิ่งใบเต็มต้น เขาเองก็หลับตานั่งขัดสมาธิอยู่
ถึงแม้ว่าการต่อสู้กับเจียหลานในก่อนหน้านี้เขาจะได้เปรียบ แต่ก็สูญเสียพลังเวทย์ไปไม่น้อย เขาคิดที่จะฟื้นฟูพลังก่อนแล้วค่อยคิดเรื่องอื่นๆ ในภายหลัง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เซวี่ยนู่ดูเหมือนจะรับรู้อะไรบางอย่างได้ และลืมตาทั้งสองขึ้นมาในทันที
สิ่งที่เขาเห็นคือ พื้นที่ตรงข้ามที่อยู่ห่างจากเขาไม่มากนัก ชายหนุ่มผมแดงมีเขาแปลกประหลาดอยู่บนหัวสองเขากำลังนั่งยองๆ อยู่ที่นั่น และจ้องมองเขาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
เขาคือ ‘สือชวน’
“เจ้าเป็นใคร!”
เซวี่ยนู่ย่อมตกใจเป็นอย่างมาก และตะโกนออกไปด้วยความโมโห พอเขาสะบัดแขนเสื้อดาบเล็กสีแดงก็ปรากฏอยู่ในมือ
ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มหอสายธารโลหิตจะได้กระทำการใดๆ ‘สือชวน’ ที่อยู่ตรงข้ามก็พลันอ้าปาก ก่อนที่เงาสีแดงม่วงจะพุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว
……………………………………….