“ตามที่ข้าทราบมา สมุนไพรจิตวิญญาณอย่างผลผลึกเขียวนี้ เกิดในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างเข้มงวดมาก และอายุยิ่งมากก็ยิ่งยากที่จะอยู่รอด มนุษย์ผู้ฝึกฝนจำนวนมากปลูกได้แค่ร้อยสองร้อยปีเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเผ่าของพวกเจ้าจะบ่มเพาะผลผลึกเขียวอายุสี่ร้อยปีได้” หลิ่วหมิงลูบคางและกล่าวชมเชยเลยเล็กน้อย
“ผู้อาวุโสไม่รู้อะไร ผลผลึกเขียวขึ้นในสถานที่ที่ค่อนข้างพิเศษ แต่ว่าเทือกเขาต้นกล้าเขียวที่เผ่าค้างคาวเราอยู่มีชัยภูมิค่อนข้างพิเศษ ซึ่งเหมาะสำหรับปลูกผลผลึกเขียวเป็นจำนวนมาก อีกอย่างเผ่าของเราปลูกสมุนไพรจิตวิญญาณชนิดนี้มาแต่โบราณ ยิ่งทำให้กุมเคล็ดวิธีการบ่มเพาะมาได้ไม่น้อย ผลผลึกเขียวที่มีอายุสามสี่ร้อยปีเหล่านี้ ยังไม่ใช่ผลิตผลระดับสุดยอด เผ่าเรายังสามารถบ่มเพาะผลผลึกเขียวอายุพันปีได้ แต่ส่วนมากจะนำมาประมูลขายในตลาดปีละครั้ง” ขณะที่เด็กรับใช้ชุดดำพูดออกมานั้น เห็นได้ชัดว่ารู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมาก
“ผลผลึกเขียวพันปี?” พอหลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกใจมาก
อย่างที่รู้ว่า เดิมทีผลผลึกเขียวเป็นวัตถุดิบโอสถที่มีประโยชน์ใช้สอยอย่างกว้างขวาง หากมีอายุถึงพันปีก็นับว่าเป็นของล้ำค่าแล้ว
“ตลาดฉางหยางอยู่ใกล้กับเทือกเขาต้นกล้าเขียวที่สุด ย่อมเป็นสถานที่หลักในการขายผลผลึกเขียวของเผ่าค้างคาวเรา ดังนั้นหากผู้อาวุโสต้องการผลผลึกเขียวอายุต่ำกว่าห้าร้อยปี โดยปกติร้านเราสามารถรับรองปริมาณที่แน่นอนได้” เด็กรับใช้ชุดดำกล่าว
“ใช่สิ! ในเมื่อร้านแห่งนี้มีผลผลึกเขียวจำนวนมาก ถ้าอย่างนั้นมีโอสถผลึกเย็นขายหรือไม่?” ดูเหมือนหลิ่วหมิงจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามอย่างไม่ใส่ใจ
“โอสถผลึกเย็น? แม้โอสถนี้จะมีผลผลึกเขียวเป็นวัตถุดิบหลัก แต่เผ่าเราไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่ปรุงโอสถชนิดนี้ ดังนั้นจึงไม่มีโอสถชนิดนี้ขาย” เด็กรับใช้กล่าวโดยไม่ต้องคิด
“ถ้าเช่นนี้ก็เท่ากับว่าในตลาดฉางหยางขาดแคลนโอสถผลึกเย็นมาก ข้าเห็นร้านอื่นๆ รับซื้อโอสถชนิดนี้ด้วยราคาที่สูงถึงหกพันหินจิตวิญญาณ” หลิ่วหมิงได้ยินก็ถอนหายใจกล่าวออกมา
“นี่เป็นเรื่องปกติ โอสถผลึกเย็นปรุงได้ยากยิ่งนัก ร้านค้าในตลาดรับซื้อโอสถชนิดนี้ตลอดปี ร้านเราก็เช่นกัน แต่น่าเสียดายที่มีคนขายโอสถชนิดนี้น้อยมาก มิเช่นนั้นต่อให้จะเสนอราคาสูงหน่อย ร้านเราก็จะรับซื้อเช่นกัน” เด็กรับใช้ชุดดำกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้า แต่เขาย่อมไม่รีบร้อนขายโอสถในตอนนี้ หลังจากซื้อผลผลึกเขียวอายุสามร้อยปีจำนวนหนึ่งแล้ว ก็ออกจากร้านไปทันที
เขาไม่ได้กลับหอร้อยหลอมในทันที แต่กลับเดินเตร่ตามร้านต่างๆ เพื่อดูว่ามีสิ่งของน่าสนใจอย่างอื่นหรือไม่
ตลาดฉางหยางตั้งอยู่บนพรมแดนของกลุ่มอิทธิพลหลายกลุ่ม นอกจากเผ่าค้างคาวแล้วยังมีเผ่าอื่นๆ อยู่จำนวนหนึ่ง ด้วยหตุนี้จึงมีสิ่งของหายากที่ตลาดทั่วไปไม่มีเป็นจำนวนมาก
ตลอดทางที่ผ่านมา หลิ่วหมิงเก็บเกี่ยวมาได้ไม่น้อย
ครึ่งชั่วยามผ่านไป เมื่อเขาเดินออกจากร้านยันต์แห่งหนึ่งนั้น บนตัวเขาก็มียันต์ที่ซื้อเพิ่มขึ้นมาหลายผืน หลังจากกวาดสายตามองดูรอบด้าน ก็ค้นพบว่าด้านข้างเป็นร้านค้าอสูรจิตวิญญาณ
หลิ่วหมิงมีแมงป่องกระดูกกับหัวบินแล้ว ดังนั้นจึงไม่ค่อยสนใจอสูรเลี้ยงมากนัก ตนเองก็ไม่กำลังพอที่จะไปบ่มเพาะมัน ดังนั้นจึงละสายตาผ่านไป
พอเขาเดินผ่านประตูร้าน พลันได้ยินน้ำเสียงที่ไม่ได้ยินมานานดังขึ้นข้างหู
“ช้าก่อน เจ้าไปร้านตรงหน้าใกล้ๆ นี้หน่อย ข้ารับรู้ได้ถึงกลิ่นไอของไอปีศาจแท้เล็กน้อย” คือน้ำเสียงของหลัวโหวนั่นเอง
“ไอปีศาจแท้? เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง! ในตลาดฉางหยางมีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ผลุดๆ โผล่ๆ อยู่ตลอดเวลา ทำไมถึงไม่ค้นพบล่ะ!”
ตอนแรกหลิ่วหมิงก็รู้สึกอึ้งมาก แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงดังสะท้อนอยู่ในทะเลจิตรับรู้
“เจ้าจะรู้อะไร ไอปีศาจแท้นี้ถูกอะไรบางอย่างบดบังไว้ คนทั่วไปไม่อาจรับรู้ได้ ข้าเองก็อาศัยพลังของกรงขัง ถึงรับรู้ได้ถึงการดำรงอยู่ของมัน เอาล่ะ! อย่าพูดจาไร้สาระ รีบไปร้านนั้นแล้วหาสิ่งที่มีไอปีศาจแท้แฝงอยู่ออกมาเถอะ!” สุดท้ายเขายังพูดไม่ทันจบ ก็มีเสียงหลัวโหวดังขึ้นในหูอย่างทนรำคาญไม่ได้
หลิ่วหมิงแอบทำตามองบนสองสามที สำหรับคำพูดของหลัวโหวแล้ว เขาไม่อาจไม่ฟังได้ ดังนั้นจึงรีบผลักประตูเข้าไปทันที
ร้านไม่ค่อยใหญ่มากนัก ดูเหมือนว่าจะมีหน้าร้านแค่ห้องเดียวกับเรือนหลังอีกแห่งเท่านั้น
ห้องโถงด้านหน้ามีกรงจำนวนหนึ่งวางอยู่ ด้านในเลี้ยงอสูรจิตวิญญาณขนาดเล็กไว้ มีเสียงคำรามดังมาจากเรือนหลังอยู่รำไร มันคงเป็นอสูรจิตวิญญาณขนาดใหญ่
หลิ่วหมิงเดินเข้าไปในห้องโถงหน้า ในนั้นมีผู้ฝึกฝนสวมชุดบัญฑิตสองคน กำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกับชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงคนหนึ่ง บนตู้มีกล่องหยกวางอยู่สิบกว่าใบ มีสองใบที่เปิดออกแล้ว ดูเหมือนจะมีไข่หนอนอะไรบางอย่างที่ไม่รู้จักวางอยู่
พอเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา ชายร่างผอมสูงก็ขอปลีกตัวออกจากทั้งสอง และเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
“สหายผู้นี้ ต้องการซื้อปีศาจอสูรหรือ แม้ร้านเราจะเล็ก แต่อสูรหนอน อสูรมัจฉา อสูรวิหค ตั้งแต่ระดับศิษย์จิตวิญญาณจนถึงระดับของเหลว ร้านเรามีขายหมด”
“เชิญสหายยุ่งเรื่องของท่านไปเถิด ข้าก็แค่เดินดูเท่านั้น” หลิ่วหมิงโบกมือแล้วกล่าวออกมา
เจ้าของร้านได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย หลังจากพยักหน้าแล้ว ก็ไปทักทายแขกทั้งสองต่อ
ผู้ฝึกฝนที่ใส่ชุดบัณฑิตทั้งสอง คนหนึ่งดูมีอายุราวๆ สี่สิบกว่าปี ใบหน้ารูปสี่เหลี่ยม ค่อนข้างมีลักษณะน่าเกรงขาม อีกคนค่อนข้างหนุ่ม อายุราวๆ ยี่สิบกว่าปีเท่านั้น คิ้วรูปดาบยาวไปถึงจอนผม หน้าตาหล่อเหลามาก
ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายหรือว่าลักษณะท่าทางของทั้งสอง ถ้าจะบอกว่าเป็นผู้ฝึกฝน ไม่สู้บอกว่าเป็นปัญญาชนในโลกมนุษย์จะเหมาะกว่า ลีลาท่าทางของพวกเขาดูสุภาพและภูมิฐานมาก
สำหรับหลิ่วหมิงที่เดินเข้ามา ทั้งสองก็กวาดสายตามองทีหนึ่ง จากนั้นก็เลือกสิ่งของในตลับหยกต่ออย่างไม่สนใจ
หลิ่วหมิงไม่สนใจท่าทีของทั้งสองที่มีต่อเขา หลังจากสังเกตดูสิ่งของที่อยู่บนหิ้งสินค้าบริเวณนั้นแล้ว ก็ไปที่ตู้ตามที่หลัวโหวบอก และทำเหมือนกับหยิบกล่องหยกที่วางอยู่บนนั้นมาไว้ในมืออย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็สังเกตดูอย่างละเอียด
ในกล่องหยกมีไข่หนอนสีดำขนาดเท่านิ้วมือวางอยู่ใบหนึ่ง มีจุดสีดำจำนวนหนึ่งปกคลุมอยู่บนพื้นผิว แลดูธรรมดามาก
และขณะนั้นเอง ในมือบัณฑิตหนุ่มก็ถือไข่อสูรน้อยขนาดเท่าไข่ไก่อยู่ใบหนึ่ง และกำลังต่อรองราคากับเจ้าของร้านอยู่
“ไม่ต้องดูแล้ว ด้วยระดับความรู้ของเจ้า มองไม่เห็นความพิเศษที่อยู่ในนั้นหรอก คือใบที่เจ้าถืออยู่นี่แหละ” ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังศึกษาไข่หนอนในมืออย่างละเอียดนั้น คำพูดฉีกหน้าของหลัวโหวก็ดังเข้ามา
หลิ่วหมิงพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง เขารีบประคองไข่หนอนใบนี้ไว้ และตะโกนบอกเจ้าของร้าน
“ข้าจะเอาไข่หนอนใบนี้ ไม่ทราบว่าราคาเท่าใด?”
“สามหมื่นห้าพันหินจิตวิญญาณ” ชายผอมสูงได้ยินก็ปราดสายตามาดู และบอกราคาไปโดยไม่ต้องคิด
หลังจากต่อรองราคากันไปรอบหนึ่งแล้ว ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ซื้อไข่จักจั่นเขียวมาในราคาสามหมื่นหินจิตวิญญาณ
พอเห็นสภาพเช่นนี้ บัณฑิตหนุ่มที่อยู่อีกด้านก็ชายตามองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง ดูเหมือนเขาจะไม่พอใจกับพฤติกรรมรบกวนการค้าของหลิ่วหมิง
ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็ปล่อยพลังเย็นสะท้านที่แฝงอยู่ในเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬออกมา และแบ่งเป็นสามสาย จากนั้นก็ค่อยๆ จมเข้าไปในไข่หนอน
“หวึ่ง!”
ไข่หนอนสั่นสะท้านเบาๆ จุดสีดำบนเปลือกเปล่งแสงสีดำจางๆ ออกมา มันกระพริบตาแค่ทีเดียว ก็ดับลงอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงเผยสีหน้าดีใจออกมา พริบตาที่แสงสีดำเปล่งประกายนั้น เขาได้ส่งจิตเข้าไปด้านใน และรับรู้ได้ถึงกลิ่นไอเยือกเย็นที่คุ้นเคยในพริบตา
นั่นคือไอปีศาจแท้อย่างไม่ต้องสงสัย!
ขณะนั้นเอง บัณฑิตวัยกลางคนผู้นั้นก็หันหน้ามาทันที สายตาของเขาตกอยู่บนไข่หนอนสีเขียว และฉายแววฉงนออกมา
หลิ่วหมิงพยักหน้าด้วยความพอใจ และเก็บไข่หนอนใส่เข้าไปในกล่องหยก จากนั้นก็เดินออกไปด้านนอก
“ช้าก่อนสหายผู้นี้!” บัณฑิตวัยกลางคนดวงตาเป็นประกาย จากนั้นก็เคลื่อนตัวไปขวางอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง
“ท่านมีธุระสำคัญอันใดหรือ?” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย
“ไข่จักจั่นบนมือสหายใบนี้ ข้ายอมใช้ห้าหมื่นหินจิตวิญญาณเพื่อซื้อมัน” บัณฑิตวัยกลางคนมองกล่องหยกบนมือเขาทีหนึ่ง และค่อยๆ กล่าวออกมา
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาก็เดินเข้ามา และมองบัณฑิตวัยกลางคนด้วยความตกใจ จากนั้นก็สังเกตดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง ดูเหมือนจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“ขออภัย! ข้าไม่คิดจะขายไข่หนอนใบนี้” หลิ่วหมิงส่ายหน้าปฏิเสธ
บัณฑิตวัยกลางคนขมวดคิ้ว ดวงตาเผยแววดุร้าย ร่างกายของเขาแผ่กลิ่นไออันแข็งแกร่งออกมา ที่แท้ก็เป็นพลังกดดันของระดับผลึกขั้นต้น
“แปดหมื่นหินจิตวิญญาณ” บัณฑิตวัยกลางคนกล่าวอย่างราบเรียบ
หลิ่วหมิงหัวเราะในใจอย่างเยือกเย็น พลังกดดันที่ฝ่ายตรงข้ามปล่อยออกมา ไม่มีผลต่อเขาเลยแม้แต่น้อย
ผู้ฝึกฝนระดับผลึกก็เจอมามากแล้ว ตอนอยู่ในแดนอบอ้าวก็สังหารอัคคีจิตวิญญาณระดับผลึกขั้นต้นด้วยตนเอง ไหนเลยจะสนใจพลังกดดันเพียงเท่านี้
ก่อนเข้าสู่ระดับของเหลวขั้นปลาย และก่อนเข้าไปฝึกฝนในแดนมายา เขายังหวาดกลัวระดับผลึกอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขาย่อมไม่ใส่ใจอย่างแน่นอน
“ข้าได้พูดไปแล้ว ข้าไม่ขายไข่หนอนใบนี้” หลิ่วหมิงยังคงตอบปฏิเสธ
บัณฑิตวัยกลางคนได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็ดูโกรธเคืองเป็นอย่างมาก
“สหายอย่าได้ไม่รู้จักดีเลว เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกข้าทั้งสองเป็นคนของสำนักเฮ่าหราน อาจารย์อาของข้าเป็นผู้ดำเนินการสาขา เมื่อครู่เจ้าซื้อไข่หนอนใบนี้มาแค่สามหมื่นหินจิตวิญญาณสินะ พริบตาเดียวก็ได้กำไรมาห้าหมื่นหินจิตวิญญาณ ยังมีอะไรไม่พอใจอีก” แม้ชายหนุ่มไม่รู้ว่าทำไมบัณฑิตวัยกลางคนถึงเพิ่มราคาให้กับสิ่งที่ดูไม่เตะตาเช่นนี้ แต่ก็เอ่ยปากเผยสถานะที่แท้จริงออกมา เห็นได้ชัดว่าใช้คำพูดคุกคามอยู่
“อ้อ! ที่แท้ก็เป็นสหายจากสำนักเฮ่าหราน เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบ!” หลิ่วหมิงมองดูบัณฑิตทั้งสองทีหนึ่ง และค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา
“ครั้งสุดท้าย หนึ่งแสนหินจิตวิญญาณ มอบไข่หนอนให้ข้าเถอะ!” บัณฑิตวัยกลางคนเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
พอหลิ่วหมิงได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะออกมา จากนั้นก็หายวับผ่านข้างตัวบัณฑิตวัยกลางคน และพุ่งออกไปจากร้าน ทิ้งไว้เพียงคนของสำนักเฮ่าหรานสองคนที่ยืนตะลึงงันอยู่
ชื่อเสียงของสำนักเฮ่าหราน คนอื่นอาจหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่หลิ่วหมิงเป็นถึงศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ ย่อมไม่สนใจแต่อย่างใด
ภายในร้าน บัณฑิตวัยกลางคนมีสีหน้าเขียวปัดเล็กน้อย และกำมือทั้งสองไว้แน่น
หลังจากชายหนุ่มได้สติขึ้นมา ก็รู้สึกเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ และคิดจะตามไปด้วยความโมโห
“ช้าก่อน! ในเมื่อเขาไม่ยอมขายก็ช่างเถอะ!” บัณฑิตวัยกลางคนยื่นแขนคว้าตัวชายหนุ่มไว้ สีหน้าอึมครึมของเขาค่อยๆ สงบ
“อาจารย์อา หรือว่าจะปล่อยเขาไปเช่นนี้หรือ?” บัณฑิตหนุ่มบ่นด้วยความโมโห
…………………………………