“ศิษย์น้องอาจยังไม่รู้จักสภาพของที่แห่งนี้ ข้าจะอธิบายสั้นๆ ให้ฟังสักรอบก่อน ทางปีศาจร้ายคือมิติพิเศษแห่งหนึ่งที่แตกต่างจากโลกภายนอกที่แผ่นดินจงเทียนอย่างสิ้นเชิง สาเหตุที่เรียกขานว่าทางปีศาจร้ายก็เพราะมันเป็นดั่งชื่อของมัน ทุกหนแห่งล้วนมีผีร้ายเพ่นพ่าน สังหารไม่หมดไม่สิ้น ที่ร้ายยิ่งไปกว่านั้นก็คือกองทัพภูตผีที่รวมตัวกันอย่างเป็นระเบียบ พลังของพวกมันแข็งแกร่งจนผู้ฝึกฝนธรรมดาเทียบไม่ได้อย่างสิ้นเชิง” หลังออกจากหุบเขามืดมาได้ครู่หนึ่ง บุรุษร่างผอมก็เอ่ยกับหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย
“ขอบคุณศิษย์พี่ยิ่งนักที่ชี้แนะ แต่ไม่ทราบว่าเหตุใดหุบเขาเมื่อครู่จึงไม่สมควรรั้งอยู่นาน?” หลิ่วหมิงเอ่ยถาม
“หุบเขามืดแห่งนั้นเป็นจุดเชื่อมต่อที่มีไม่มากระหว่างแผ่นดินจงเทียนกับทางปีศาจร้าย เนื่องจากรอบด้านเป็นที่โล่งจึงมักถูกผีร้ายมากมายลอบจู่โจมอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งยังไม่อาจวางกำลังป้องกันอย่างแน่นหนาได้ ดังนั้นมันจึงถูกจัดเป็นหนึ่งในสถานที่อันตราย หากไม่ได้รับอนุญาตจากคนระดับบน ศิษย์คนใดก็ไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่ตามใจได้ ส่วนศิษย์ที่มาใหม่ พวกเราจะส่งคนมาล่วงหน้าตามเวลาที่นิกายกำหนดเพื่อพากลับไปยังฐานที่มั่น พูดถึงเรื่องนี้ครั้งก่อนที่มีคนใหม่มาก็เป็นเรื่องหลายปีก่อนหน้านี้แล้ว ข้าเองก็ได้รับแจ้งจากเบื้องบนเมื่อไม่กี่วันนี้จึงเดินทางมาอยู่บริเวณใกล้ๆ ล่วงหน้า” บุรุษร่างผอมผู้นี้ค่อยๆ อธิบายให้หลิ่วหมิงฟัง
“ถ้าเช่นนั้นทางปีศาจร้ายในวันนี้สถานการณ์เป็นเช่นไรกันแน่? แล้วกองทัพภูตผีเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?” หลิ่วหมิงพยักหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างแล้วถามขึ้นอย่างรอบคอบ
“หลังจากสี่ยอดนิกายใหญ่ของพวกเราตรากตรำจัดการมาหลายปี ยามนี้พวกเราควบคุมพื้นที่เล็กๆ ในทางปีศาจร้ายได้เบื้องต้นแล้ว แต่ทางปีศาจร้ายทั้งหมดกว้างใหญ่ไพศาล จนถึงวันนี้ก็ยังไม่อาจสำรวจไปถึงสุดขอบ ถึงขนาดที่ลือกันว่าสถานที่บางแห่งเชื่อมต่อไปถึงยมโลกที่อยู่ในตำนานได้ เรื่องนี้ตอนนี้คงยังไม่ต้องพูดถึง หากจะพูดถึงกองทัพภูตผีของที่แห่งนี้ข้าคงต้องอธิบายจำพวกของภูตผีในที่แห่งนี้กับศิษย์น้องก่อน ภูตผีที่นี่แบ่งคร่าวๆ ได้เป็นสองจำพวก พวกที่หนึ่งคือผีร้ายพื้นถิ่นที่ถือกำเนิดขึ้นมาเองจากปราณหยินในทางปีศาจร้าย พวกมันพลังค่อนข้างต่ำ ไม่ได้รวมตัวเป็นกลุ่มก้อนแน่นแฟ้นหรือรวมกันเป็นกลุ่มอำนาจที่เป็นหนึ่งเดียวกัน ส่วนใหญ่จะแยกกันอยู่เป็นเผ่าขนาดเล็กมากมายกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ แต่พวกมันจำนวนมากเหลือเกินจริงๆ ทั่วทั้งทางปีศาจร้ายจึงพบได้เป็นระยะ และมักจะเกิดเหตุการณ์ฝูงผีอันน่าหวาดกลัวโจมตีฐานที่มั่นเผ่ามนุษย์ของพวกเราอยู่บ่อยครั้ง อีกพวกหนึ่งคือกองทัพผีร้ายที่พลังแข็งแกร่งไม่เป็นรองพวกเรา พวกมันรวมกลุ่มกันอย่างเป็นระบบ นอกจากจะมีการแบ่งระดับขั้นยังมีอาวุธพร้อมสรรพและเชี่ยวชาญค่ายกลภูตผีนานาชนิด พวกมันมีแม้กระทั่งภูตอนธการที่พลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ ใต้บังคับบัญชาของภูตอนธการยังมีผีแม่ทัพใหญ่ที่ทัดเทียมกับผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ ผีแม่ทัพที่ทัดเทียมกับผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ รวมไปถึงผีรองแม่ทัพที่เทียบเท่ากับผู้ฝึกฝนระดับผลึกของเผ่ามนุษย์และผีทหารเลวจำนวนมาก ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหลังจากสี่ยอดนิกายใหญ่ยึดครองที่มั่นแถบนี้ของทางปีศาจร้ายได้ กองทัพผีร้ายเหล่านี้ก็ผุดตามขึ้นมาแล้วโจมตีฐานที่มั่นของสี่ยอดนิกายใหญ่อย่างบ้าคลั่ง” บุรุษร่างผอมรู้สถานการณ์ของที่แห่งนี้ดีอย่างยิ่ง เขาเล่าอย่างมั่นใจ
“ภูตอนธการระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์นี่รับมือกันอย่างไร?” หลิ่วหมิงได้ยินในใจก็ผวาไปวูบหนึ่ง
“เรื่องนี้ศิษย์น้องวางใจได้ แม้กองทัพผีร้ายจะมีภูตอนธการเป็นผู้หนุนหลัง แต่พวกเรานิกายใหญ่ต่างผลัดกันส่งยอดฝีมือระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์คนหนึ่งมาดูแลทางปีศาจร้ายและข่มภูตอนธการเอาไว้ เพื่อให้ผู้คนมั่นใจ นอกจากนี้สี่ยอดนิกายใหญ่ต่างก็ตั้งกองทัพผู้ฝึกฝนที่มีศิษย์นิกายตนเองเป็นหลักขึ้นมาเพื่อใช้ต้านกองทัพผีร้าย กองทัพแสงทองของนิกายยอดบริสุทธิ์ กองทัพหุ่นของนิกายเทียนกง กองทัพคุณธรรมของสำนักเฮ่าหรานและกองทัพซ่อนมารของนิกายปีศาจลี้ลับ ยามปกติสี่ยอดนิกายใหญ่ต่างควบคุมเมืองหลักแห่งหนึ่งกับป้อมปราการจำนวนไม่เท่ากันที่อยู่ใกล้เคียง เมื่อพบว่ามีกองทัพผีร้ายเข้าโจมตีก็จะส่งข่าวและร่วมมือกันทำศึก เทียบกับความสามัคคีของผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ แม้ผีร้ายพื้นถิ่นของทางปีศาจร้ายกับกองทัพผีร้ายบางครั้งจะร่วมมือกันจัดการผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ แต่บางครั้งก็ต่อสู้รบราฆ่าฟันกันเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์อย่างพวกเราทั้งจำนวนและพลังโดยรวมจะตกเป็นรอง แต่ก็ยังยืดหยัดต้านทานมาได้เป็นเวลานาน รักษาสมดุลได้อยู่บ้าง” บุรุษร่างผอมอธิบายอย่างช้าๆ
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง เช่นนั้นศิษย์น้องก็วางใจแล้ว จริงสิ ข้าอยากจะสอบถามศิษย์พี่อีกเรื่องหนึ่ง ไม่ทราบว่าศิษย์พี่รู้หรือไม่ว่า ‘เสี่ยวอู่’ ศิษย์อีกคนหนึ่งจากยอดเขาลั่วโยวของข้าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” หลังจากหลิ่วหมิงพยักหน้าก็พลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“เสี่ยวอู่? เจ้าพูดถึงสตรีผมสั้นสินะ ข้าพอจำได้อยู่บ้าง นางมาที่นี่พักหนึ่งแล้ว พลังยอดเยี่ยมยิ่งนักสร้างความชอบในการศึกไม่น้อย แต่ช่วงก่อนหน้านี้นางหายตัวไป” บุรุษร่างผอมคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยอย่างไม่แน่ใจ
“หายตัวไป? ศิษย์พี่ทราบหรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” หลิ่วหมิงได้ยินก็ตกตะลึงรีบเอ่ยถาม
“เรื่องนี้ ข้ารู้ไม่มากนักจริงๆ แต่เดี๋ยวศิษย์น้องไปถึงในเมืองก็ลองไปหาคนอื่นสอบถามดูสักหน่อยได้” บุรุษร่างผอมลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยตอบ
“ขอบคุณศิษย์พี่ยิ่งนักที่ชี้แนะ” หลิ่วหมิงพบว่าสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็ได้แต่เอ่ยไป
ระหว่างที่ทั้งสองคนสนทนากันก็เหาะออกมาได้ไกลหลายพันลี้ ฐานที่มั่นของกองทัพแสงทองแห่งนี้ไกลกว่าที่หลิ่วหมิงจินตนาการไว้นัก
ระหว่างทางน้อยครั้งนักจะเห็นผู้ฝึกฝนคนอื่นผ่านมา พวกเขาพบกลุ่มลาดตระเวนของศิษย์นิกายเทียนกงสองสามคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น พวกหลิ่วหมิงอยู่ห่างจากอีกฝ่ายหลายร้อยจั้ง เพียงมองหน้ากันครั้งหนึ่งต่างคนก็ต่างเหาะไปต่อ
แต่สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจก็คือนับตั้งแต่พวกเขาสองคนออกจากเขตหุบเขามืดมา ท้องนภาที่มืดทึบก็ค่อยๆ กลายเป็นสีเทาอ่อน ไม่นานนักก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม
ผ่านไปอีกไม่นาน ท้องนภาที่เดิมทีแลดูสงบฉับพลันก็เริ่มมีฝนโปรยปรายลงมา สิ่งที่ทำให้เขายิ่งรู้สึกประหลาดใจก็คือสายฝนเหล่านี้เป็นสีแดงอ่อน ทั้งยังมีกลิ่นเหม็นคาวเจือจางอยู่อีกด้วย
“ศิษย์น้อง นี่คือฝนกัดกร่อนที่มีเฉพาะในทางปีศาจ แม้ฤทธิ์ในการกัดกร่อนไม่รุนแรงนัก ผู้ฝึกฝนระดับผลึกขึ้นไปแทบจะไม่รู้สึก แต่นานเข้าก็ส่งผลอยู่บ้าง พวกเราหลบสักหน่อยค่อยเดินทางต่อจะดีกว่า” ชายหนุ่มร่างผอมเอ่ยเช่นนี้กับหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงพยักหน้าเห็นด้วยทันที
ดังนั้นทั้งสองคนจึงร่อนลงไปในแอ่งกระทะน้อยที่ล้อมรอบด้วยผาสูงสี่ด้านแห่งหนึ่งแล้วหลบเข้าไปในถ้ำขนาดเล็กแห่งหนึ่งใต้หน้าผาชัน
“ศิษย์พี่ ที่แห่งนี้มักจะมีฝนกัดกร่อนเช่นนี้ตกลงมาบ่อยหรือ?” ขณะที่หลิ่วหมิงซับน้ำจากเสื้อผ้าที่เปียกปอนและขาดเป็นรูเท่านิ้วหัวแม่มือหลายรูเพราะถูกกัดกร่อน เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา
“ฝนกัดกร่อนชนิดนี้พบไม่บ่อยนักในทางปีศาจร้าย หลายเดือนจะพบสักครั้ง แต่ตกมาครั้งหนึ่งก็นานหลายวันดังนั้นหลบสักหน่อยเป็นดี ถ้ำแห่งนี้ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยมา ดูท่าจะต้องอยู่ที่นี่หลายวัน ไม่สู้เข้าไปสำรวจด้านในสักหน่อยก่อน ไม่แน่อาจมีของสิ่งอื่นให้เก็บเกี่ยว อย่างไรในทางปีศาจร้ายก็มีของดีไม่น้อย” ชายหนุ่มร่างผอมส่ายศีรษะอธิบายกับหลิ่วหมิง
“ก็ดี”
หลังจากทั้งสองคนสนทนากันสั้นๆ ก็ตัดสินใจเข้าไปสำรวจด้านในถ้ำ
ปากถ้ำเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ตัวถ้ำล้วนเป็นหินภูเขาสีดำสนิทชนิดหนึ่ง ทั้งสองคนเดินเข้าไปเพียงสิบกว่าจั้งก็มืดสนิทมองไม่เห็นสภาพด้านในแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มร่างผอมผู้นั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมกันนั้นก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา แสงสีน้ำเงินเส้นหนึ่งพุ่งออกมา มันก็คือหินจันทราขนาดเท่าไข่ไก่ลูกหนึ่ง
หลังจากสิ่งนี้ปรากฏ แสงอ่อนโยนก็ส่องทั้งโถงถ้ำให้สว่างไสว แม้แต่ส่วนที่ลึกเข้าไปในถ้ำก็มองเห็นได้ชัดเจน
“ระวัง ทางปีศาจร้ายมีปราณหยินอยู่ทั่วไปหมด อีกทั้งภูตผีเหล่านั้นล้วนเชี่ยวชาญวิชาซ่อนตัว ดังนั้นแม้จะเข้าไปใกล้มันยิ่งนัก บางครั้งก็ยากจะพบร่องรอยของมัน” ชายหนุ่มร่างผอมเอ่ยเตือน
หลิ่วหมิงพยักหน้าหลังจากนั้นทั้งสองก็ก้าวเดินช้าๆ เข้าไปในถ้ำภูเขา
ลึกเข้าไปในถ้ำกว้างสู้ด้านนอกไม่ได้ หลิ่วหมิงกับศิษย์ร่างผอมผู้นั้นต่างต้องเบี่ยงกายแนบกับผนังหินด้านหนึ่งของถ้ำพร้อมกับที่ระวังด้านหน้าด้านหลังไปด้วย
ถ้ำแห่งนี้แคบและยาวยิ่งนัก ทั้งสองคนเดินไปชั่วเวลาจิบชาหนึ่งถ้วยก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเดินถึงปลายสุด นี่ทำให้หลิ่วหมิงเหมือนมีสัญญาณเตือนดังขึ้นในใจ
ปกติแล้วยิ่งถ้ำลึกก็ยิ่งปรากฏปีศาจอสูรหรือภูตผีระดับสูงง่าย
ขณะที่หลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่ในใจนั่นเอง เสียงตกใจของเซียเอ๋อร์ก็ดังขึ้นในหู
“นายท่าน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าสัมผัสได้ว่าด้านหน้าน่าจะมีผีกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งมาทางนี้ ท่าทางจำนวนจะไม่น้อย”
หลิ่วหมิงฟังแล้วก็ตะลึงไปชั่วครู่ สายตาทอประกายวูบหนึ่งจากนั้นลอบปล่อยจิตสัมผัสกวาดไปเบื้องหน้าทันที ทว่าเขาไม่พบสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด
ดังนั้นหลังจากเขาครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงตบถุงหนังข้างเอวเบาๆ โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน ไอหมอกสีดำสายหนึ่งลอยออกมาอย่างเงียบเชียบแล้วมุดเข้าไปในกำแพงหินฝั่งหนึ่ง
ทั้งสองคนเดินไปข้างหน้าอีกร้อยกว่าจั้ง ฉับพลันชายหนุ่มร่างผอมก็ชะงักเท้า หลิ่วหมิงที่อยู่ด้านหลังเขาย่อมหยุดตามด้วย
ไม่ไกลเบื้องหน้าจู่ๆ ถ้ำก็กว้างขึ้น มีห้องโถงศิลามืดสลัวขนาดไม่น้อยแห่งหนึ่งอยู่ พวกเขามองเห็นบุปผาจิตวิญญาณสีม่วงอ่อนขนาดเท่าฝ่ามือดอกแล้วดอกเล่าบนพื้นรวมถึงเถาวัลย์สีม่วงขนาดเท่าแขนเส้นแล้วเส้นเล่าที่ขดพันกันอยู่ได้อย่างเลือนราง
“สิ่งนี้คือ…” หลิ่วหมิงอดไม่ได้เอ่ยถามอย่างสงสัย
“สิ่งนี้คือ ‘ดอกจื่อหลิง’ อาหารที่พวกภูตผีชมชอบชนิดหนึ่ง แต่ดอกไม้ชนิดนี้งอกอยู่บนผากลางแจ้งบางแห่งเท่านั้น โดยทั่วไปไม่มีทางโผล่อยู่ลึกเข้ามาในถ้ำเช่นนี้ได้ นอกเสียจาก…” ชายหนุ่มร่างผอมสีหน้าเคร่งขรึม รีบพลิกฝ่ามือเรียกหินจันทราเพิ่มมาอีกลูกแล้วโยนเบาๆ ไปข้างหน้าทันที
แสงสีน้ำเงินสายหนึ่งวาดผ่านอากาศส่องทุกสิ่งในโถงถ้ำหินเบื้องหน้าให้สว่างไสว บนกำแพงหินรอบด้านมีค้างคาวสีเทาเกาะเบียดเสียดกันอยู่ตัวแล้วตัวเล่า มีมากมายถึงหลายร้อยตัว
“นี่…นี่มันค้างคาวผียมโลก!”
ชายหนุ่มร่างผอมเห็นภาพนี้ก็หลุดปากออกมาทันที
ค้างคาวผียมโลกเหล่านี้แตกต่างจากปีศาจค้างคาวที่หลิ่วหมิงเคยพบก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง แต่ละตัวล้วนแผ่ลมปราณน่าขนลุกอย่างที่สุดออกมา ดวงตาสีเขียวหยกทั้งสองข้างมีเปลวเพลิงลุกโชติช่วงอยู่ข้างใน
“กี๊ซๆ” เสียงค้างคาวกรีดร้องดังขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกัน ค้างคาวผีหลายร้อยตัวกางปีกทั้งสองข้างดังพรึ่บอย่างพร้อมเพรียง แล้วพุ่งมามืดฟ้ามัวดินเข้าใส่ทั้งสองคน
“แย่แล้ว ค้างคาวผียมโลกเหล่านี้กายเนื้อดุจเหล็กและโลหิตมีพิษร้ายยิ่งนัก สถานที่แคบเช่นนี้พวกเรายิ่งเสียเปรียบ พวกเราต้องรีบหนี!” บุรุษร่างผอมเอ่ยอย่างหวาดกลัว ร่างกายขยับวูบเดียวก็จะเหาะหนีไปด้านหลัง
“ศิษย์พี่ไม่ต้องตระหนก!” หลิ่วหมิงกลับเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่งเรียบๆ
สิ้นเสียง ด้านในถ้ำก็เกิดเสียงบึ๊มดังสนั่น กำแพงหินสองฝั่งฉับพลันสั่นไหวอย่างรุนแรง พื้นดินปริแตกในพริบตา เศษหินนับไม่ถ้วนขยับแล้วลอยขึ้นมา
“โจมตี” ทันใดนั้นเสียงอ่อนหวานเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากพื้น
เศษหินเกลื่อนพื้นหมุนตัวกลายเป็นธารหินโถมเข้าใส่ฝูงค้างคาวฝั่งตรงข้ามพร้อมเสียงดังกึกก้อง
“ฟิ้วๆ” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นกลางอากาศติดกันเป็นพรวน
ธารก้อนหินพุ่งทะลุร่างของค้างคาวปีกสีเทาเหล่านั้นดุจดาบแหลมคม ปราณสีดำกับเศษหินเกี่ยวกระหวัดกัน ชั่วขณะหนึ่งโลหิตกระเซ็นรอบด้าน แสงจิตวิญญาณปลิวว่อน
“ซู่ๆ” ก้อนหินที่ต้องเลือดของฝูงค้างคาวผียมโลกถูกกัดกร่อนจนมลายหายไปอย่างรวดเร็วราวกับก้อนน้ำแข็งละลาย ทว่าหลังจากนั้นก้อนหินก็หนุนเสริมเข้ามาต่อเนื่องไม่ขาดสาย ทำให้พวกหลิ่วหมิงสองคนไม่ถูกลูกหลงแม้แต่น้อย