เพียงเวลาเจ็ดถึงแปดลมหายใจ ค้างคาวผีที่พิการแขนขาขาดมากมายก็ร่วงหล่นเกลื่อนพื้น
ค้างคาวผีที่เหลือเห็นท่าไม่ดีจึงบินวนกลางอากาศแล้วกางปีกบินหนีไปยังทางเข้าถ้ำทันที ไม่นานก็หนีหายไปจนเกลี้ยง
ชายหนุ่มร่างผอมมองดูจนตาโตอ้าปากค้าง
ตอนนี้เองปราณสีดำสายหนึ่งก็ลอยออกมาจากใต้โถงถ้ำหิน สตรีผู้สวมชุดตาข่ายสีดำนางหนึ่งปรากฏตัวออกมา เซียเอ๋อร์นั่นเอง
“นายท่าน เซียเอ๋อร์ทำงานไม่เรียบร้อย ปล่อยให้ค้างคาวผีครึ่งหนึ่งหนีไปได้” เซียเอ๋อร์ค้อมกายเล็กน้อยคำนับหลิ่วหมิง
“ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ เจ้าทำได้ดีมากแล้ว” หลังจากหลิ่วหมิงเอ่ยเรียบๆ ประโยคหนึ่งก็ตบข้างเอว เซียเอ๋อร์กลายเป็นไอหมอกสีดำสายหนึ่งมุดเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณทันที
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอสูรเลี้ยงของศิษย์น้องหลิ่วจะกลายร่างได้ อีกทั้งยังมีพลังน่าตะลึงเช่นนี้ เพียงยกมือยกเท้าก็โจมตีค้างคาวผีมากมายเช่นนี้จนกระเจิง! ต้องรู้ว่าค้างคาวผีเหล่านี้ไม่เพียงจัดการยากยิ่งนัก ทั้งร่างสักส่วนยังไม่มีวัตถุดิบที่มีราคา พิษที่อยู่ในเลือดยิ่งทำลายอาวุธจิตวิญญาณได้ โดยทั่วไปไม่มีผู้ใดฝืนอยู่สู้กับผีพวกนี้หรอก” ตอนนี้ชายหนุ่มร่างผอมเพิ่งได้สติกลับมา เขาจ้องถุงหนังข้างเอวหลิ่วหมิงแล้วจิ๊ปากเอ่ยชม ท่าทางกระตือรือร้นมากกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด
นี่ก็ไม่แปลก แม้ตอนนี้หลิ่วหมิงได้ชื่อว่าอันดับหนึ่งของศิษย์นิกายสายใน แต่ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์คนอื่นที่ออกจากนิกายมาเนิ่นนานหลายสิบปีจนถึงนับร้อยปีเหล่านี้ย่อมไม่คุ้นเคยนัก แม้กระทั่งชื่อของตนก็อาจเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ
“ภูตผีและอสูรแห่งความมืดในทางปีศาจร้ายแห่งนี้น่าสนใจจริงๆ” หลิ่วหมิงฟังแล้วก็พยักหน้า เข้าใจสภาพของสถานที่แห่งนี้มากขึ้นอีกเล็กน้อย
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็สำรวจถ้ำหินทั้งหมดรอบหนึ่งแต่ไม่พบอะไรมากกว่านั้น
สองวันให้หลัง ในที่สุดฝนกัดกร่อนที่โปรยปรายลงมาทั่วท้องฟ้านี้ก็ค่อยๆ หยุด ทั้งสองออกจากถ้ำแล้วเหาะไปเมืองจินกวังต่อทันที
เดินทางเร็วบ้างช้าบ้าง หลังจากนั้นสองวัน ในที่สุดเมืองใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่แห่งหนึ่งก็ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาในสายตาของหลิ่วหมิง
“ศิษย์พี่หลิ่ว ที่นี่คือเมืองซึ่งเป็นฐานที่มั่นหลักของนิกายด้านในทางปีศาจร้าย เมืองจินกวัง” ชายหนุ่มร่างผอมชี้เมืองที่อยู่ไกลๆ เบื้องหน้าแล้วเอ่ยเช่นนี้
ระหว่างทางทั้งสองคนต่างถามชื่อแซ่ของกันและกันมาแล้ว ความสัมพันธ์จึงสนิทสนมขึ้นอีกไม่น้อย
ชายหนุ่มร่างผอมผู้นี้แซ่เยวี่ยนามว่าชี เป็นศิษย์แห่งยอดเขาหยกดำ เข้ามาในทางปีศาจร้ายเพื่อขัดเกลาตนเอง ค้นหาโอกาสเข้าสู่ระดับแกนแท้ จนถึงวันนี้นานสามสิบเก้าปีแล้วแต่ยังไม่สมดังหวังเสียที
เวลานี้หลิ่วหมิงมองออกไปไกลๆ ตามทิศทางที่เยวี่ยชีชี้ก็เห็นเมืองจินกวังอันยิ่งใหญ่อลังการ ครอบครองพื้นที่ราวยี่สิบสามสิบลี้ แทนที่จะเรียกว่าเมืองไม่สู้เรียกที่แห่งนี้ว่าป้อมปราการจะเหมาะสมกว่า
ทั้งเมืองสร้างขึ้นด้วยศิลาสีดำชนิดหนึ่ง กำแพงเมืองสี่ด้านสูงถึงร้อยกว่าจั้ง ใจกลางเมืองมองเห็นหอสูงสีขาวหลังหนึ่งแต่ไกล มันสูงกว่ากำแพงเมืองหลายสิบจั้ง บนยอดหอสูงมีลูกบอลแสงสีทองอ่อนมหึมาลูกหนึ่งลอยอยู่ มันหมุนสาดแสงสีทองอ่อนไปทั่วทุกสารทิศ มองจากไกลๆ ราวกับทั้งเมืองอาบแสงรัศมีสีทอง นี่อาจเป็นสาเหตุที่เมืองแห่งนี้ได้ชื่อว่าเมืองแสงทอง
บนกำแพงทั้งสี่ด้านมีผู้ฝึกฝนลาดตระเวนไปมาเป็นระยะ ทุกระยะหลายสิบจั้งจะมีหอขนาดเล็กหอหนึ่ง บนหอวางเครื่องยิงศรยักษ์น่าตะลึงเครื่องหนึ่งเอาไว้ ลูกศรโลหะแต่ละดอกที่พาดสายอยู่บนนั้นยาวหลายจั้ง บนนั้นแผ่แสงพลังเวทเรืองๆ ออกมา
เครื่องยิงศรยักษ์เช่นนี้โจมตีออกมา กระทั่งผู้ฝึกฝนระดับผลึกก็คงยากจะเผชิญกับคมอาวุธของมันตรงๆ
บนกำแพงฝั่งที่อยู่นอกเมืองทุกหนแห่งล้วนมองเห็นรอยขรุขระคล้ายมีคนโจมตีแล้วทิ้งร่องรอยเอาไว้ แม้บริเวณเหล่านี้จะถูกซ่อมแซมแล้ว แต่ก็ยังเห็นรอยแตกเส้นยาวอยู่ไม่น้อย จากสิ่งนี้เห็นได้ว่าเรื่องที่เยวี่ยชีเล่าว่ากองทัพผีร้ายโจมตีอย่างบ้าคลั่งคงไม่ใช่คำลวง เรื่องจริงเหมือนจะยิ่งกว่านั้น
บนท้องฟ้าใกล้เมืองมีจุดสีดำจำนวนไม่น้อยวนเวียนอยู่ใกล้ไกลทั่วไปหมด เมื่อเพ่งมองจึงเห็นว่าเป็นวิหคสีดำตัวแล้วตัวเล่า น่าจะกำลังลาดตระเวนโดยรอบอยู่
“เมืองแสงทองแห่งนี้คุ้มกันแน่นหนาจริง” หลิ่วหมิงรั้งสายตากลับมาแล้วพยักหน้า
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว! ตามข้าเข้ามาในเมืองก่อนเถิด ศิษย์ของนิกายคนใดที่เข้ามาในทางปีศาจร้ายเป็นครั้งแรกล้วนต้องไปลงชื่อในเมือง หลังจากนั้นผู้อาวุโสเบื้องบนจึงจะแจกจ่ายภารกิจให้” ชายหนุ่มแซ่เยวี่ยพูดพลางเหาะนำเข้าไปที่ประตูเมืองก่อน หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงกระตุ้นลำแสงตามไป
ขณะที่ยังอยู่ห่างจากประตูเมืองร้อยกว่าจั้ง บนกำแพงก็มีผู้ฝึกฝนสี่ห้าคนเหาะออกมาในทันใด พวกเขาสวมชุดเกราะสีน้ำเงินแบบเดียวกัน มุ่งมาหาทั้งสองคน
“หยุด!” ผู้ฝึกฝนเหล่านี้หยุดห่างไปสิบกว่าจั้ง แสงสีน้ำเงินสว่างวาบขึ้นบนมือผู้ฝึกฝนวัยกลางคนที่เป็นหัวหน้า ทันใดนั้นกระบี่หนายาวหลายฉื่อเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาแล้วชี้มาทางพวกหลิ่วหมิงแต่ไกล จากนั้นเสียงเข้มก็ตวาดถาม
ชายหนุ่มแซ่เยวี่ยส่งสายตาให้หลิ่วหมิง ทั้งสองคนหยุดตามคำบอก
หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสบนร่างพวกเขา คนเหล่านี้พลังระดับผลึกขั้นปลาย ผู้ฝึกฝนวัยกลางคนที่เป็นหัวหน้าเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือน
“ทุกท่าน ข้าน้อยคือเยวี่ยชีจากกองพลที่หนึ่งแห่งกองทัพแสงทอง นี่คือป้ายประจำตัวของข้า ส่วนคนด้านหลังผู้นี้คือหลิ่วหมิงจากยอดเขาลั่วโยวศิษย์ที่มาใหม่จากนิกาย ข้ากำลังจะพาเขาเข้าเมืองไปรายงานตัว” ชายหนุ่มแซ่เยวี่ยเอ่ยพลางพลิกมือเรียกป้ายสีดำแผ่นหนึ่งออกมาส่งให้ หลิ่วหมิงเองเมื่อได้รับสัญญาณจากเขาก็เรียกตรานิกายออกมาส่งให้พวกเขาเช่นกัน
ผู้ฝึกฝนวัยกลางคนพลิกดูหลักฐานแสดงตัวของทั้งสองคนอย่างละเอียด ในที่สุดสีหน้าระแวงก็หายไปแล้วส่งหลักฐานแสดงตัวคืนแก่ทั้งสองคน ผู้คนด้านหลังก็ลดมือลงด้วย
ผู้ฝึกฝนหนุ่มคนหนึ่งเหาะออกมาแล้วนำกระจกสีเทาขมุกขมัวบานหนึ่งส่องลำแสงสายหนึ่งล้อมพวกหลิ่วหมิงสองคนไว้ทันที
หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว แต่เมื่อเห็นว่าบุรุษแซ่เยวี่ยไม่ขัดขืนสักนิดจึงไม่ตอบโต้อันใด ปล่อยให้ลำแสงล้อมพวกเขาไว้ด้านใน
พลังงานร้อนผ่าวสายหนึ่งส่งผ่านมาจากในลำแสง เคลื่อนวนในร่างเขาอย่างเร็วไวรอบหนึ่ง
“กระจกแห่งความมืดไม่มีปฏิกิริยา ดูท่าสองคนนี้จะไม่มีปัญหาอะไร” ผู้ฝึกฝนหนุ่มเก็บกระจกแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ
ยามนี้ผู้ฝึกฝนวัยกลางคนจึงพยักหน้า สีหน้าผ่อนคลายลง หลังจากประสานมือให้พวกหลิ่วหมิงครั้งหนึ่ง พวกเขาก็หมุนตัวเหาะกลับไปยังกำแพงเมือง
“คนเหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์ลาดตระเวนของกองพลที่สองแห่งเมืองจินกวัง เพราะช่วงก่อนหน้านี้เคยเกิดเหตุกองทัพผีร้ายปลอมเป็นผู้ฝึกฝนนิกายเราปะปนเข้ามาในเมืองจินกวัง ดังนั้นผู้ฝึกฝนที่จะเข้าไปในเมืองแห่งนี้ต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวดยิ่งนัก กระจกแห่งความมืดในมือพวกเขาก็คือสิ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้แยกแยะภูตผีโดยเฉพาะ” ชายหนุ่มแซ่เยวี่ยกระตุ้นลำแสงร่อนลงบนพื้นแล้วอธิบาย
“กองพลที่หนึ่งกับกองพลที่สองที่ศิษย์พี่เยวี่ยเอ่ยถึงคือ…” หลิ่วหมิงฟังแล้วก็เอ่ยถามอย่างสงสัยอยู่บ้าง
“ฮ่าๆ ศิษย์พี่ผิดเอง ลืมบอกกล่าวเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับกองทัพแสงทองของพวกเราแก่ศิษย์น้องหลิ่ว กองทัพแสงทองแห่งนี้มีทั้งหมดสามกองพล ได้แก่กองพลที่หนึ่ง กองพลที่สองและกองพลที่สาม หลังจากลงชื่อในเมืองแล้วจะต้องเลือกระหว่างทั้งสามกองพล หลังจากนี้ทุกสามปีจึงจะมีโอกาสเปลี่ยนกองพลที่สังกัดหนึ่งครั้ง” ชายหนุ่มแซ่เยวี่ยเดินไปยังประตูเมืองแล้วอธิบายพร้อมกับรอยยิ้ม
“หากกล่าวเช่นนี้ กองพลทั้งสามนี้คงมีงานของตัวเองกระมัง?” หลิ่วหมิงเดินเคียงไหล่ไปกับชายหนุ่มแซ่เยวี่ยแล้วเอ่ยถามต่อ
“ศิษย์น้องหลิ่วพูดไม่ผิด กองพลที่หนึ่งนี้เป็นกำลังหลักของกองทัพแสงทอง ความรับผิดชอบหลักคือทำภารกิจนานาชนิดที่เบื้องบนมอบหมายให้สำเร็จและมีรับหน้าที่สืบหาข่าวคราวไปด้วย พวกเขาเป็นกองพลที่มักจะต้องสู้รบเข่นฆ่ากับภูตผีที่แข็งแกร่ง อัตราความเสี่ยงสูงที่สุด แต่เทียบกันแล้วพวกเขาก็มีโอกาสเลื่อนเข้าสู่ระดับแก่นแท้มากที่สุดเช่นเดียวกัน อีกทั้งรางวัลที่จะได้รับก็มากที่สุดอีกด้วย ส่วนกองพลที่สองคือกองพลที่คุ้มกันที่แห่งนี้ ความรับผิดชอบหลักคือป้องกันและลาดตระเวนเมืองจินกวัง ยามปกติหากไม่มีสถานการณ์พิเศษห้ามออกห่างเมืองแม้สักก้าว เทียบกับกองพลที่หนึ่งแล้วอันตรายและความเสี่ยงย่อมน้อยกว่ามาก ส่วนกองพลที่สามเทียบกันแล้วมีอิสระมากกว่า ความรับผิดชอบหลักคืองานเก็บกวาด คนไม่น้อยที่มายังที่แห่งนี้เพื่อวัตถุดิบบางอย่างซึ่งมีอยู่ที่นี่เท่านั้น และผู้คนที่หลอมอาวุธ ปรุงโอสถรวมถึงวาดยันต์ในเมืองล้วนสังกัดกองพลนี้ โดยทั่วไปแล้วหน้าใหม่ที่เข้ามาที่นี่ล้วนจะเลือกอยู่กองพลที่สามก่อน เมื่อคุ้นเคยและปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่นี่ได้สักหน่อยแล้ว ในการเลือกครั้งที่สองสามปีให้หลังจึงเข้าร่วมกองกำลังประจำฐานที่มั่นฝึกปรือฝีมือสักพัก การเลือกครั้งที่สามอีกสามปีให้หลังจึงจะยื่นขอเข้าร่วมกองพลที่หนึ่ง” ชายหนุ่มแซ่เยวี่ยอธิบายสภาพของที่แห่งนี้ให้หลิ่วหมิงฟังอย่างละเอียด
ระหว่างที่สนทนากันทั้งสองคนก็มาถึงประตูเมืองแล้ว
ทั้งสองคนเพิ่งถูกศิษย์ที่ลาดตระเวนตรวจสอบมารอบหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ศิษย์ที่เฝ้าประตูเมืองจึงดูหลักฐานแสดงตัวของทั้งสองคนเล็กน้อยเท่านั้นก็ปล่อยทั้งสองคนเข้ามาในเมือง
เมื่อเข้ามาในประตูเมือง หลิ่วหมิงก็เลิกคิ้ว ปราณหยินที่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่งในทางปีศาจร้ายฉับพลันก็เบาบางลง รอบด้านกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินจำนวนไม่น้อย
เขามองแสงสีทองที่ลอยกระจายอยู่บนท้องฟ้าแล้วพลันเข้าใจ
หน้าประตูเมืองคือถนนใหญ่กว้างหลายจั้งเส้นหนึ่ง สองฝั่งคือบ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างจากหินเขียวแถวแล้วแถวเล่า หน้าตาดูเก่าแก่เรียบง่ายเหมือนกันไปหมด แลดูหยาบกระด้างแต่ทนทานเช่นเดียวกับกำแพง ไม่งดงามแต่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
ในเมืองเห็นร่างผู้คนน้อยยิ่งนักจนแลดูวังเวงอยู่บ้าง แต่สองข้างถนนทุกระยะหนึ่งจะเห็นร้านค้าและแผงขายของเรียบง่ายสองสามร้านอยู่รางๆ ทำให้ที่แห่งนี้แลดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาเล็กน้อย
เห็นชัดว่าชายหนุ่มแซ่เยวี่ยคุ้นเคยกับสภาพของที่แห่งนี้ยิ่งนัก เขาเดินตรงไปยังหอสูงใจกลางเมือง หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่พูดพร่ำติดตามไป
ไม่นานนัก ทั้งสองคนก็มาถึงหน้าหอสูงใจกลางเมืองจินกวัง
เมื่อเข้ามาใกล้ หลิ่วหมิงจึงเพิ่งสัมผัสได้ชัดเจนถึงความยิ่งใหญ่ของหอสูงตรงหน้า ตัวหอสูงทั้งหลังก่อจากหยกสีขาวไม่ทราบชื่อชนิดหนึ่ง ทุกตารางนิ้ววาดลวดลายจิตวิญญาณมากมายถี่ยิบเอาไว้
ยอดหอตรงสูงเสียดฟ้า สูงถึงสองร้อยจั้ง บนตัวหอมีทางเข้าน้อยใหญ่หลายสิบทางราวกับรังผึ้ง มองเห็นเงาคนขยับอยู่ด้านในเลือนราง
“หอสูงหลังนี้คือแกนกลางสำคัญของเมืองจินกวัง ผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในหอแห่งนี้ ศิษย์น้องเจ้ามาได้เหมาะเจาะยิ่งนัก เวลานี้ผู้ที่บัญชาการระดับบนสุดในหอก็คือบรรพจารย์ระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ของนิกายเรา” เยวี่ยชีชี้ชั้นบนสุดของหอสูงแล้วเอ่ยด้วยท่าทางลึกลับเล็กน้อย
หลิ่วหมิงแหงนหน้ามองขึ้นไปก็เห็นว่าส่วนบนสุดของหอถูกแสงแสบตาซึ่งส่องลงมาจากลูกบอลแสงสีทองด้านบนล้อมเอาไว้ จนมองเห็นสภาพไม่ชัดอย่างสิ้นเชิง แลดูลึกลับยิ่งนัก