เพราะป้ายประจำตัวของเสี่ยวอู่ตกอยู่ในมือของกองทัพผีร้าย ตอนทั้งสองคนเข้าเมืองจินกวังจึงเสียเวลาไปพักหนึ่งกว่าจะเข้าเมืองมาได้อย่างราบรื่น
พริบตาที่เหยียบเข้ามาในเมืองจินกวัง เสี่ยวอู่พลันกัดริมฝีปากแผ่วเบา ในดวงตามีแววตาซับซ้อนประหลาดพาดผ่าน
นับตั้งแต่ออกไปทำภารกิจข้างนอกจนกระทั่งถึงวันนี้ผ่านไปเกือบสิบปีแล้ว สหายร่วมทางล้วนกลายเป็นภูตผี ตนเองก็เกือบจะเสียท่า นี่เป็นเรื่องอันตรายที่สุดในชีวิตการฝึกฝนของนางอย่างแท้จริง วันนี้กลับมาในเมืองอีกครั้งทำให้นางอดไม่ได้รู้สึกราวกับข้ามเวลามา
“ศิษย์พี่เสี่ยวอู่ เรื่องที่เนินหลิงจิ้วต้องรายงานผู้อาวุโสสักหน่อย ร่างกายของท่านยังไหวกระมัง?” หลิ่วหมิงเหลือบมองเสี่ยวอู่แล้วเอ่ยถาม
“ได้ ไม่มีปัญหา” เสี่ยวอู่สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วแย้มรอยยิ้มเอ่ยขึ้น
หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วโบกมือ ปราณสีดำกลุ่มหนึ่งล้อมทั้งสองคนเอาไว้แล้วเหาะไปยังหอหลักใจกลางเมือง
ในห้องโถงใหญ่ของหอหลักตรงกลาง
“คารวะผู้อาวุโสทั้งสอง!” หลิ่วหมิงค้อมกายคำนับทารกเฮ่าเยวี่ยกับผู้อาวุโสแซ่กู่ที่อยู่ตรงหน้า เสี่ยวอู่ก็ค้อมกายลงตามเช่นกัน
“พวกเจ้าสองคนไม่ต้องมากพิธี เมื่อครู่ได้รับรายงานแล้วว่าครั้งนี้ศิษย์หลานหลิ่วสร้างความชอบอีกครั้ง แล้วก็เสี่ยวอู่ ที่ผ่านมาปล่อยให้เจ้าทรมานแล้ว” ทารกเฮ่าเยวี่ยแย้มรอยยิ้มเอ่ยขึ้นมา
หลิ่วหมิงยิ้มแต่ไม่พูดอันใด
“ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งนักที่ห่วงใย” เสี่ยวอู่ตอบอย่างซาบซึ้ง
นางได้ฟังจากหลิ่วหมิงแล้วว่าครั้งนี้ที่ลักลอบเข้าไปในเนินหลิงจิ้วสำเร็จได้ ตะกร้าฝ่าค่ายกลที่ทารกเฮ่าเยวี่ยให้เขายืมช่วยเอาไว้มาก
“ศิษย์หลานหลิ่ว เหตุใดจึงช่วยศิษย์หลานเสี่ยวอู่ออกมาเพียงคนเดียว ศิษย์คนอื่นถูกสังหารเสียแล้วหรือ?” ผู้อาวุโสกู่แววตาไหววูบแล้วเอ่ยถาม
“ศิษย์กำลังจะรายงานเรื่องนี้กับทั้งสองท่านพอดี ฐานที่มั่นของกองทัพผีที่เนินหลิงจิ้วดูเหมือนเป็นฐานที่มั่นธรรมดาของกองทัพผี ทว่าหลังจากศิษย์ลักลอบเข้าไปด้านในก็พบว่า…” หลิ่วหมิงเล่าสิ่งที่เห็นภายในเนินหลิงจิ้วออกมาอย่างละเอียดทุกประการ แล้วยังบอกเรื่องที่เสี่ยวอู่เล่าให้ฟังกับพวกทารกเฮ่าเยวี่ยทั้งสองคนด้วย
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย เปลี่ยนศิษย์ของนิกายต่างๆ ให้กลายเป็นภูตผีที่เหมือนผีดิบ…” ผู้อาวุโสแซ่กู่กับทารกเฮ่าเยวี่ยสบตากัน ในดวงตาเผยแววตาตกตะลึงออกมา
พวกเขาเคยวิเคราะห์จากข่าวสารที่ได้มาแล้วคาดเดากันว่าด้านในเนินหลิวจิ้วน่าจะเป็นสถานที่ทดลองค่ายกลของกองทัพผีร้ายแห่งหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าสภาพด้านในกลับชวนให้คนฟังตกตะลึงเช่นนี้
“ศิษย์ได้ประมือกับผีดิบที่สูญเสียสตินึกคิดเหล่านั้น ศิษย์พี่เสี่ยวอู่บอกว่าก่อนหน้านี้พวกเขาส่วนใหญ่เป็นเพียงผู้ฝึกฝนระดับผลึก แต่หลังกลายเป็นผีดิบ ร่างกายฟันแทงไม่เข้า พลังรุดหน้าจนเทียบเท่ากับผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ทั่วไป” หลิ่วหมิงเอ่ยต่อ
“ตอนที่ข้าถูกขัง บางครั้งก็เคยได้ยินทหารผีที่เฝ้าอยู่คุยกัน พวกเขาเรียกผู้ฝึกฝนที่กลายเป็นผีดิบเหล่านั้นว่าภูตคนตาย” เสี่ยวอู่อธิบายแทรกขึ้นมา
“ภูตคนตายหรือ?” ทารกเฮ่าเยวี่ยฟังแล้วก็อึ้งไป เขามองผู้อาวุโสแซ่กู่ ฝ่ายหลังส่ายศีรษะ เห็นชัดว่าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเช่นกัน
“ผู้ฝึกฝนที่ถูกขังอยู่ที่นั่นมีประมาณเท่าไร?” ผู้อาวุโสแซ่กู่ถามเสียงขรึม
“จากที่ศิษย์เห็นน่าจะมีราวร้อยคน” หลิ่วหมิงนึกย้อนไปถึงสภาพด้านในเนินหลิงจิ้วแล้วจึงเอ่ยตอบ
“หลายปีก่อนตอนที่ข้าถูกจับเข้าไปจำนวนยังไม่มากเท่านี้ เพิ่งเพิ่มขึ้นหลายปีนี้” เสี่ยวอู่นึกอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยเสริม
ทารกเฮ่าเยวี่ยกับผู้อาวุโสแซ่กู่ฟังแล้วสีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นอีกหลายส่วน
“หลายวันนี้ลำบากศิษย์หลานหลิ่วแล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด แล้วก็ศิษย์หลานเสี่ยวอู่ ข้าเห็นว่าลมปราณของเจ้าไม่มั่นคง พักรักษาตัวในเมืองสักระยะหนึ่งก่อนเถิด” ทารกเฮ่าเยวี่ยใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็สั่งเช่นนี้
“รับทราบ ศิษย์ขอตัว” หลิ่วหมิงคำนับครั้งหนึ่งก็เดินออกมาจากหอสูงด้วยกันกับเสี่ยวอู่อย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นเงาของพวกหลิ่วหมิงเดินออกไปแล้ว สีหน้าของทารกเฮ่าเยวี่ยกับผู้อาวุโสแซ่กู่ก็ถมึงทึงอย่างสมบูรณ์
“คิดไม่ถึงว่าเนินหลิงจิ้วเล็กๆ แห่งหนึ่งจะซ่อนความลับใหญ่โตเช่นนี้เอาไว้ หากรู้เรื่องนี้ก่อน ตอนแรกน่าจะส่งหน่วยย่อยสักหลายหน่วยไปทำภารกิจด้วยกันกับหลิ่วหมิง ไม่แน่อาจช่วยศิษย์ที่ยังไม่กลายเป็นภูตผีมาได้อีกหลายคน” ทารกเฮ่าเยวี่ยเอ่ยอย่างแค้นใจเล็กน้อย
“ตอนนี้ต่อให้ส่งคนไปอีก ที่นั่นก็คงเพิ่มการป้องกันแล้ว พลาดโอกาสเสียแล้ว” ผู้อาวุโสกู่ถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นบ้าง
“ไม่รู้ว่าฐานที่มั่นอื่นของทหารผีจะมีเรื่องคล้ายกันเกิดขึ้นหรือไม่” ทารกเฮ่าเยวี่ยคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาอีก
“น่าจะไม่มีแล้ว จำนวนคนที่หลิ่วหมิงบอกใกล้เคียงกับจำนวนศิษย์หัวกะทิที่หายไปหลายปีนี้ของทั้งสี่กองทัพของพวกเรา นอกจากนี้วังวนปราณหยินที่เข้มข้นผิดปกติอันนั้นที่พวกเขาพบ จากที่ข้าคาดการณ์น่าจะเป็นค่ายกลรวบรวมปราณหยินขนาดใหญ่อันหนึ่ง กองทัพผีร้ายเหล่านี้น่าจะไม่มีความสามารถพอที่จะสร้างอันที่สอง” ผู้อาวุโสแซ่กู่เอ่ยเชื่องช้าขณะที่แววตาครุ่นคิดแล่นผ่านดวงตา
“ไม่ว่าอย่างไร รายงานเรื่องนี้กับอาจารย์อาเหยาก่อนเถิด” ทารกเฮ่าเยวี่ยเอ่ยเช่นนี้
ผู้อาวุโสกู่ย่อมพยักหน้าเห็นด้วย
หลิ่วหมิงกับเสี่ยวอู่ออกจากหอสูงก็กลับไปยังเขตที่พักในเมืองอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์พี่ ร่างกายท่านตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” หลิ่วหมิงเอ่ยถามอย่างห่วงใยขณะที่อยู่บนท้องฟ้า
“ไม่เป็นอะไรมากแล้ว แม้ครั้งนี้จะทุกข์ทรมานมากนัก แต่ก็ยังดีที่รอดพ้นอันตรายมาได้อย่างหวุดหวิด อีกทั้งอยู่ในสภาพเช่นนั้นเป็นเวลานาน พลังเวทในร่างก็บริสุทธิ์ขึ้นมากนัก ข้าสัมผัสได้เลือนรางว่าพบโอกาสทะลุผ่านคอขวดแล้ว” เสี่ยวอู่ถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นมา
“หรือว่า…ฮ่าๆ ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยก็ยินดีกับศิษย์พี่ด้วย” หลิ่วหมิงฟังแล้วก็อึ้งไปจากนั้นก็หัวเราะ
ทั้งสองคนสนทนาสัพเพเหระกันหลายประโยคแล้วก็แยกย้ายกันไป
หลิ่วหมิงกลับมาในถ้ำที่พักของหน่วยย่อยที่เจ็ดอย่างรวดเร็วแล้วปิดประตูฝึกฝน
ในห้องลับของถ้ำที่พักเงียบสงบ
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลมตรงกลาง ไอหมอกสีดำล้อมรอบร่างก่อตัวเป็นลูกกลมขนาดหนึ่งจั้งกว่าสีดำสนิทดุจน้ำหมึกลูกหนึ่ง
เส้นไหมสีดำเส้นแล้วเส้นเล่ารวมตัวจากทั่วทุกสารทิศมาหาลูกกลมเป็นระยะทำให้ลูกกลมยิ่งหนาและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
เนิ่นนานหลังจากนั้นเสียงแผ่วเบาก็ทำลายความเงียบสงัดด้านในห้อง
ลูกกลมสีดำทั้งลูกพังทลายกลายเป็นปราณสีดำมากมาย ท่ามกลางปราณสีดำมังกรหมอกห้าตัวกับพยัคฆ์หมอกห้าตัววนเวียนล้อมรอบตัวหลิ่วหมิงพลางส่งเสียงกู่ร้องคำรามเป็นระยะไม่หยุด
อึดใจต่อมามังกรหมอกกับพยัคฆ์หมอกทั้งหมดก็กลายเป็นไอสีดำสายแล้วสายเล่าจมเข้าไปในกระหม่อมของเขาแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เขาลืมตาขึ้น ดวงตาฉายแววยินดี แม้พลังของเขาไม่ก้าวหน้า แต่การโคจรพลังเวทไหลลื่นกว่ายามเพิ่งเข้ามาในทางปีศาจร้ายไม่น้อย อีกทั้งเขายังสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังเวทในทะเลจิตวิญญาณบริสุทธิ์ขึ้นกว่าเดิม
“ดูท่าความสงบสุขของทางปีศาจร้ายแห่งนี้กำลังจะจบสิ้นแล้ว” ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็ลูบปลายคางแล้วเผยสีหน้าเหมือนกำลังคิดบางสิ่ง
คัมภีร์หยกข่าวสารเล่มนั้นที่นำกลับมาจากป้อมปราการภูเขายักษ์ครั้งก่อน เขาได้เห็นเนื้อหาด้านในอย่างคร่าวๆ แล้ว ในนั้นคือแผนที่ฐานที่มั่นแต่ละแห่งของกองทัพผีร้ายรวมถึงสภาพกำลังทหารของฐานที่มั่นแห่งต่างๆ
นิกายต้องการข่าวสารเหล่านี้เพื่อทำอะไร เขาพอจะเดาได้
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงแรงกดดันของพายุที่กำลังจะมาเยือน ก่อนหน้านั้นเขาจะต้องเพิ่มพลังขึ้นให้ได้อีกสักหน่อย
……
เป็นเช่นนั้นดังที่หลิ่วหมิงคาด หลังจากนั้นกองทัพแสงทองและกองทัพของนิกายใหญ่อีกสามแห่งก็เริ่มได้รับสัญญาณนานาประการจากเบื้องบนถี่ขึ้น หน่วยย่อยระดับหัวกะทิถูกส่งออกไปเป็นระยะเพื่อจู่โจมฐานที่มั่นรอบนอกจำนวนหนึ่งของกองทัพผีร้าย
กองทัพทั้งสี่ล้วนมุ่งเป้าไปยังฐานที่มั่นจำนวนหนึ่งรอบนอกซึ่งกำลังทหารค่อนข้างอ่อนแอ แต่ละฐานที่มั่นมีผีแม่ทัพระดับแก่นแท้อย่างมากที่สุดตนหรือสองตนบัญชาการอยู่ เมื่อถูกหน่วยย่อยระดับหัวกะทิของกองทัพทั้งสี่เจาะจงจู่โจมย่อมบาดเจ็บล้มตายสาหัส ในเวลาสั้นๆ มีฐานที่มั่นถูกโจมตีติดต่อกันหลายสิบแห่ง
แต่กองทัพผีร้ายก็โต้ตอบเรื่องนี้อย่างรวดเร็วยิ่งนัก พวกมันไม่ได้หดหัวเป็นเต่าเอาแต่ป้องกัน ตรงกันข้ามพวกมันเริ่มเคลื่อนกำลังทหารขนาดใหญ่ แล้วฉวยโอกาสที่กองทัพใหญ่ทั้งสี่ส่งกำลังหลักออกมาข้างนอก เริ่มผลัดเวรโจมตีป้อมปราการรอบนอกแต่ละแห่งของกองทัพใหญ่ทั้งสี่ตลอดทั้งวันทั้งคืนอย่างไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น
สถานการณ์ที่คิดไม่ถึงเช่นนี้ทำให้เบื้องบนของกองทัพใหญ่ทั้งสี่ตกตะลึงยิ่งนัก พวกเขาตกเป็นฝ่ายถูกเล่นงาน หลังจากหารือกันระยะหนึ่งจึงได้แต่ทิ้งแผนจู่โจมฐานที่มั่นของกองทัพผีร้ายชั่วคราวแล้วเปลี่ยนมาป้องกันเป็นหลัก
ยังดีที่กองทัพผีร้ายเหมือนจะยังไม่คิดบุกเข้ามาในอาณาเขตของกองกำลังเผ่ามนุษย์ลึกเกินไปนัก พวกมันทิ้งป้อมปราการรอบนอกที่โจมตีอยู่ทันที นี่ทำให้เบื้องบนของสี่ยอดนิกายใหญ่โล่งใจขึ้นมาบ้าง
แม้เป็นเช่นนี้ สถานการณ์ในเมืองจินกวังก็ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ หน่วยย่อยที่เจ็ดเริ่มได้รับภารกิจนานาชนิดถี่ขึ้น พวกเขาเดินทางตระเวนไปยังที่ต่างๆ ในทางปีศาจร้ายไม่หยุด
เดิมทีตำแหน่งที่ว่างจากการหายสาบสูญของบุรุษผู้สะพายคันศรกับผู้เฒ่าหลังค่อมก็มีผู้อื่นมาแทนแล้วเช่นกัน
……
บนแผ่นดินหินแถบหนึ่งที่อยู่ห่างหลายหมื่นลี้จากเมืองจินกวัง หอศิลาสีน้ำเงินสูงร้อยกว่าจั้งหลังหนึ่งตั้งอยู่ที่นี่ ยอดหอมีลูกกลมสีดำลูกหนึ่งลอยหมุนอย่างเชื่องช้าทอแสงสีดำอ่อนเป็นประกายอยู่
จากข่าวสารที่แห่งนี้ก็คือฐานที่มั่นสำคัญแห่งหนึ่งของกองทัพผีร้าย
เวลานี้รอบหอศิลากำลังเกิดศึกขนาดใหญ่อยู่
นักรบชุดเกราะหลายร้อยตนของกองทัพผีร้ายล้อมหอศิลาไว้ตรงกลาง
กองทหารมีผีแม่ทัพระดับแก่นแท้สองตนเป็นหัวหน้าและผีรองแม่ทัพระดับผลึกแปดตนนำทหารแต่ละกองของตนป้องกันแปดทิศเอาไว้ ทหารส่วนใหญ่ในกองทัพล้วนเป็นทหารผีชั้นล่างระดับของเหลวจิตวิญญาณหรือศิษย์จิตวิญญาณ
เวลานี้หน่วยย่อยที่เจ็ดซึ่งหลิ่วหมิงสังกัดอยู่กับหน่วยย่อยอีกสองหน่วยรวมทั้งสิ้นยี่สิบแปดคนกำลังล้อมเข้ามาจากสี่ด้านแปดทิศ อาวุธจิตวิญญาณที่ทอแสงจิตวิญญาณหลากหลายชิ้นที่พวกเขาเรียกออกมากลายเป็นแถบแสงเรืองรองหลากสีโถมเข้าใส่กองทัพผีร้ายที่อยู่ตรงกลางอย่างบ้าคลั่ง
ชั่วเวลาหนึ่งเสียงเข่นฆ่ากับเสียงร้องโอดโอยดังขึ้นตรงนี้ตรงนั้น จุดที่แสงเรืองรองแล่นผ่าน ท้องฟ้ามืดสลัวถูกส่องจนสว่างไสวไปทั่ว
หากดูจากกำลังรบ เผ่ามนุษย์ด้านนี้มีระดับแก่นแท้สามคนและระดับผลึกขั้นปลายกับระดับแก่นเสมือนเกือบยี่สิบคนย่อมครองความเหนือกว่า แต่กระบวนทัพป้องกันอันแน่นหนาของกองทัพผีร้ายก็ไม่ธรรมดาจึงขวางการโจมตีอันแข็งแกร่งหลายระลอกของพวกหลิ่วหมิงเอาไว้ได้
ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็โผขึ้นท้องฟ้าทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของหอศิลาสีน้ำเงิน มือข้างหนึ่งตั้งท่าเคล็ดวิชาชักนำให้กระบี่ขู่หลุนสีม่วงอ่อนด้านหน้าขยับวูบหนึ่งอยู่กับที่ แสงกระบี่สีม่วงมหึมาขนาดสิบกว่าจั้งสายหนึ่งพลันปรากฏออกมาแล้วฟันลงไปด้านหน้าอย่างรุนแรง
Related