เพียงแค่เพลงกระบี่นี้ยังไม่เพียงพอที่ข้าจะใช้เอาชนะกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก
ฉินมู่เก็บกระบี่ของเขาและมองไปที่สวรรค์ไท่หวงที่ถูกปกคลุมไปด้วยความมืด เมื่อเขาทำเช่นนั้น แสงกระบี่อันน่าแตกตื่นสะท้านโลกบนท้องฟ้าก็ปลาสนาการไป
บนสนามรบ ไฟฟอนยังคงแผดเผาเปรี๊ยะปร๊ะและยังไม่ดับมอด กลิ่นฉุนของเนื้อที่ถูกเผาไหม้ลอยอบอวลไปทั่ว
ฉินมู่ได้ระบายอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดของเขาในกระบี่เมื่อครู่ และได้บรรลุถึงจุดสูงส่งอันเขามิเคยก้าวไปถึงมาก่อน แต่ทว่าก็ยังคงมีความห่างชั้นระหว่างกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกับเขาอยู่มาก
ถึงอย่างนั้น หากว่าปราศจากแรงกดดันจากกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก และโดยปราศจากการพบพานในแดนมืด ก็คงยากที่เขาจะก้าวมาถึงขั้นนี้ เดินออกไปจากภาพกระบี่ของผู้ใหญ่บ้าน และออกจากเพลงมีดของคนแล่เนื้อ
เมื่อเขาแทงกระบี่นั้นออกไป มันก็ไม่ใช่เพียงแค่ว่าเขาได้คิดค้นเพลงกระบี่ที่เป็นของตน แต่เขายังได้โจมตีไปยังเมฆทะมึนที่คลี่คลุมหัวใจเขาอยู่ในช่วงนี้
ซังฮั่วมองไปที่แผ่นหลังของเขา การฝึกกระบี่ของเด็กหนุ่มได้ตราประทับลงไปในหัวใจของนางอย่างลึกซึ้ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนท่าสุดท้ายของเขา เมื่อเขาแตะที่หว่างคิ้วของตนเองแล้วจึงแทงกระบี่ออกไป อารมณ์ที่แฝงอยู่ในนั้นได้ปลดปล่อยออกมาอย่างกว้างขวาง ทันใดนั้นนางก็แทบจะมองเห็นภาพของโลกหล้าอันเปลี่ยนแปลงไปด้วยการปฏิรูป ผู้คนทะเยอทะยานมากมายต่อสู้กันในลมร้ายและฝนโลหิต พุ่งไปข้างหน้าตามหลังใครคนหนึ่ง
ในเพลงกระบี่ที่ฉินมู่ร่ายรำออกไปเมื่อครู่ ความเพริศแพร้วของมันได้เป่าจิตวิญญาณกระเจิดกระเจิง แม้ว่ากระบี่ย่างไปในทิวทัศน์จะยิ่งใหญ่เกรียงไกรและมีจิตวิญญาณของเทพสวรรค์ที่ก้าวย่างไปข้างหน้าอย่างห้าวหาญ แต่มันก็บรรยายเพียงแค่ภูเขาและแม่น้ำ
กระบี่จักรพรรดิก่อตั้ง ทะเลโลหิต เต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟันและเขื่องโขดุดัน มีพรสวรรค์ของกระบี่เทวะ แต่เจตจำนงกระบี่ในนั้นหวนรำลึกถึงมรณสักขีทั้งหลาย ยังคงยึดติดกับอดีต
ภัยพิบัติจักรพรรดิสูงส่งเต็มไปด้วยความโศกเศร้า บรรยายถึงการตายจากของยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง
เพลงกระบี่ทั้งสามนี้มีจุดเด่น แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีจุดด้อย
ในด้านจิตวิญญาณแล้ว ซังฮั่วรู้สึกว่าพวกมันล้วนแต่ด้อยกว่ากระบวนท่าสุดท้ายของฉินมู่ ส่วนว่ากระบวนท่าไหนจะใช้งานได้ดีกว่าในการศึก นางก็บอกไม่ได้ชัดเจน
“เพลงกระบี่ล้ำเลิศ” นางยืนขึ้นและเดินมายังข้างกายฉินมู่ “นั่นคือเพลงกระบี่อะไรหรือ”
“กระบี่ภัยพิบัติ”
ฉินมู่เหลียวหน้ากลับไปและเห็นนางเดินเข้ามาหา นางจึงเงยหน้าขึ้นและมองไปยังทิศไกลๆ
ทันใดนั้น ลมพายุหอบหนึ่งก็พัดมาปะทะหน้าพวกเขา และแปรเปลี่ยนเป็นเสืออันดูองอาจหล่อเหลาตัวหนึ่ง มันมีหนังสีเหลืองและลายพาดกลอนสีดำ อันขยับเยื้องไปมาตามการเคลื่อนไหวของขนและดูน่าประทับใจเหนือธรรมดา กระจุกขนอ่อนงอกเงยในหูของเขาเช่นกัน สามารถหมุนไปมาได้ทุกองศา
“เพลงกระบี่ล้ำเลิศ! เพลงกระบี่นั้นนับว่าน่าประทับใจจริงๆ!”
เสือเทพยดาเดินลงมาตามขั้นบันไดหินของแท่นสังเวย เท้าของเขายกขึ้นจากพื้นเมื่อเขาแปลงกายเป็นเทพเจ้าหัวเสือที่เดินตรงมายังฉินมู่ เสียงของเขาสะเทือนเลื่อนลั่นเมื่อเขากล่าววาจา “ทำไมมันถึงเรียกว่ากระบี่ภัยพิบัติ”
เสือเทพยดานี้เป็นสัตว์ขี่ของนักบุญคนตัดไม้ ซึ่งถูกอัญเชิญมายังโลกใบนี้พร้อมกับนายของเขา เขาได้แบกนักบุญคนตัดไม้เข้าไปในการศึกและกล้าหาญชาญชัยเป็นอย่างยิ่ง
ฉินมู่หัวใจเคลื่อนเล็กน้อย เสือเทพยดาขนดำกลับมาจากแนวหน้านั้นหมายความว่านายของเขาได้ปราบปรามมารเทวะที่แนวหน้าหมดแล้ว “การเปลี่ยนแปลงของฟ้าและดินหมายถึงภัยพิบัติอันยิ่งใหญ่! ฟ้าและดินอาจเปลี่ยนแปลงมิใช่เพียงแค่ภัยธรรมชาติ การรุกรานของมารฟ้า หรือว่าการที่ผู้คนตายไปเพราะอัคคีและอุทกภัย การเปลี่ยนแปลงในฟ้าและดินยังเป็นการเปลี่ยนแปลงในความคิดของผู้คนและการปฏิรูปทักษะเทวะ เปลี่ยนแปลงทักษะวิชาให้เป็นเต๋าอันยิ่งใหญ่”
เสือเทพยดาหันมาหาเขาและยิ้มหยันขณะที่เขาเดินขึ้นมา “เปลี่ยนหัวหัวใจผู้คน ทักษะเทวะ กฎเกณฑ์ มรรคา เป็นถ้อยคำอันจองหองอะไรอย่างนี้! เพียงแค่เพลงกระบี่ของเจ้าโดยลำพัง สามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ เปลี่ยนแปลงจักรวาลนี้ เปลี่ยนแปลงความคิดของสรรพชีวิตได้หรือ เพลงกระบี่ของเจ้านั้นไม่เลว แต่หัวใจเจ้าทะเยอทะยานเกินไป!”
สายตาของฉินมู่กลายเป็นบ้าบิ่น และน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “หากว่าหัวใจผู้คนเปลี่ยนแปลง พวกเขาก็จะไม่กลัวเทพเจ้าอีกต่อไป และเมื่อผู้คนไม่กลัวเทพเจ้า เทพเจ้าก็จะไม่มีอิทธิพลอำนาจ เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น ทักษะเทวะก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างอิสระ ด้วยวิธีนั้น กฎเกณฑ์จะเปลี่ยนแปลง และเช่นเดียวกับมรรคา แบบนี้ ฟ้าและดินก็จะเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน!”
ซังฮั่ว มองไปที่เด็กหนุ่มข้างๆ นางซึ่งเต็มไปด้วยจิตวิญญาณอันมีชีวิตชีวา แม้แต่เมื่อเขาเผชิญหน้ากับเสือเทพยดาขนดำอันมีรัศมีเหนือธรรมดา เขาก็ไม่กริ่งเกรงเลยแม้แต่น้อย
ฉินมู่ยกมือขึ้นชี้ไปยังสนามรบที่น่าสังเวชในความมืด เสียงของเขาแหบพร่าเล็กน้อย แต่ในยามราตรีเช่นนั้นมันก็บีบคั้นหัวใจคน
“ดูสิ! นี่คือภัยพิบัติที่เทพและมารโยนมาใส่พวกเรา เพื่อให้ผู้คนยังคงยำเกรงเทพและมารทั้งหลาย เพื่อให้หวาดกลัวและเคารพนบนอบ บูชาพวกเขา! กระบี่ภัยพิบัติของข้าจะริเริ่มภัยพิบัติเพื่อเปลี่ยนแปลงหัวใจผู้คน เป็นสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงทักษะเทวะและมรรคาเต๋า จากที่นั่น ข้าจะเปลี่ยนแปลงโลกหล้า!”
เขายิ่งดื่มด่ำเข้าไปอีก แม้ว่าซังฮั่วจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังกล่าว แต่นางก็สัมผัสได้ถึงแรงบันดาลใจอันเร่าร้อนที่แผดเผาอยู่ในหัวใจของเขา!
เด็กหนุ่มผู้นี้ดูเหมือนจะมีเสน่ห์อันแพร่ติดต่อไปยังผู้อื่นได้ และทำให้ผู้คนต้องรับฟังเขา ไม่อาจต้านทานที่จะถูกอารมณ์ของเขาโน้มน้าวส่งผล
เสือเทพยดาขนดำมองลงไปยังฉินมู่ก่อนที่จะแย้มยิ้มด้วยหนวดของเขาที่แยกออกจากกัน “ข้ารู้ว่าเจ้านั้นโดดเด่นไม่ธรรมดา ข้าไม่เข้าใจที่เจ้าพูดทั้งหมดดี แต่ข้ารู้สึกว่ามันเป็นถ้อยคำที่ทรงพลัง กระบวนท่านี้ของเจ้ามีชื่อว่าอะไร”
ฉินมู่เงยหน้าขึ้นไปมองที่เขาและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เพลงกระบี่นี้เรียกว่า ริเริ่มภัยพิบัติ!”
เสือเทพยดาขนดำอึ้งไปเล็กน้อย “ริเริ่มภัยพิบัติเพื่อเปลี่ยนแปลงหัวใจผู้คน? เพื่อการเปลี่ยนแปลงในทักษะเทวะ? เพื่อการเปลี่ยนแปลงในมรรคาเต๋า? ชื่อที่ยอดเยี่ยม!”
ซังฮั่วก็เข้าใจบ้างเป็นบางส่วน เด็กหนุ่มข้างๆ นางซึ่งมาจากโลกมิติอื่นกำลังจะส่งภัยพิบัติไปยังเทพและมารที่ทำให้ชีวิตของพวกนางยับเยินทนทุกข์ และเช่นนั้นเพลงกระบี่จึงเรียกว่าริเริ่มภัยพิบัติ
มันดำเนินไปตามแนวทางแห่งการปฏิรูป พัฒนาวิถีทางแห่งอดีต และเปลี่ยนแปลงชีวิตของเทพแลมาร
“กระบี่ภัยพิบัติของเจ้ามีกี่กระบวนท่า” เสือเทพยดาขนดำถาม
ฉินมู่หน้าแดงและพึมพำ “ถึงตอนนี้ก็มีเพียงหนึ่งท่า ข้ารู้สึกว่าข้าได้ใช้สอยความรู้ทั้งหมดของข้าไปจนสิ้นเพียงเพื่อสรรค์สร้างกระบวนท่านี้…”
“นั่นก็สมควรแล้ว เจ้าไม่มีทางสั่งสมได้มากมายขนาดนั้นหรอกที่อายุของเจ้าน่ะ” หนวดของเสือลายติดอยู่ที่ใบหน้าของเขา “ที่อายุเท่าเจ้า สามารถคิดค้นเพลงกระบี่นั้นก็นับว่าโดดเด่นเหนือธรรมดาแล้ว ข้ามาตามบัญชาของนายท่านเพื่อรับตัวเจ้าไป เขากำลังจะไปแลกหมัดกับใครบางคนและต้องการตัวเจ้า ตามข้ามา”
ฉินมู่ตะลึงไปเล็กน้อย และก็พลันตื่นเต้นขึ้นมา “นักบุญคนตัดไม้ต้องการพบข้าหรือ”
เสือเทพยดาขนดำแปลงกลับร่างที่แท้จริงและกล่าว “เจ้าได้ยินไม่ชัดหรือ เขากำลังต่อสู้กับใครบางคน และจู่ๆ เขาก็นึกถึงเจ้าขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงต้องการให้เจ้าไปหา ขึ้นมาบนหลังข้า บนเส้นทางนี้ยังคงมีอันตรายด้วยมารทั้งหลายยังเพ่นพ่านกันอยู่ ดังนั้นเจ้าคงไปสถานที่นั้นด้วยตนเองไม่ได้หรอก”
“นักบุญคนตัดไม้กำลังต่อสู้กับใครบางคน…บ๊ะ หากว่าเขากำลังต่อสู้ แล้วเขาจะต้องการข้าที่นั่นทำไม”
ฉินมู่ฉงนฉงาย แต่เขาก็ยังคงกระโดดขึ้นไปบนหลังของเขา ซังฮั่วรีบกระโดดขึ้นไปด้วยเช่นกันพลางกล่าว “พ่อของข้าก็อยู่ที่แนวหน้า ข้าอยากจะไปตามหาเขา!”
เสือเทพยดาผู้งดงามในสีดำและสีเหลืองวิ่งตะบึงไปยังแนวหน้าสนามรบ ความเร็วของเขาเร็วอย่างยิ่งยวด
แม้ว่าร่างกายของเขาจะใหญ่มหึมา แต่เขาก็เต็มไปด้วยมัดกล้ามและยามที่วิ่งไปก็เงียบกริบไร้สุ้มเสียง
เร็วกว่ามังกรอ้วนเยอะ!
ฉินมู่กำหมัดแน่นและพลันรู้สึกรวดร้าวใจ แม้ว่ากิเลนมังกรจะเร็วกว่าเดิมมาก แต่ฝีเท้าของเขาก็ยังคงหนักหน่วง และถึงกับเหยียบหินภูเขาแตกเมื่อเขาวิ่งไปด้วยความเร็วเต็มพิกัด
ซังฮั่วมองไปยังราตรีอันมืดมิด กังวลเล็กน้อย พวกเขาได้ผละจากสนามรบและกระโดดผ่านไปยังแนวหน้า พวกเขามุ่งหน้าไปยังเมืองหลีอันเหล่ามารตั้งค่ายทัพอยู่ มารเทวะมากมายรวมตัวกันที่นั่น และท่ามกลางพวกเขาก็ยังมีมารเที่ยงแท้ฟู่ยื่อลัว!
กลับไปเมื่อตอนที่เมืองหลีถูกรุกราน ก็เป็นฟู่ยื่อลัวนี่แหละที่โจมตีด้วยตนเอง เขาขับเคลื่อนวิชามารของตนเพื่อสังหารผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนในเมืองนี้ แม้แต่เทพเที่ยงแท้แห่งสวรรค์ไท่หวงก็ถูกเขาสังหาร นับว่าเขาน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง!
เสือเทพยดาขนดำกระโดดข้ามกองทัพและมุ่งตรงไปยังเมือง กระทำเช่นนี้มิใช่รนหาที่ตายหรอกหรือ
“ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงระบุได้อย่างไรว่าบุคคลใดมีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้” ฉินมู่นึกขึ้นได้และถามเด็กสาวข้างๆ เขา “พวกเจ้าฝึกปรือกันอย่างไร”
ซังฮั่วข่มระงับความว้าวุ่นในหัวใจและกล่าว “อันดับแรกเราจะดูที่พรสวรรค์แต่กำเนิด กายาวิญญาณที่มีพรสวรรค์แห่งราชันย์ย่อมไม่มีพรสวรรค์ที่ย่ำแย่ หากว่าพวกเขาฝากตัวกับอาจารย์ที่มีชื่อเสียง กายเนื้อของพวกเขาก็จะบรรลุไปถึงขั้นของเทพเที่ยงแท้เยาว์ นอกจากนั้นแล้ว สวรรค์ไท่หวงของพวกเรายังมีการทดสอบที่เรียกว่าเจดีย์สยบเทพ พวกที่สามารถผ่านออกมาจากเจดีย์ได้จะได้รับการรับรู้ว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้”
ฉินมู่กะพริบตาแก่นาง “เจดีย์สยบเทพ? มันคืออะไรหรือ”
ไม่ทันที่ซังฮั่วจะตอบ เสียงของเสือเทพยดาขนดำก็มาถึงพวกเขา “เจดีย์สยบเทพนั้นเป็นสมบัติวิเศษจากยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง และใช้เพื่อทดสอบความสำเร็จในกายเนื้อ หากว่าผู้ใดสามารถผ่านการทดสอบของมันไปได้ มิได้หมายความว่าคนผู้นั้นจะมีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ เพียงแต่ว่ากายเนื้อของผู้นั้นพอจะผ่านเกณฑ์เทพเที่ยงแท้เยาว์อย่างเฉียดฉิว”
“ท่ามกลางผู้ที่ผ่านเจดีย์สยบเทพในสวรรค์ไท่หวง อย่างมากก็ครึ่งหนึ่งที่มีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ การบรรลุเป็นเทพเที่ยงแท้นั้นยากยิ่งกว่ายาก ดังนั้นเอาเหตุผลที่ไหนมาบอกว่าใครก็ตามสามารถกลายเป็นเทพเที่ยงแท้ได้เพียงแค่ฝึกวิชาฝึกปรือของเทพเที่ยงแท้อย่างขะมักเขม้น”
ซังฮั่วก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย “ผู้อาวุโส ถ้าเช่นนั้น แบบไหนถึงจะนับได้ว่ามีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้”
“พรสวรรค์ที่แท้จริงย่อมไม่อยู่เพียงแค่ด้านกายเนื้อเท่านั้น แต่ยังอยู่ในจิตวิญญาณดั้งเดิมอันแยกออกเป็นดวงจิตและดวงวิญญาณ ทารกวิญญาณของเจ้าได้บรรลุถึงพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้หรือยัง ดวงวิญญาณของเจ้าได้บรรลุถึงพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้หรือยัง”
“นอกจากจิตวิญญาณดั้งเดิม ยังมีกรอบคิดจิตใจ แต่ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะบรรลุถึงเขตขั้นเทวะ ก็ยังไม่เพียงพอที่จะกลายเป็นเทพเที่ยงแท้ เพราะยังมีอย่างอื่นอีก ได้แก่ทักษะเทวะและมรรคา” เสือเทพยดาขนดำอธิบาย
“ผู้ฝึกวิชาเทวะที่พวกเจ้าถือกันว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้นั้นยังคงห่างไกลนักจากการเป็นเทพเที่ยงแท้จริงๆ! ยกตัวอย่างเช่น…เจ้าหนุ่ม เจ้าชื่ออะไร”
“ชื่อของข้าคือฉินมู่!” เขาจึงรีบเสริม “จ้าวลัทธินักบุญสวรรค์คนปัจจุบัน”
“จ้าวลัทธินักบุญสวรรค์? ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
ฉินมู่สีหน้ามืดดำทันที ตั้งแต่เมื่อลัทธิมารฟ้าก่อตั้งขึ้นมา ทุกคนก็มองว่านักบุญคนตัดไม้ว่าเป็นประมุขสูงสุดและครูบาศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาไม่มีทางคิดฝันเลยว่าสัตว์ขี่ของนักบุญจะไม่เคยได้ยินถึงพวกเขาเลยสักนิด!
เสือขนดำจึงกล่าวต่อ “ยกตัวอย่างเช่นฉินมู่ กำลังฝีมือของเขาไม่อ่อนด้อย แต่ในสายตาของพวกเจ้า ร่างเนื้อของเขาไม่ได้บรลุถึงพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ กระนั้นด้วยกำลังฝีมืออันแข็งแกร่งของเขา เขาสามารถต่อสู้ปะทะกับผู้ฝึกวิชาเทวะที่ว่ากันว่ามีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ได้”
“นั่นเพราะว่าข้าคือกายาจ้าวแดนดิน!” ฉินมู่กล่าวด้วยความตื่นเต้น
“กายาจ้าวแดนดิน? ไม่เคยได้ยินมาก่อน” เสือเทพยดาขนดำวิ่งตะบึงฝ่าราตรีไปพลางพูดจา “วิชากระบี่ของเจ้าเกือบจะเข้าสู่เขตขั้นมรรคาเต๋า ดังนั้นปฏิภาณความเข้าใจของเจ้าในมรรคา วิชา และทักษะเทวะ ก็เกือบจะถึงขั้นพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ กรอบคิดจิตใจของเจ้าอ่อนแอกว่าเล็กน้อย ไม่แข็งแกร่งเพียงพอ”
“ส่วนจิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้า มันทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง และนับได้ว่าเป็นชั้นหนึ่งท่ามกลางผู้ฝึกวิชาเทวะในรุ่นปัจจุบัน นั่นจึงเป็นเหตุที่เขามีพละกำลังพอที่จะต่อสู้กับยอดฝีมือเยาว์ผู้มีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้…พวกเรามาถึงเมืองหลีแล้ว!”
ตรงหน้าพวกเขา เพลิงไฟพวยพุ่งขึ้นไปสู่ท้องฟ้า เมืองอันยิ่งใหญ่มลังเมลืองอาบย้อมอยู่ในแสง บนยอดเมืองนั้นมีมารเทวะมากมายและมารอสูรจำนวนนับไม่ถ้วนยืนตระหง่าน
ซังฮั่วมองไปยังภาพนี้ด้วยความผงะ กระนั้นมารเทวะและไพร่พลมารเหล่านั้นก็ไม่ยับยั้งเสือเทพยดาขนดำ ปล่อยให้พวกเขาเข้าไปในเมืองโดยไม่ปริปาก
………………………
Related