ตำนานเทพกู้จักรวาล – ตอนที่ 595 รอยยิ้มใสซื่อ

หากว่าฉีเจี่ยวอี๋ไม่ทำเขื่องไปโจมตีทั้งฉินมู่และเจ๋อหัวหลีในเวลาเดียวกัน เขาก็คงเอาชนะเจ๋อหัวหลีไปได้อย่างราบรื่น และไม่ตกอยู่ในสภาพดังกล่าว

ฉินมู่และเจ๋อหัวหลีรู้ดีว่ามหาทักษะเทวะของเขานั้นน่าตื่นตระหนก ดังนั้นเมื่อเขาโจมตีทั้งสองคน พวกเขาทั้งสองก็จัดการให้เขาได้รับบาดเจ็บหนักเสียก่อน จากนั้นฉีเจี่ยวอี๋ก็กลายเป็นของว่างเครื่องเคียงของพวกเขา ระหว่างที่ทั้งคู่ต่อสู้กันเองอย่างเอาจริงเอาจัง กระบี่บินแปดพันเล่มและมีดนับไม่ถ้วนนั้นราวกับห่าฝนโถมกระหน่ำอันปะทะกันซ้ำแล้วซ้ำอีก

ฉีเจี่ยวอี๋อยู่ตรงกลางสนามรบ ดังนั้นเขาจึงถูกห้อมล้อมด้วยแสงกระบี่ของฉินมู่และแสงมีดของเจ๋อหัวหลี ในพริบตาที่เขาพร้อมจะระเบิดพลังโต้กลับ เขาก็ได้รับการโจมตีจากทั้งคู่ในเวลาเดียวกัน สถานการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยประสบมาก่อน

ท่าเท้าของฉินมู่และเจ๋อหัวหลีว่องไว บางครั้งพวกเขาก็เข้าใกล้ และบางครั้งก็ออกห่าง ทั้งสองคนนั้นต่อสู้กันด้วยกระบี่และดาบเป็นหลัก ขณะที่บางคราวก็จะเสริมส่งด้วยเวทมนตร์หรือเข้าไปคลุกวงในด้วยกายเนื้อ

เจ๋อหัวหลีค่อยๆ ตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ และฉีเจี่ยวอี๋ก็เล็งเห็นโอกาส เมื่อฉินมู่โจมตีเจ๋อหัวหลี เขาก็ทำเช่นเดียวกันด้วย พยายามที่จะร่วมมือกับฉินมู่เพื่อกำจัดเจ๋อหัวหลี

แต่ในพริบตานั้น เขาก็รู้สึกถึงความเย็นเฉียบที่เข้าใกล้หัวใจ เมื่อเขาก้มลงมือ ก็มีปลายกระบี่แทงทะลุออกมาโผล่ที่หน้าอก

เจ๋อหัวหลีถูกฉินมู่ซัดกระเด็นกลิ้งหลายตลบ เขากระเด็นอย่างหมดท่าไปสิบลี้ ก่อนที่ร่วงลงมาด้วยอาการบาดเจ็บหนัก

หัวทั้งเก้าของฉีเจี่ยวอี๋หันกลับไป และเห็นฉินมู่ยืนอยู่บนอากาศด้วยรอยยิ้มใสซื่อ

ฉินมู่ฟาดไปข้างหน้าด้วยมือของเขา นิ้วทั้งห้ากางออก มันคือมือหยินหยางพลิกสวรรค์ที่เขาได้เรียนมาจากกษัตริย์มนุษย์บรรพชนสาม และเขาใช้มันร่วมกับระฆังห้าอัสนียกสวรรค์ของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนห้า

ที่ไกลออกไปสิบลี้ เจ๋อหัวหลีเพิ่งเท้าแตะพื้น แต่พลานุภาพจากฝ่ามือฉินมู่ก็แผ่พุ่งเข้ามา เจ๋อหัวหลีก็เด็นขึ้นไปราวกับกระสอบผุๆ เขาถูกแช่แข็งเป็นปฏิมากรรมน้ำแข็งด้วยพลังฝ่ามือหยินพิสุทธิ์ และระฆังห้าอัสนีก็ปรากฏใกล้ๆ เขา หากว่ามันดังก้องขึ้นขึ้น มันก็จะบดขยี้ร่างเขาที่กลายเป็นน้ำแข็งให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย!

ในเวลาเดียวกันนั้น ฉินมู่ก็คว้ากระบี่คมกล้าก่อขึ้นจากไจกระบี่ของเขาด้วยมืออีกข้าง และส่งพลังวัตรเข้าไปในกระบี่บินทั้งแปดพัน กระบี่บินละเอียดยิบเข้าไปในร่างกายของฉีเจี่ยวอี๋ขณะที่ร่ายรำท่วงท่ากระบี่อันแตกต่าง และถึงกับเข้าไปในสมบัติเทวะของเขา!

กระบวนท่าที่สองของภาพกระบี่ กระบี่จักรพรรดิก่อตั้งทะเลโลหิต!

รอบกายฉินมู่ แสงสีแดงเข้มแผ่ออกมา และท่วมท้นเขาราวกับทะเลเลือด รอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กหนุ่มส่องสะท้อนอยู่ในนั้น และมันดูจะกลายเป็นพิลึกกึกกือและชั่วร้ายจนทำให้ผู้คนต้องตัวสั่นเทา

“ข้าไม่เคยแพ้มวยหมู่มาก่อน…”

ฉีเจี่ยวอี๋ขนหัวลุกสุดเหยียดเมื่อได้ยินเสียงของเขา พลานุภาพของกระบี่จักรพรรดิก่อตั้งทะเลโลหิตระเบิดออกมา และระฆังยกสวรรค์ห้าอัสนีก็เข้าไปครอบเจ๋อหัวหลี มันดังลั่นขึ้นมาทันที!

สองยอดฝีมือเยาว์กำลังจะสูญเสียชีวิตใต้น้ำมือของเขา!

ในตอนนั้นเอง ระฆังสลายไปจากพลังวัตรอันน่าตื่นตระหนกของฝ่ามือเดียวจากฟู่ยื่อลัว อีกฟากหนึ่ง ลู่หลีแตะปลายกระบี่ลงไปที่หน้าอกของฉีเจี่ยวอี๋ กระบี่บินถูกขับออกไปทีละเล่ม ออกจากร่างของฉีเจี่ยวอี๋!

คนแล่เนื้อชักมีด เฒ่าบอดกระชับทวนในมือ และเพลิงไฟก็พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าข้างหลังเฒ่าใบ้ พวกเขาล้วนแต่ก้าวออกไปข้างหน้า ขณะที่เฒ่าเป๋ไปคว้าตัวฉินมู่ให้ล่าถอย ในพริบตาเขาก็ปรากฏอยู่ข้างหลังคนแล่เนื้อและพรรคพวก!

ฟู่ยื่อลัวและลู่หลีช่วยชีวิตเจ๋อหัวหลีและฉีเจี่ยวอี๋ แต่ไม่ลงมืออะไรต่อหลังจากนั้น

“สหายน้อยฉี เจ้าได้อยู่ในสภาสวรรค์มานาน และไม่รู้ถึงเล่ห์กลของผู้คนในแดนต่ำใต้ บัดนี้เจ้าก็ได้ประสบแล้ว ใช่หรือไม่” ลู่หลีกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ฉีเจี่ยวอี๋นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เจี่ยวอี๋ยินดีที่จะร่วมมือกับผู้บัญชาการแคว้น”

ฟู่ยื่อลัวเคลื่อนใจเล็กน้อยและสลายปราณหยินพิสุทธิ์ที่เกาะกุมร่างของเจ๋อหัวหลี ปลดปล่อยเขาออกจากสภาวะถูกแช่แข็ง

เจ๋อหัวหลียังคงตกตะลึง แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นพื้นดินย่อหดเข้าไป ในเสี้ยวพริบตา เขาก็กลับมายังข้างกายฟู่ยื่อลัวอันแต่เดิมอยู่ห่างจากเขามากกว่าสิบลี้ เห็นได้ชัดว่าฟู่ยื่อลัวได้ย่อห้วงอวกาศให้กับเขา

คนแล่เนื้อและคณะต่างแตกตื่น กำลังฝีมือของฟู่ยื่อลัวนั้นน่าตระหนกยิ่งกว่าที่พวกเขาคาดคิดเอาไว้ยิ่งนัก กำลังฝีมือเช่นนี้แสดงว่าเขาไม่ใช่แค่มารเที่ยงแท้!

ใบหน้าซ้ายของฟู่ยื่อลัวมองไปที่เจ๋อหัวหลีและเขากล่าวกล่าวอย่างเยือกเย็น “แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดาในการศึก การแพ้ชนะที่แท้จริงอยู่ที่ความเป็นและความตาย ตราบเท่าที่เจ้าไม่ตาย ก็หมายความว่ายังไม่แพ้โดยสิ้นเชิง เจ้าเข้าใจหรือไม่”

เจ๋อหัวหลีเสียบดาบมารของเขากลับไปที่หลัง เขาโค้งคารวะแล้วกล่าว “ศิษย์เข้าใจแล้ว”

ฟู่ยื่อลัวสุขใจอย่างยิ่ง “จิตเต๋าของเจ้าฝึกมาดี ดังนั้นความสำเร็จของเจ้าจะต้องเหนือล้ำกว่าลั่วอู๋ชวงในอนาคต”

ข้างหลังคนแล่เนื้อและคณะ เฒ่าเป๋ดีใจจนออกนอกหน้าและตบบ่าฉินมู่หนักๆ “มู่เอ๋อ เจ้าไม่ทำให้ปู่เป๋คนนี้เสียหน้าเลยจริงๆ! การลงมือเมื่อกี้ของเจ้าช่างชั่วร้ายอย่างสุดๆ ซ่อนดาบเอาไว้ในรอยยิ้มขณะที่ลอบทำร้ายพวกเขาด้วยเกาทัณฑ์ลับ สมแล้วกับที่ข้าสั่งสอนมากับมือ! ตอนข้าเห็นเจ้ายิ้มเมื่อครู่ ก็ยังอดจะตัวสั่นเทิ้มไม่ได้!”

ฉินมู่รีบกล่าวอย่างถ่อมตน “ทั้งหมดล้วนแต่เป็นการสั่งสอนอันดีจากท่านปู่เป๋ หากว่ามิใช่เพราะท่านปู่เป๋ข้าก็คงไม่อาจเอาชนะพวกเขาได้ ในด้านการซ่อนดาบในรอยยิ้ม อย่างมากข้าก็นับว่าเป็นที่สอง ท่านปู่เป๋ยังคงเป็นอันดับหนึ่งในโลก!”

เฒ่าเป๋ลูบเคราแพะภูเขาของตนเองและหัวร่อฮาๆๆ เขานั้นกระหยิ่มใจในตนเองเป็นอย่างยิ่ง

เฒ่าหนวกยิ้มหยันแล้วกล่าว “ผู้คนเดี๋ยวนี้ มีแต่ตกต่ำกันไปหมด…”

ลู่หลีไม่ใส่ใจกับความกระวนกระวายของคนแล่เนื้อและคณะ นางมองไปที่เมืองเทพยดาที่เฒ่าหนวกวาดขึ้นมาและพลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฟู่ยื่อลัว เจ้ามองทะลุความจริงและความลวงหรือยัง”

ฟู่ยื่อลัวหันหน้ามา และใบหน้าทั้งสามของเขาก็มองไปยังเมืองเทพยดา ผ่านไปสักพักเขากล่าว “ข้ายังมองไม่ทะลุ ไม่ทราบว่าจะช่วยทำให้ข้ากระจ่างได้หรือไม่”

“ดูไปที่ดวงวิญญาณของเทพเจ้าที่นั่นสิ” ลู่หลีกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ฟู่ยื่อลัวตกตะลึงและไต่ถามหาความแจ้งใจอย่างจริงจัง “ข้าจะมองไปที่ดวงวิญญาณได้อย่างไรหรือ”

คนแล่เนื้อ เฒ่าหนวก และเฒ่าบอดรู้ทันทีว่าสถานการณ์กำลังจะแย่ และค่อยๆ ล่าถอยไป

เฒ่าหนวกสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย และเขารู้ทันทีว่าถูกลู่หลีจับไต๋ได้ เหงื่อเย็นเยียบไหลจากหน้าผากของเขา ภาพวาดของเขาสามารถเห็นเป็นของจริง อันแสดงว่าไม่มีช่องโหว่พิรุธในโลกในภาพวาดที่เขาสร้างขึ้นมา และแม้กระทั่งการเชื่อมต่อระหว่างโลกในภาพวาดกับโลกจริงก็เนียนกริบไร้รอยต่อเช่นกัน

แต่ทว่า เขาไม่อาจเสกสรรดวงวิญญาณ!

ลู่หลีคงจะเป็นยอดฝีมือจากแดนใต้พิภพอันมีความสำเร็จลึกล้ำในเวทมนตร์ดวงวิญญาณ จึงสามารถมองทะลุความอัศจรรย์ของภาพวาดเฒ่าหนวกได้

ฝ่ามือของทุกคนโชกเหงื่อ และพวกเขาเข้าล้อมคุ้มกันฉินมู่เอาไว้ขณะที่ล่าถอยไปอย่างต่อเนื่อง ความกระวนกระวายของพวกเขายิ่งทวีมากขึ้นทุกที

ฟู่ยื่อลัวและลู่หลีไม่สนใจพวกเขา และปล่อยให้พวกเขาล่าถอย

ลู่หลีหันกลับไปและยกมืออันเรียวงามประดุจหยกของนางขึ้นมาเพื่อวาดวงกลมในอากาศ แสงสาดส่องจากวงกลมนั้น แล้วมันก็กลายเป็นกระจกมหึมาสว่างจ้าอันลอยอยู่บนท้องฟ้า

“มหาราชา เชิญมองดูภาพในกระจก”

ฟู่ยื่อลัวทำตามที่นางบอก และสิ่งที่กระจกกำลังส่องไปนั้นคือเมืองเทพยดาอันยิ่งยงตรงหน้าพวกเขา รวมไปถึงคนแล่เนื้อ ฉินมู่ ยายเฒ่าซี และคนอื่นๆ

ดวงวิญญาณของบางคนยืนตรงหน้าประตูสวรรค์ทักษิณแห่งปราสาทสวรรค์ บ้างก็ยืนอยู่บนสะพานเทวะ และก็ยังมีดวงวิญญาณของบางคนที่ยืนอยู่ในเขตแดนเป็นตาย ข้างใต้เท้าของเขาคือแดนใต้พิภพอันมืดมิด

แต่ที่น่าแปลกก็คือเมืองเทพยดาในกระจกกลับกลายเป็นเพียงหลุมมหึมาหลุมหนึ่ง ไม่เพียงแต่เมืองเทพยดาจะไม่มีตัวตนอยู่ แม้แต่ทวยเทพและกองทัพนับล้านก็ไม่ได้อยู่ที่นั่นจริงๆ!

แต่ถึงอย่างไร ก็ยังคงมองเห็นคนแล่เนื้อและคณะซึ่งกำลังล่าถอยไปยังเมืองเทพยดา กระจกแสดงดวงวิญญาณทั้งหมดของพวกเขา ฟู่ยื่อลัวมองไปที่ตนเอง และเขาก็เห็นร่างที่แท้จริงมีสามเศียรของเขายืนอยู่ท่ามกลางปราสาทสวรรค์มรรคามาร!

เขานั้นเป็นมารเทวะที่มีสามหัว ใบหน้าสามหน้าในหัวเดียวกันนั้นเป็นเพียงภาพลวงตาที่สร้างขึ้นหลังจากที่เขาบ่มเพาะหัวทั้งสามเข้าด้วยกันเป็นหนึ่ง

ฟู่ยื่อลัวมองไปที่ฉีเจี่ยวอี๋ในกระจก และภาพสะท้อนของเขานั้นเป็นหงส์เพลิงเก้าหัวที่กำลังอาบย้อมไปด้วยแสงทองและเพลิงเทวะ เขาดูศักดิ์สิทธิ์และเหนือธรรมดา

เจ๋อหัวหลีในกระจกเป็นมนุษยธรรมดา ยกเว้นแต่ดาบมารข้างหลังเขา มันเป็นสัตว์ปีศาจตาเดียวอันเต็มไปด้วยปราณปีศาจ ดูน่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง!

กระนั้นที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในกระจกก็ยังคงเป็นฉินมู่!

เด็กหนุ่มผู้นี้มีตาสามดวงอันสาดแสงสีแดงเลือดออกมา เขาร่างใหญ่มหึมาไร้ปานเปรียบ และดวงตาสามดวงของเขาก็กลอกมามอง ราวกับรู้ว่าเขากำลังจ้องอยู่

ฟู่ยื่อลัวรู้สึกดวงวิญญาณสั่นสะท้าน และหน้าอกของเขาก็เริ่มเจ็บร้าวขึ้นมาอีกครั้ง

ลู่หลีรีบหันกระจกออกไปจากฉินมู่และคนอื่นๆ นางกล่าว “เจ้ากระจ่างหรือยัง”

ตอนนี้กระจกหันไปส่องยังทิศทางของค่ายทัพมาร ยอดฝีมือมารข้างหลังเขามองเข้าไปในนั้น และเห็นดวงวิญญาณมารเทวะและไพร่พลมารทั้งหลายข้างในกระจก

ศิษย์ของฟู่ยื่อลัว ชูเย่ ตะลึงไปเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นดวงวิญญาณอันค่อนข้างพิลึกประหลาดท่ามกลางมารทั้งหลาย

คนผู้นั้นถึงกับยืนอยู่ท่ามกลางปราสาทสวรรค์! ยิ่งไปกว่านั้นดวงวิญญาณของเขายังแหว่งวิ่นและเต็มไปด้วยรอยปะต่ออันดูเหมือนเย็บเข้าด้วยกันจากดวงวิญญาณของผู้คนมากมาย!

ชูเย่กำลังจะเพ่งมองอย่างละเอียด แต่ลู่หลีก็เก็บกระจกกลับไป

หรือข้าจะตาฝาด ชู่เย่ฉงนฉงาย

ฟู่ยื่อลัวตัวสั่นเทิ้ม และเขากล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “ดวงตาสามดวงนั้น…”

“ถูกภูติบดีปิดผนึกเอาไว้” ลู่หลีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าลืมไปได้เลยหากคิดจะครอบครองเขา เป้าหมายของเจ้ามีแค่สวรรค์ไท่หวง”

ฟู่ยื่อลัวตั้งสติตนเองและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ในที่สุดข้าก็ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเมืองเทพยดา มันเป็นการสร้างบุปผาจากอากาศธาตุ เสกสรรความเป็นจริง และความลวงให้เป็นของแท้ ด้วยการวาดภาพออกมาเป็นโลก พวกเขาก็เชื่อมต่อความลวงและความจริง ทำให้ยากจะแยกแยะทั้งสองสิ่ง ถึงกับสร้างเทพเจ้าและทุกสิ่งทุกอย่างด้วยมรรคาแห่งภาพเขียน ความสำเร็จของคนผู้นี้จะต้องบรรลุจุดสุดยอดแห่งเต๋าแห่งภาพเขียน”

เสียงของเขาดังไปถึงหูของเฒ่าหนวก ยายเฒ่าซี และคนอื่นๆ “การที่สหายเต๋าทั้งหลายสามารถหลอกลวงข้าและยับยั้งทัพมารของข้าไว้ได้หลายวัน ถ่วงเวลาให้สวรรค์ไท่หวงมีเวลาหายใจและตระเตรียม แม้ว่าพวกเจ้าทั้งหมดจะต้องตายลงไป ก็ควรที่จะภูมิใจในตนเอง”

สีหน้าของทุกคนในคณะแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง พวกเขาเห็นห้วงมิติรอบๆ ตัวพวกเขาบิดเบี้ยว แม้ว่าพวกเขากำลังถอยออกไป แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งเข้าใกล้ฟู่ยื่อลัว

“พวกเราตายแน่ ตายแน่ๆ…” สีหน้าเฒ่าเป๋ซีดเผือด พึมพำอยู่คนเดียว

วัวเขียวข้างใต้ขาของอธิการบดีป้าซานร้องมออย่างโกรธเกรี้ยวและวิ่งตะบึงไปอย่างไม่คิดชีวิตยังเมืองเทพยดา แต่ทว่า ไม่ว่าเขาจะวิ่งไปด้วยความเร็วเท่าไร เขาก็ยิ่งออกห่างจากเมืองและเข้าใกล้ฟู่ยื่อลัวมากขึ้นเท่านั้น

วัวเขียวรีบหยุด ไม่กล้าขยับเขยื้อนอีกต่อไป

“มหาราชา ข้าต้องการแค่ฉินเฟิงชิง ส่งเขาให้ข้า และข้าก็จะมอบสวรรค์ไท่หวงให้กับเจ้า!” ลู่หลีกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ต้องห่วง บัดนี้เมื่อข้าได้เห็นความจริงออกจากความลวงแล้ว พวกเขาก็ไม่มีทางหนีรอดอีกต่อไป”

ฟู่ยื่อลัวย่างเท้า และก้าวเดินตรงไปยังทุกคน อากาศพลันบีบรัดอย่างรุนแรง และทุกคนก็เคลื่อนที่เข้าไปใกล้เขาอย่างฝืนเจตนา

คนแล่เนื้อคำรามอย่างเกรี้ยวกราดและสะบัดมีดผ่าไปยังท้องฟ้าและพื้นดิน หมายที่จะสะบั้นห้วงอวกาศอันบีบรัดนี้ กระนั้นแสงมีดของเขาก็พลันถูกบีบอัดและหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

แต่ทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สะท้านสะเทือนอย่างรุนแรง ฟู่ยื่อลัวชะงักเท้า เขาเงยศีรษะขึ้นมองไปยังท้องฟ้า และสีหน้าเขาเต็มไปด้วยความแตกตื่น

ลู่หลีก็เงยหน้าขึ้นไปมองด้วยความตระหนกเช่นกัน บนท้องฟ้า ลำแสงเข้มหนาสาดส่องลงมาและเชื่อมต่อกับพื้นดิน ถัดไปนั้นมันก็แปรเปลี่ยนเป็นแสงโลหิตอันปั่นป่วนรุนแรง!

ดาวเคราะห์มหึมาแต่แหว่งวิ่นพลันบีบตัวออกมาจากห้วงมิติ และปรากฏอยู่บนท้องฟ้าเหนือสวรรค์ไท่หวง!

จากนั้นดาวเคราะห์หักพังดวงที่สองก็ปรากฏ ตามด้วยดวงที่สาม…

ภาพอันน่าตื่นตระหนกปรากฏบนฟากฟ้า แผ่นดินใหญ่มหึมาพลันกดทับลงไปบนดาวเคราะห์ทั้งหลายที่พลันปรากฏบนท้องฟ้าเหนือสวรรค์ไท่หวง!

ตำนานเทพกู้จักรวาล

ตำนานเทพกู้จักรวาล

Status: Ongoing
ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset