ยายเฒ่าซีหมายจะส่งคัมภีร์มารฟ้าที่กลับมาเป็นลูกกลมไหมคืนให้ฉินมู่ แต่เขาส่ายหน้า “ท่านยาย เก็บคัมภีร์ไว้กับท่านก่อน ในสวรรค์หลัวฝูมีอันตรายมากมาย ข้าเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์”
ยายเฒ่าซีจึงนำเอาตะกร้าไผ่สานออกมา มันเป็นตะกร้าดอกไม้เล็กๆ ที่มีปากกลมแต่ก้นสี่เหลี่ยม และมันยังมีริ้วผ้าจำนวนหนึ่งกับสิ่งของอย่างเช่นกรรไกรและเข็มเงิน พวกนี้ล้วนแต่เป็นอาวุธวิญญาณของนาง
ทั้งสองคนมองไปยังแม่น้ำโลหิตที่ไหลเป็นเกลียววนบนท้องฟ้า อันได้กักเทพเจ้ามือขวานไว้ในใจกลาง ราวกับว่าเป้าหมายของการบูชายัญนี้มิใช่เพียงแค่จะอัญเชิญเทพมา
แม่น้ำเลือดไม่ได้แปรเปลี่ยนเป็นแสงโลหิตอันใช้อัญเชิญเทพเจ้า ในทางกลับกัน ก้อนเลือดเหล่านั้นได้แตกตัวออกมาและแปรเปลี่ยนเป็นรอยประทับอัศจรรย์มากมาย อักษรรูนเหล่านั้นลึกล้ำเป็นอย่างยิ่ง มันน่าจะเป็นวิธีการบูชายัญของเผ่ามาร
พิธีบูชายัญนั้นมีที่มาจากเผ่ามาร ฉินมู่ได้เรียนรู้บางวิธีการมาก่อน อักษรรูนบัญชาผีย้ายเทพเคลื่อนก็เป็นวิธีการบูชายัญชนิดหนึ่งที่มาจากราชามารตู้เถียน ราชามารตู้เถียนได้เผยแพร่วิธีการบูชายัญเช่นนี้ไปยังสันตินิรันดร์ด้วยหมายที่จะอัญเชิญตัวเขาเองมารุกรานสันตินิรันดร์ แต่หลังจากพบฉินมู่ เขาก็ละความคิดดังกล่าว
เผ่ามารนั้นก็มีสรวงสวรรค์หลายแห่ง สวรรค์ตู้เถียนและสวรรค์หลัวฝูเป็นส่วนหนึ่งของสรวงสวรรค์ในเผ่ามาร และโลกทั้งสองนั้นได้จมลงไปในการทำลายล้าง โลกทั้งสองต่างแสวงหาวิธีการที่จะยืดชีวิตและรักษาจำนวนผู้คนของตน
จากข้อเท็จจริงแล้ว วิธีการบูชายัญส่วนใหญ่มาจากเผ่ามาร เผ่ามารนั้นได้สร้างสรรค์วิธีการบูชายัญมากมาย และก่อสร้างอารยธรรมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน ซึ่งแตกต่างไปจากสันตินิรันดร์และสวรรค์ไท่หวงเป็นอย่างยิ่ง
เผ่ามนุษย์เองก็ได้เรียนรู้วิธีการบูชายัญจำนวนหนึ่งจากเผ่ามาร ยกตัวอย่างเช่น วิธีการบูชายัญมากมายในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต ก็เป็นวิชาฝึกปรือแห่งมรรคามารเช่นเดียวกัน
นอกจากวิธีการบูชายัญแล้ว เผ่ามนุษย์ยังได้เรียนรู้วิชาฝึกปรือมารมากมาย ก็เช่นว่าเวทมนตร์หมอผีแห่งวังทองโหรวหลันที่เรียนมาจากเทพหมอผีขุย เทพหมอผีขุยนั้นเป็นมารเทวะที่ถูกส่งมาจากสภาสวรรค์ไปยังแดนใต้พิภพ
“มีอะไรบางอย่างผิดปกติ!”
ยายเฒ่าซีพิจารณาแม่น้ำเลือดรอบๆ แท่นสังเวย และนางก็เห็นอักษรรูนสีเลือดปรากฏขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกันนั้น ในอ้อมกระหวัดวนของแม่น้ำเลือด เทพเจ้าที่มาจากแดนโบราณวินาศเหมือนจะถูกกักขังเอาไว้ เขาพยายามที่จะฝ่าออกไปจากพิธีบูชายัญซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่อาจทะลวงฝ่าไปได้
เขาถึงกระทั่งพยายามพุ่งทะยานออกจากแท่นสังเวย แต่ความพยายามของเขาไร้ผล
กำลังฝีมือของมารเทวะที่ดำเนินพิธีบูชายัญนี้มิได้แข็งแกร่งอะไร หากว่าเขาแข็งแกร่งก็คงไม่ตกตายภายใต้การลอบจู่โจมของยายเฒ่าซี กำลังฝีมือของเขาน่าจะต่ำต้อยกว่าเทพขวานศึกผู้นี้มาก แต่วิธีการบูชายัญของเขาลึกซึ้งยิ่ง
แม้ว่าเขาจะตกตายในน้ำมือของยายเฒ่าซี แต่การบูชายัญโลหิตก็ยังคงกักขังเทพขวานศึกเอาไว้ใจกลาง ทำให้เขาไม่อาจหนีออกมาได้!
“เขาคิดจะสังเวยเทพขวานศึกนี้ไปพร้อมๆ กัน!”
ท่านยายซีตัวสั่นเทิ้มและพึมพำ “เขาถือเอาเทพขวานศึกเป็นเครื่องสังเวยด้วยเช่นกัน เขาสังเวยเทพผู้นี้แก่ตัวตนโบราณบางตน พร้อมกับแม่น้ำโลหิต เพื่ออัญเชิญตัวตนนั้นให้จุติลงมา…”
ฉินมู่ไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับการบูชายัญอย่างลึกซึ้งนัก และความสำเร็จของเขาในเชิงนี้ก็ด้อยกว่าท่านยายซีมาก แม้กระนั้น เขาก็มองออกว่าเทพขวานศึกกำลังตกที่นั่งลำบาก
เทพขวานศึกผู้นี้สวมใส่ชุดเกราะ และก็มีหยดเลือดไหลออกมาจากข้างในเกราะแล้ว พวกมันลอยขึ้นไปในอากาศ และหลอมรวมเข้ากับแม่น้ำเลือด!
ไม่เพียงแค่นี้ ขวานศึกและเกราะของเขาก็กำลังเริ่มจะสูญเสียแก่นแท้ของพวกมัน!
วิธีการบูชายัญของมารเทวะนั้นทรงพลานุภาพจนเกินไป!
เทพที่ถือขวานศึกนั้นตอนนี้อ่อนแอกว่าเดิมลงไปมาก เขาได้กลายเป็นปวกเปียกเปราะบาง ยิ่งปราณและโลหิตของเขาสูญเสียไปมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เขายากจะป้องกันตนเองจากพิธีกรรมบูชายัญมากเท่านั้น
“มารเทวะที่ท่านยายสังหารนั้นน่าจะเป็นหนึ่งในสุดยอดฝีมือด้านพิธีบูชายัญ! ท่านได้สังหารมารเทวะที่สำคัญอย่างสุดๆ!” ฉินมู่มองไปที่เทพขวานศึกพลางร้องออกมา
ยายเฒ่าซีกล่าวอย่างสลดใจ “แต่ข้าไม่อาจช่วยชีวิตเทพเจ้าที่อยู่บนแท่นสังเวย หากว่าพวกเราถลันเข้าไปในนั้นก็มีแต่จะเอาชีวิตไปทิ้ง พวกเราไม่อาจหยุดยั้งการบูชายัญนี้ได้ และไม่อาจหยุดยั้งการจุติลงมาของตัวตนโบราณ…”
บนแท่นสังเวย เทพขวานศึกพุ่งทะลวงไปทั้งซ้ายและขวา แต่ก็มีแต่จะหมดเปลืองเรี่ยวแรงมากขึ้น ในที่สุด เขาก็ล้มเลิกการต่อสู้ดิ้นรน และยืนอยู่บนจุดสูงสุดของแท่นสังเวย เงยหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อมองไปยังบางสิ่ง
นี่คือสุดสายปลายทางของเทพตนนี้ เขานั้นกำลังจะแหลกสลายจากการเป็นเครื่องสังเวย กลายเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงให้แก่ตัวตนโบราณอีกตน
“ข้าน่าจะตายไปตั้งนานแล้ว…”
เสียงของเทพขวานศึกดังมาถึง เสียงของเขาฟังดูแห้งแล้งเล็กน้อย เขายืนอยู่บนแท่นสังเวยและกล่าวด้วยเสียงอันดัง เสียงของเขาเดินทางไปไกลและกึกก้อง เขารำพึงกับตนเอง “ข้าน่าจะตายไปตั้งนานแล้ว ข้าน่าจะตายไปในภัยพิบัติเมื่อสองหมื่นปีก่อน ข้าน่าจะตายไปพร้อมกับสหายร่วมรบบนสมรภูมิ ข้าไม่น่าจะเข้าจำศีล ข้าไม่น่าจะกลายเป็นรูปสลักหินในแดนโบราณวินาศ ข้าไม่น่าจะกระเสือกกระสนอยู่ที่ขอบประตูมรณะจนกระทั่งบัดนี้ เพื่อปกป้องความหวังลมๆ แล้งๆ อนาคตลมๆ แล้ง…”
ฉินมู่และยายเฒ่าซีตกตะลึง พวกเขามองไปยังเทพเจ้าบนแท่นสังเวย และแม้ว่าพวกเขาอยากจะเข้าไปช่วย แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
เทพตนนั้นคุกเข่าลงข้างหนึ่งและนั่งลงไป เขากวัดแกว่งขวานศึกเพื่อต่อสู้กับการบูชายัญโลหิต เสียงของเขากลายเป็นเคร่งขรึม “ความหวัง อนาคต หมู่บ้านไร้กังวล…พวกเราได้เงียบงันมานานเกินไปแล้ว สูญเสียจิตวิญญาณหาญสู้ เงียบงันเสียจนกระทั่งรูปสลักหินก็กลายเป็นเยือกแข็ง เงียบงันเสียจนผู้คนที่พวกเราต้องปกป้องเมื่อครั้งกระโน้นได้ตายกันไปหมด…ข้าไม่อาจเห็นใบหน้าของครอบครัวข้าได้ในตอนนี้ เงียบงันเสียจากระทั่งขุนเขาเหล่านี้ก็ยังเปลี่ยนแปลงไป! แล้วท่านล่ะ…”
เสียงของเขากลายเป็นกึกก้องเมื่อติเตียนท้องฟ้า “จักรพรรดิก่อตั้ง แล้วท่านล่ะ? ท่านอยู่ไหน”
“โลกอุดมคติของท่านคือหมู่บ้านไร้กังวลที่ท่านซ่อนตัวอย่างอย่างนั้นหรือ”
“ท่านยังทนได้ที่จะเห็นบ่าวของท่าน ทหารชราที่ติดตามท่าน เหี่ยวแห้งและตายไปจากความชราอย่างงั้นหรือ”
“ท่านยังทนได้ที่จะเป็นภูเขาและแม่น้ำเปลี่ยนแปลงไป? เห็นผู้คนที่ท่านปกป้องตกตายไปจากอายุขัยอย่างนั้นหรือ”
“ทำไมท่านไม่ปรากฏตัว”
“สองหมื่นปีที่ผ่านมา ท่านยังคงข้ามไม่พ้นความพ่ายแพ้ในครั้งนั้นหรือ ท่านยังรวบรวมความมั่นใจกลับมาไม่ได้หรือ ท่านยังคงตัดใจเดินออกมาจากหมู่บ้านไร้กังวลไม่ได้หรือ พวกเรากำลังรอ รอคอยการเพรียกขานของท่าน เพื่อต่อสู้กับสภาสวรรค์อีกครั้ง! ท่านอยู่ที่ไหน”
…
ฉินมู่และท่านยายซีได้ยินเสียงของเขาก้องสะท้อนไปในฟ้าและดิน ไม่มีใครในสวรรค์หลัวฝูที่สามารถตอบคำถามของเขาได้
“ขวานปีกห่านของข้า มาสิ้นสลายกับข้าเถอะ!”
บนจุดสูงสุดของแท่นสังเวย ท่ามกลางแสงโลหิตอันเข้มข้น เทพเจ้าพยายามอย่างดีที่สุดที่จะขับเคลื่อนอาวุธวิญญาณของเขา ในตอนนั้นเอง แสงเข้มข้นเหลือแสนก็พวยพุ่งจากยอดแท่นสังเวย แสงนั้นเจิดจ้าบาดตาเสียจนยากจะลืมตามอง
“แม้ปราศจากจักรพรรดิก่อตั้ง การพิทักษ์ก็ยังคงยืนยง!”
“ข้า ข้ารับใช้เก่าแห่งจักรพรรดิก่อตั้ง ดาวจักรพรรดิสวรรค์ ทหารหน่วยเหยากวง นามลัวอวี้ จะใช้ร่างกายผุพังนี้เพื่อปกป้องผู้คนของพวกเรา เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าจุติลงมา!”
“สลายอาวุธ–”
“สลายจิตวิญญาณ–”
รังสีแสงระเบิดออกไป และเสียงกัมปนาทสะท้านพิภพก็ดังออกมา คลื่นกระเพื่อมอันน่าสะพรึงกลัวมันโถมซัดไปยังรอบทิศทางของแท่นสังเวย ยายเฒ่าซีรีบเปิดเขตพลังหมู่ดาวสวรรคืคลุมนภาเพื่อปกป้องตัวนางและฉินมู่ คลื่นสะเทือนอันไร้ขอบเขตก็โถมทับพวกเขาจมไป!
วงแหวนแสงอันเข้มข้นกวาดซัดผ่านเขตพลังหมู่ดาวสวรรค์คลุมนภา ขณะที่พื้นดินก็ปูดปะทุขึ้นมาเหมือนขนมเปี๊ยะที่แตกหัก เมื่อวงแหวนแสงแตกสลายไป ดาวเคราะห์แตกหักบนท้องฟ้าก็เคลื่อนขยับ และสร้างคลื่นโหมซัดอันมโหฬาร แต่ทว่า คลื่นมหึมาระหว่างฟ้าและดินก็ถูกหักล้างไปด้วยการระเบิดนี้ หลังจากนั้น คลื่นก็เคลื่อนกลับไปและน้ำก็กระจายไปทั่ว!
การระเบิดนี้กระชั้นสั้น ไม่นานนัก บริเวณโดยรอบแท่นสังเวยก็กลับมาสงบนิ่ง แม่น้ำเลือดที่ลอยวนอยู่บนยอดแท่นสังเวยก็หายสาบสูญ บนแท่นสังเวย เทพเจ้าและขวานศึกของเขาไม่อยู่ที่นั่นอีกต่อไป แท่นสังเวยที่แตกหักก็เปล่งแสงสีโลหิต
เทพผู้นี้ได้สลายอาวุธและจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขา ใช้พลังการบูชายัญของเขาเพื่อยับยั้งพิธีบูชายัญข้างนอก ตัวตนโบราณที่มารเทวะหมายจะอัญเชิญก็ไม่อาจจุติลงมาได้อีกต่อไป
ฉินมู่มองไปยังแท่นสังเวยที่ถูกย้อมเป็นสีแดงเลือด เขามองนิ่งไม่ไหวติงอยู่พักหนึ่ง และท่านยายซีก็อดไม่ได้ที่จะบอก “มู่เอ๋อ ไปกันเถอะ เขาเลือกที่จะปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระ และนี่ก็เป็นเรื่องดีสำหรับเขา เพราะถึงอย่างไร เขาก็ได้กระทำตามคำมั่นสัญญาและหน้าที่ของตน พวกเราไปที่แท่นสังเวยถัดไปเถอะ หวังว่าจะได้พบนักบุญคนตัดไม้ที่นั่น…”
ฉินมู่ติดตามนางไป ยังคงเงียบงัน ยายเฒ่าซีนั้นไม่ค่อยคุ้นชินกับการที่เขาเป็นอย่างนี้ ดังนั้นนางจึงหันกลับไปถาม “มู่เอ๋อ เจ้าคิดอะไรอยู่ นี่ไม่เหมือนตัวเจ้าเลย”
“ข้ากำลังคิดว่าบางทีบรรพบุรุษของข้า–จักรพรรดิก่อตั้ง–อาจจะไม่ได้เป็นวีรบุรุษอันยิ่งใหญ่อย่างที่ข้าจินตนาการเอาไว้”
ฉินมู่กล่าวด้วยสีหน้าเหม่อลอย “หลังจากที่ได้รู้ว่าข้ามาจากหมู่บ้านไร้กังวล…หลังจากที่ได้รู้ว่าข้านั้นเป็นผู้สืบสายเลือดของจักรพรรดิก่อตั้ง ข้าก็มักจะมีความคิดหนึ่งขึ้นมา และนั่นก็คือการได้เป็นผู้กล้าหาญอันไม่สยบยอมเหมือนกับเขา วีรบุรุษอันยิ่งใหญ่ เขามีอุดมการณ์อันล้ำเลิศและก็มีวีรชนมากมายที่ติดตามเขา เขานั้นจะต้องมีเมตตาและน่านับถือ แต่กระนั้น…”
เขาส่ายหัวและนิ่งไปครู่หนึ่ง “บางทีเขาอาจจะไม่ได้เป็นคนแบบนั้น บางทีเขาอาจจะเป็นแค่ชายชราที่หวาดกลัวความตาย เขาไม่มีความกล้าหาญแบบนั้น ไม่มีความโอ่อ่าผ่าเผยแบบนั้น เขาได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านไร้กังวลเพื่อใช้ชีวิตอยู่ในความฝันอันมัวเมาของตน บางทีเขาอาจจะได้ทำให้วีรชนมากมายที่ติดตามเขาผิดหวังไปหมดแล้ว…”
ยายเฒ่าซีกะพริบตาปริบ และหัวเราะพรืด “มู่เอ๋อ เจ้ายังเป็นเด็ก ทำไมเจ้าคิดอะไรมากมายขนาดนี้ ตอนที่ข้าอายุเท่าเจ้า…เอิ่ม หลี่เทียนซิงได้ชมชอบข้าแล้ว และข้าก็กำลังคิดวางแผนกำจัดเขา…เมื่อผู้ใหญ่บ้านอายุเท่าเจ้า เขายังเล่นดินเล่นโคลนอยู่เลย!”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “น่าจะเป็นว่าผู้ใหญ่บ้านได้กราบกรานอาจารย์และกำลังฝึกฝนอบรมเพื่อเตรียมตัวเป็นกษัตริย์มนุษย์คนถัดไปมากกว่า เขาจะยังเล่นดินเล่นโคลนอยู่ได้อย่างไร ท่านยาย ท่านเล่นตลกอีกแล้วนะ”
ยายเฒ่าซีเห็นเขายิ้ม นางก็แย้มยิ้มเช่นกัน “เจ้าเป็นเด็กที่ข้าเลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออก แม้ว่าข้าจะดูแลเจ้าไม่ดีบ้างอย่างตอนที่เจ้าฉี่รดที่นอนข้าก็ไม่อยากจะเลี้ยงเจ้าแล้ว แต่ข้าก็ยังกังวลอยู่เสมอว่าเจ้าจะทิ้งข้าไปหลังจากที่โตขึ้นมาแล้ว ข้าเอาแต่คิดว่าเจ้าจะเป็นอย่างไรสบายดีหรือไม่ กังวลว่าเจ้าจะเจ็บช้ำจากอะไร บางทีนี่อาจจะเป็นกรอบคิดแบบพ่อแม่ ข้าไม่อยากให้เจ้าเติบโตเร็วเกินไปและมีความยุ่งยากมากล้น เจ้าน่าจะไร้กังวล…ทั้งหมดนี่ก็เป็นความผิดของผายลมเฒ่าไอ้ผู้ใหญ่บ้าน ให้เจ้ามาเป็นกษัตริย์มนุษย์เพื่ออะไรกัน ถ้าพวกเรากลับไปเมื่อไหร่ ข้าจะไปหาเลือดหมาดำมาเทใส่รูปสลักหินของเขา!”
เมื่อพวกเขาไปถึงบริเวณใกล้ๆ แท่นสังเวยที่สอง มองไปจากที่ไกลๆ ก็เห็นมารเทวะตนหนึ่งกำลังโจมตีแท่นสังเวย และหมายที่จะเข้าไปควบคุมแทน
เทพเจ้าสองตนต่อสู้กันอย่างดุเดือด และภาพที่เห็นก็ชวนให้แตกตื่น
“ฟู่ยื่อลัวไม่กลัวว่านักบุญคนตัดไม้จะหักใจอำมหิตและบูชายัญสวรรค์หลัวฝูหรอกหรือ” ฉินมู่ส่ายหัว
ยายเฒ่าซีวางตะกร้าดอกไม้เล็กๆ ของนาง และหยิบกรรไกรเล่มหนึ่งออกมาจากในนั้น จากนั้นนางก็นำเอาผืนผ้าออกมาจำนวนหนึ่ง นิ้วของนางเคลื่อนไหวขึ้นๆ ลงๆ ขณะที่นางเย็บปะขึ้นมาเป็นเสื้ออันปุปะตัวหนึ่ง นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฟู่ยื่อลัวกำลังเตรียมแต้มต่อสำหรับการเจรจา! ยิ่งเขาบุกยึดแท่นสังเวยได้มากเท่าไร เขาก็ได้มีแต้มต่อในการเจรจามากขึ้นเท่านั้น! ลอยขึ้นไป–”
เสื้อปุปะที่นางเพิ่งตัดเย็บลอยขึ้นไปและพุ่งเข้าสู่สนามรบ เสื้อนั้นขย้ำใส่มารเทวะและสวมใส่ร่างของเขาโดยอัตโนมัติ