ฉินมู่วิ่งตื่นออกมาจากวิหาร ทันทีที่เขามาถึงขั้นบันไดของขุนเขาเทวะ เขาก็กระโจนลงไปและซ่อนอยู่ใต้บันไดหิน ลำแสงหนาเข้มสองลำยิงเฉียดหัวเขาไป และแผดเผาขั้นบันไดหิน!
หลังจากสองลำแสงเทวะกวาดผ่านไป ฉินมู่ก็กระโดดลงไปยังขั้นบันไดอีกขั้นข้างใต้ โดยไม่รีรอ เขาทะยานขึ้นและวิ่งตะบึงราวมังกรคลั่ง ทิ้งไว้แต่รอยควัน
ขณะที่เขาวิ่งไปอย่างรวดเร็ว เขาก็ขับเคลื่อนปราณชีวิตและสร้างหมอกข้างหลัง ปกคลุมทั้งภูเขาเอาไว้
แต่ทว่า จากบาดแผลที่คอของเขา ปราณและโลหิตก็รั่วไหลออกมา พวกมันลอยออกไปจากร่างของเขาและถ่ายเทไปยังขุนเขา
บาดแผลนี้เป็นฝีมือของชื่อซีเมื่อเขาปักเล็บเข้าไปในคอ บนแท่นประหารเทพ ไม่ว่าบาดแผลเล็กน้อยเพียงใด ก็ไม่สามารถสมานด้วยตนเองหรือใช้ยารักษาได้ ปราณและโลหิตจะถูกดูดโดยแท่นประหารเทพ วิธีเดียวที่ทำได้คือต้องรีบออกจากขุนเขาขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
ปราณและโลหิตในร่างของฉินมู่สูญเสียไปด้วยความเร็วสูง เขาไม่กล้าที่จะหันกลับไปมองดูว่าปราณและโลหิตของเขาถูกดูดกลืนไปโดยแท่นประหารเทพหรือชื่อซี เขาได้แต่กัดฟันและวิ่งไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในท้ายที่สุด เมื่อเขามาถึงตีนเขา จิตคิดของเขาก็ว่างเปล่าเพราะการสูญเสียเลือด เขาได้ยินเสียงสายฟ้าครั่นครื้นที่หูและดวงตาเขาก็เห็นแต่ความมืด
จิตวิญญาณดั้งเดิมของฉินมู่ฉายส่องออกมา และเขาใช้มันมองไปรอบๆ เขารีบนำเอาน้ำลายมังกรออกมาจากถุงเต๋าตี้และทามันที่คอของตน ถัดไปนั้นเขานำเอายาวิญญาณพุทธองค์อันสามารถฟื้นฟูโลหิตได้ออกมากลืนกินไปทั้งกำมือ
เขาแตะดูเนื้อตัวและหัวใจก็สะท้านหวั่นไหว ในเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ เขาได้ผ่ายผอมราวกับก้านไม้ขีดและต้องใช้เวลาฟื้นฟูสักหน่อย
แท่นประหารเทพและชื่อซีแย่งชิงปราณและโลหิตของเขาด้วยกัน ดังนั้นเขาไม่ถูกรีดจนเหี่ยวแห้งก็นับว่าปาฏิหาริย์แล้ว
ข้าสงสัยว่าชื่อซีคงทำอะไรสักอย่างปราณและโลหิตของข้าถึงไหลออกไปเร็วขนาดนั้น
ฉินมู่ผอมซูบราวกับต้นไผ่ เขาดึงเอากล่องเล็กใต้รักแร้ออกมาขณะที่เดินไปด้วยแข้งขาสั่นงั่กๆ เขาอยากจะออกห่างจากขุนเขาเทวะนี้ให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ พลางครุ่นคิดในใจ ‘ผงสลายโลหิตของข้าละลายไว้ในน้ำ ตอนแรกเขาดูดกลืนเลือดของเจ๋อหัวหลีและฉีเจี่ยวอี๋ ใช้เลือดของทั้งสองคนนั้นเพื่อปลุกตนเองให้ตื่นขึ้นมา ก่อนที่จะใช้น้ำสามถุงเพื่อฟื้นฟูความชุ่มชื้นแก่ตนเอง ผงสลายโลหิตน่าจะเดินทางไปทั่วกายเนื้อของเขาพร้อมกับน้ำ เขาดูดเลือดของข้า ดังนั้นมันก็จะละลายในเลือดที่เขาแย่งชิงมา เขาอาศัยเลือดเพื่อปลุกตนให้ตื่น ดังนั้นเมื่อเลือดสลายไป เขาก็จะหลับใหลอีกครั้ง แต่หากว่าชื่อซีระวังป้องกันเอาไว้ก่อน เขาก็อาจจะกักเลือดสะอาดเอาไว้จำนวนหนึ่งล่วงหน้า
ฉินมู่เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านวิชาแพทย์และวิชาพิษ เขารู้ว่าจะกักเก็บเลือดสะอาดส่วนหนึ่งไว้อย่างไร และเขาก็ยังรู้ว่าชื่อซีกักเก็บเลือดสะอาดเอาไว้ที่ไหน
มันอยู่ข้างในดวงตาของชื่อซี ดวงตาคู่นั้นที่ฉายแสงเทวะสาดส่องออกมา
เขาน่าจะมีเลือดสะอาดอยู่เพียงแค่ในดวงตาทั้งสอง
ดังนั้น ฉินมู่จึงไม่รู้ว่าชื่อซีจะจมลงไปในนิทราอีกครั้งหรือไม่ นั่นจึงเป็นเหตุให้เขาจะต้องรีบออกห่างจากขุนเขาเทวะนี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
หากว่าชื่อซีฉลาดเพียงพอ เขาก็จะรีดเร้นน้ำส่วนเกินในร่างกายออกไป ทำให้ตนเองกลับไปแห้งเป็นซากอีกครั้ง จากนั้นก็ใช้โลหิตในดวงตาเพื่อช่วยพยุงตัวให้ลุกยืนขึ้น
ฉินมู่ขับเคลื่อนปราณชีวิตที่เหลือของเขาเพื่อเร่งปฏิกิริยาของยาวิญญาณพุทธองค์ในร่างตน เขาคิดในใจ หวังว่าเขาคงจะไม่ฉลาดขนาดนั้น…
ในวิหาร ชื่อซีคุกเข่าอยู่ที่นั่นไม่ไหวติงราวกับรูปสลักไม้ ปลายนิ้วทั้งหมดของแขนหกข้างของเขากำลังหลั่งไหลน้ำขุ่นออกมา มันไหลออกมาเป็นเส้นสายเล็กละเอียด และมีเลือดเสียสีขาวขุ่นผสมปนเปในนั้น
ผงสลายโลหิตของฉินมู่ไม่อาจสลายโลหิตเทวะของเขาได้ ที่สลายไปนั้นคือเลือดที่เขาดูดกลืนมาจากฉีเจี่ยวอี๋ เจ๋อหัวหลี และบางส่วนจากฉินมู่
ผ่านไปพักหนึ่ง น้ำในร่างของชื่อซีก็ถูกรีดเร้นออกมาจากหมด เขาได้กลับกลายเป็นศพแห้งสามเศียรหกกรอีกครั้ง มีประกายวูบวาบพุ่งในดวงตาของใบหน้าทางด้านตรงของเขา เขาดูน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
ชื่อซีแยกเลือดส่วนหนึ่งออกจากดวงตาของเขาอย่างระมัดระวัง และปล่อยให้เลือดจำนวนน้อยนิดนี้กระตุ้นการทำงานร่างกายของเขาบางส่วน จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนด้วยร่างอันสั่นเทิ้ม
หัวอีกสองข้างของเขาก้มตกลงมา เช่นเดียวกับแขนทั้งหกที่อยู่ในสภาวะอ่อนแอ
โลหิตในร่างกายของเขามีน้อยนิดจนเกินไป ดังนั้นเขาจึงได้แต่รักษาการทำงานของร่างกายได้อย่างจำกัดจำเขี่ย การทำงานของร่างกายส่วนอื่นๆ ได้แต่ต้องจำศีลเอาไว้
เขาเคลื่อนออกจากโถงวังด้วยความยากลำบาก เขามาถึงบันไดหินหน้าวิหารได้ก็ต่อเมื่อใช้เวลาอยู่สักพัก ขาของเขาสะดุด และเขากลิ้งตกลงมาจากขุนเขาเทวะ
ความเร็วของเขาไม่อาจตามทันฉินมู่ เจ๋อหัวหลี และฉีเจี่ยวอี๋ ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเพื่อกลิ้งลงมาจากยอดเขาสู่พื้นข้างล่าง
ชื่อซีพักอยู่นานก่อนจะลุกขึ้นยืน เขาเคลื่อนไหวร่างกายด้วยความยากลำบากเพื่อแสวงหาแหล่งน้ำ
ฉินมู่อยู่ที่ทะเลสาบห่างไกลออกไป เขานำเอาถุงผงสลายโลหิตออกมาและเทลงไปในทะเลสาบ เขาเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาด้วยร่างกายอันสั่นเทา เขาก็รีบเทผงที่เหลือทั้งหมดลงในทะเลสาบ เขาขับเคลื่อนทักษะเทวะและก้อนเมฆก็ปรากฏเหนือทะเลสาบ จากก้อนเมฆนั้น มังกรเทพยดาห้อยลงมาและปักหางของมันเข้าไปในทะเลสาบเพื่อกวนมันอย่างรุนแรง
ฉินมู่โบกมือลาแล้ววิ่งตะบึงหนีไป
ฉึก
ลำแสงสองลำพุ่งออกมาจากดวงตาของชื่อซี แต่พลาดเขา ชื่อซีได้แต่มองเขาเคลื่อนห่างไป
“น้ำ–”
ชื่อซีเดือดดาลพลางเดินกะโผลกกะเผลก ร่างกายของเขาไม่อาจทานทนได้อีกต่อไปและล้มคว่ำลงกับพื้น เขาอุตส่าห์คลานมาถึงที่นี่ด้วยความยากลำบาก แต่ทะเลสาบก็ถูกฉินมู่วางยาพิษ หากว่าเขาต้องการจะหาแหล่งน้ำอื่น ก็คงต้องใช้เวลาถึงสองเดือน หากว่าโชคไม่ดี เขาก็อาจจะต้องใช้เวลาถึงสองปี
ในตอนนี้ เสียงครั่นครื้นของสายฟ้าก็ดังมาจากเวหา ฟ้าร้องกระหึ่มได้ปลุกใช้ชื่อซีตื่นขึ้นมา และเขาก็พลิกตัวหงายด้วยความยากลำบาก เงยศีรษะขึ้นมองท้องฟ้าด้วยสีหน้าอันปีติยินดี ปากของหัวทั้งสามของเขาอ้าเปิด รอให้น้ำฝนตกลงมา
เมฆมืดคลี่คลุมท้องฟ้าและฟ้าแลบก็พุ่งไปมาในเมฆ เมฆฝนยิ่งหนาทึบและยิ่งลอยต่ำลงทุกที
บนยอดเขาห่างไกลออกไป มังกรอัคคีพลันเหาะเหินทะยานเข้าไปในเมฆ และขับไล่เมฆฝนนั้น ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ท้องฟ้าก็กลับกระจ่างเป็นสีน้ำเงิน เมฆครึ้มแปรเปลี่ยนกลับเป็นเมฆขาวและลอยจากไป
ชื่อซีหันศีรษะไปด้วยความยากลำบาก และสองลำแสงเทวะก็ยิงออกไป แทงทะลุยอดเขานั้นเป็นสองรู
“หากว่าข้าเจอตัวเจ้า…”
อีกฟากหนึ่ง ฉินมู่รีบลงจากภูเขาหลังจากขับไล่เมฆฝน ยอดเขาข้างหลังนั้นได้รับเคราะห์โดยไร้สาเหตุไปแล้ว รูโหว่สองรูได้ทำให้มันพังทลายลงมา
เขานั้นเกือบที่จะฟื้นฟูมาโดยสมบูรณ์ แต่กายเนื้อของเขานั้นยังไม่ทันกลับมาดีเต็มพิกัด
“มันคงจะไม่มีฝนตกไปสักพัก ดังนั้นข้าน่าจะปลอดภัยไปสักระยะหนึ่ง ในระหว่างนั้น ข้าก็จะฟื้นฟูตนเองและศึกษากล่องเล็กนี่”
เขาแปลงร่างเป็นเงาดำและเกาะไปกับพื้น เขาลบร่องรอยของตนเองและออกไปจากสถานที่นี้ให้เร็วที่สุด เขาพยายามอย่างดีที่จะไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้ เพื่อไม่ให้ว่าเกิดฝนตกและชื่อซีตื่นขึ้นมาจะตามตัวเขาได้เร็วเกินไปนัก
ผ่านไปนาน ฉินมู่ก็ออกมาจากสภาวะเงา และเผยร่างของเขา เขายกกล่องเล็กขึ้นมาและค่อยๆ ศึกษามันดู
กล่องเล็กนี้เป็นตัวควบคุมหลักของแท่นประหารเทพ บนกล่องเล็กมีรอยประทับทุกรูปแบบจารึกไว้ พวกมันดึกดำบรรพ์เป็นอย่างยิ่ง น่าจะเป็นรอยประทับอักษรรูนของยุคสมัยแสงฉาน และพวกมันก็แตกต่างไปจากรอยประทับอักษรรูนในปัจจุบัน
มรรคา วิชา และทักษะเทวะของยุคสมัยแสงฉาน น่าจะแตกต่างไปจากปัจจุบัน ฉินมู่ศึกษามันดูโดยละเอียดและพยายามไขแง่อัศจรรย์ของรอยประทับพวกนี้ แต่ทว่า เขาไม่เคยได้สัมผัสกับอักษรรูนแห่งยุคสมัยแสงฉานมาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกมันเลยสักนิด ได้แต่รามือยอมแพ้
ที่รอบข้างของกล่องเล็กก็มีแสงตะวันเจือจางหมุนวนไปมา แสงตะวันนี้ไม่เป็นอันตราย ฉินมู่ทดลองมันดูด้วยอาวุธวิญญาณก่อนที่เขาจะหยิบกล่องมาเสียอีก แสงตะวันไม่มีพลังอำนาจใด ดังนั้นมันน่าจะเป็นแสงรัศมีที่เปล่งออกมาจากสมบัติวิเศษข้างในกล่อง
กล่องนี้ไม่ได้ลั่นดาลเอาไว้ แต่ถูกปิดไว้อย่างแน่นสนิท ไม่มีร่องให้แงะมันเปิดขึ้นมา
ไม่ว่าฉินมู่จะพยายามเปิดกล่องเล็กนี้มากแค่ไหน เขาก็ไม่อาจทำให้มันมีรอยขีดข่วนเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งด้วยกระบี่ไร้กังวล
ทันใดนั้น เขาก้ได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงพูดที่คุ้นหูลอยเข้ามาในหูของฉินมู่ “พี่ฉินนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ถึงกับสามารถหลบหนีออกมาได้แม้ในสถานการณ์แบบนั้น ข้าเลื่อมใสเจ้ายิ่งนัก”
ฉินมู่เก็บกล่องเล็กเข้าใต้รักแร้และหันกลับไป เขามองไปที่ฉีเจี่ยวอี๋ด้วยรอยยิ้มละไม
แม้ว่าฉีเจี่ยวอี๋จะยังมีท่วงท่าอันสง่างาม แต่ก็ยังมีร่องรอยของการถูกสูบปราณและโลหิตไปโดยขุนเขาเทวะและชื่อซี แต่ทว่า เมื่อเทียบกับฉินมู่อันผอมกะหร่องแล้ว เขาก็ยังมีเลือดและเนื้ออยู่บ้าง
หะแรกฉินมู่ถูกชื่อซีแย่งชิงปราณและโลหิต จากนั้นก็ถูกขุนเขาเทวะสูบไปอีกคำรบ เพราะอย่างนั้น ร่างกายของเขาจึงไร้เรี่ยวแรงเกินไป
ฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลีแทบจะสังหารเขาได้ด้วยการกักเขาเอาไว้ในวิหารเพียงครู่หนึ่ง ดังนั้นปราณและโลหิตที่เขาสูญเสียไปจึงมากเสียยิ่งกว่าของทั้งสองคน
คราวนี้ ฉีเจี่ยวอี๋ดูเหมือนจะเตรียมพร้อมเป็นดิบดี ต้นอู่ถงโบราณยืนตระหง่านข้างหลังเขา และเพลิงไฟก็พวยพุ่งออกไปในทุกทิศทาง รังหงส์เพลิงบนต้นอู่ถงสร้างขึ้นมาจากซังข้าวสีทองและกิ่งก้านของต้นอู่ถง รังนี้เปล่งแสงสุกสกาวด้วยสีทอง และมีนกหงส์เพลิงเก้าหัวจับเจ่าอยู่ในนั้น หัวทั้งเก้าของหงส์เพลิงกำลังพ่นเปลวไฟเพื่อขัดเกลาร่างกายของตนเอง
มหาทักษะเทวะของเขากำลังรวบรวมฤทธานุภาพ
“ศิษย์พี่เจ๋อหัวหลีอยู่ที่ไหนล่ะ” ฉินมู่มองไปรอบๆ และถาม
ฉีเจี่ยวอี๋กล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “เขาท้าข้าสู้และได้รับบาดเจ็บหนัก ดังนั้นเขาจึงได้แต่วิ่งหนีไป พี่ฉิน เจ้าคงไม่รู้จักกล่องเล็กนี่หรอกใช่ไหม ทำไมไม่ให้ข้าช่วยไขความกระจ่างให้เจ้าสักหน่อยล่ะ”
ฉินมู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าล้างหูรอฟัง”
“ข้าไม่รู้ว่าสภาสวรรค์แสงฉานจะเรียกกล่องเล็กนี้ว่าอย่างไรเมื่อสามหมื่นห้าพันปีก่อน แต่ในสภาสวรรค์ของพวกข้า กล่องเล็กนี้มีชื่อเสียงอันโด่งดัง มันเรียกว่ามีดปริศนาประหารเทพ”
ฉีเจี่ยวอี๋ตั้งหลักให้มั่น หงส์เพลิงเก้าหัวบนต้นอู่ถงโบราณก็โงหัวของมันขึ้นมามองฉินมู่ สายตาของฉีเจี่ยวอี๋จับจ้องที่กล่องเล็กพลางกล่าว “ส่วนว่าข้างในกล่องนั้นจะเก็บอะไรเอาไว้ พี่ฉินไม่มีทางรู้หากว่าเจ้าไม่ใช่ขุนนางในสภาสวรรค์ กล่องเล็กนี้ปกติแล้วจะใช้เพื่อเก็บศีรษะมนุษย์”
“ศีรษะมนุษย์?”
ฉินมู่ตกตะลึงและเขย่ากล่องดูมันไม่มีเสียงของหัวคนที่กลิ้งไปมา
ฉีเจี่ยวอี๋เลิกคิ้วขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “บรรจุศีรษะของยอดฝีมือบัลลังก์จักรพรรดิ ใช้มีดของมันเพื่อประหารปวงเทวา พี่ฉินไม่รู้วิธีเปิดหีบนี่ เจ้าสามารถให้มันกับข้าได้ ข้าจะเปิดให้พี่ฉินชมดู”
ฉินมู่ยื่นหีบให้ด้วยมือทั้งสองและกล่าวอย่างจริงใจ “เอาไปสิ”
ฉีเจี่ยวอี๋สายตาจ้องจับที่หีบเล็กและสูดลมหายใจลึกยาว ต้นอู่ถงโบราณข้างหลังเขายกลอยขึ้นขณะที่ขับเคลื่อนวิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิ!
ฉินมู่ปล่อยหีบไปให้มันร่วงลงกับพื้น บนฝ่ามือของเขาข้างใต้หีบคือไจกระบี่ที่กำลังหมุนปั่น
ฉีเจี่ยวอี๋ก้าวถอยหลังให้ร่างของตนทะลุผ่านต้นอู่ถงไป ต้นไม้นี้เติบโตขึ้นอย่างบ้าคลั่งจนกระทั่งสูงยี่สิบห้าวา หงส์เพลิงเก้าหัวบนต้นไม้ก็หวีดร้องเสียงกังวาน และกระพือปีกโจมตีฉินมู่ราวกับลำแสงพิฆาต!
ชิ้ง
แสงกระบี่ของเขาพลันเจิดจ้าไร้ปานเปรียบ และกระบี่ไร้กังวลก็ระเบิดพลังออกมาปะทะกับหงส์เพลิงเก้าหัว ในเสี้ยวพริบตา เพลิงไฟร้อนแรงจนบดบังแสงตะวันบนฟากฟ้า กระบี่และเปลวเพลิงระเบิดไปท่ามกลางภูเขา ขยายออกไปอย่างดุเดือดราวกับดวงตะวันเล็กๆ และลูกกลมแสงอันแสบตา!
ฉีเจี่ยวอี๋ปะทุพลังและฟาดออกไปข้างหน้าด้วยมุทรานกหงส์เพลิง ต้นอู่ถงโบราณข้างหลังเขาก็ตามหงส์เพลิงเก้าหัวมาติดๆ มันทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทางขณะที่ฟาดลงมา