ตำนานเทพกู้จักรวาล – ตอนที่ 611 อาจารย์ดีศิษย์เด่น

นักบุญคนตัดไม้เคาะมะเหงกไปที่หัวเขาอย่างหนักหน่วงและกล่าวอย่างโกรธขึ้ง “มารยาทข้าจะไปไว้ที่ไหน ข้าจะลงมือกับผู้เยาว์พวกนี้ได้อย่างไร หากว่าข้าทำ คนอื่นๆ ก็จะมาสังหารเจ้าได้เช่นกัน หากว่ารุ่นผู้เฒ่าสังหารศิษย์ของข้า และข้าก็สังหารศิษย์ของเขา ไม่ใช่ว่ารุ่นเยาว์ก็จะตายไปหมดหรือ หากว่าพวกเราเอาแต่สังหารกันไปมาแบบนี้ กฎกติกาไม่อาจทำลายไปได้”

เมื่อเจ๋อหัวหลีและฉีเจี่ยวอี๋ได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็ระบายลมหายใจโล่งอก พวกเขามองไปที่ฉินมู่ซึ่งเพิ่งโดนเขกหัวและรู้สึกลิงโลดในใจ สมน้ำหน้า!

ฉินมู่ลูบรอยเขียวบนหัวป้อยๆ จากนั้นผงกหัว “ก็จริงอยู่ แต่ว่าฟู่ยื่อลัวลงมือกับข้า และชื่อซีนั่นก็หมายจะแตะต้องพวกเรา”

“นั่นจึงเป็นเหตุให้ข้าเอาขวานจามหัวเขาทีนึงอย่างไรล่ะ เขาเองก็ไม่ได้ทำเกินไปนัก เขาเพียงแต่ใช้ทักษะเทวะกับเจ้าเพื่อลักพาตัว เขาไม่ได้ต้องการจะแตะต้องเจ้าจริงๆ หรอก ไม่อย่างนั้น เจ้าคงจะตายไปแล้ว”

นักบุญคนตัดไม้กล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “เดิมทีข้าอยากให้เจ้ากำจัดไอ้เด็กสองคนนี่ แต่ข้าประเมินว่าเจ้าคงไม่อาจเอาชนะพวกเขาได้ในตอนนี้ ดังนั้นข้าจึงปล่อยชื่อซีไป ชื่อซีไม่ทำตามกฎกติกา แต่ในเมื่อข้าป้อนเลือดให้แก่เขาและเขาก็ยังไม่เต็มอิ่ม เขาก็ย่อมไม่กล้ามาท้าทายข้า เขาก็จะมีแต่ดื่มเลือดของไอ้เด็กสองคนนี่”

เจ๋อหัวหลีและฉีเจี่ยวอี๋สีหน้าซีดเผือดเมื่อได้ยินเช่นนั้น

ฉินมู่แย้มยิ้ม “ครูบาสวรรค์ ไม่ต้องแกล้งขู่พวกเขาหรอก ให้พวกเขาออกไปจากดาวผิดประหลาดนี่เถอะ”

นักบุญคนตัดไม้กล่าวด้วยเสียงตกตะลึง “เจ้าหมายจะยืมมือข้าเซ่นสังเวยพวกเขาแก่มีดนี้ แล้วทำไมตอนนี้เจ้าถึงอยากให้ข้านำพวกเขาจากไปล่ะ ชื่อซีนั้นเป็นคนที่พลัดพรากจากบ้านเกิด เขาแบกรับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ และจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมาย เขาจะต้องมาตามหาและดื่มเลือดสองคนนี้เป็นแน่ พวกเขาก็จะต้องตาย และเรื่องนี้ก็ไม่ขัดกับกฎกติกาของข้าในเมื่อชื่อซีเป็นผู้ลงมือสังหารพวกเขา มันก็จะเป็นตามแผนของเจ้า ทำไมไม่ทำเช่นนั้น”

ฉินมู่กล่าวอย่างเที่ยงธรรม “ก่อนหน้านั้นข้าแค่ขู่ให้พวกเขากลัวเฉยๆ ข้ารู้ดีว่าครูบาศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทางใช้พวกเขาเป็นเครื่องเซ่นสังเวยมีดหรอก ครูบาศักดิ์สิทธิ์มีการวางตัวของครูบาศักดิ์สิทธิ์ ข้า ในฐานะกษัตริย์มนุษย์และจ้าวลัทธิมารฟ้า ก็มีการวางตัวของข้าเช่นกัน พี่ฉีและศิษย์พี่หลีล้วนแต่เป็นคู่ต่อสู้ของข้า ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของครูบาศักดิ์สิทธิ์ หากว่าข้าต้องการให้พวกเขาตาย ย่อมต้องให้ตายด้วยมือข้า หากว่าครูบาศักดิ์สิทธิ์ยืมมือชื่อซีสังหารพวกเขา นี่ก็จะขัดกับจิตเต๋าของข้า”

นักบุญคนตัดไม้เผยสีหน้าปลื้มใจและกล่าวชมเขา “เมื่อข้ากล่าวว่าจะยืมมือชื่อซีสังหารพวกเขา มันก็เป็นการทดสอบเล็กๆ สำหรับเจ้า หากว่าเจ้าตกลง ข้าก็คงจะดูแคลนเจ้า ดีล่ะ งั้นข้าจะส่งพวกเขากลับไปยังสวรรค์หลัวฝู”

ฉินมู่โค้งคารวะไปยังเจ๋อหัวหลีและฉีเจี่ยวอี๋ “ถ้าอย่างนั้น ข้าคงไม่ส่งศิษย์พี่ทั้งสอง แม้ว่าพวกเราจะต่อสู้กัน แต่ข้าก็เลื่อมใสในกำลังฝีมือของพวกเจ้า ข้าไม่ต้องการยืมมือคนอื่นสังหารพวกเจ้า ข้าจะควงมีดดาบของข้าจะส่งศิษย์พี่ทั้งสองกลับบ้านเก่าด้วยมือข้าเองในสักวัน!”

ฉีเจี่ยวอี๋คิดอยู่นิดหนึ่งและซัดกระบี่บินเก้าเล่มคืนกลับไป “เจ้าไม่ต้องคืนกระจกนั่นให้ข้า พวกเราจะสู้กันใหม่วันหลัง ครั้งนี้เจ้าชนะ ข้าถูกเงื่อนไขจำกัดเอาไว้และไม่กล้าที่จะคร่าชีวิตเจ้า ข้าเพียงแต่ต้องการตรึงเจ้าไว้กับที่ ในการต่อสู้ครั้งหน้า ข้าจะไม่ออมมืออย่างแน่นอน!”

ฉินมู่รับกระบี่มาและกระบี่บินพวกนั้นก็ปักจมเข้าไปในไจกระบี่ของเขา เขายกมือขึ้นและกล่าว “ทั้งสองคน ลาก่อน เมื่อพวกเราพบกันครั้งหน้า พวกเจ้าก็ไม่ต้องออมมือให้ข้าหรอก”

“แน่นอน!” ทั้งสองคนกล่าวเป็นเสียงเดียว

นักบุญคนตัดไม้สะบัดแขนเสื้อ และอักษรรูนมากมายก็โบยบินออกมา แปรเปลี่ยนเป็นทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกล มันแบกทั้งสองคน และแปรเปลี่ยนเป็นแสงไหล พวยพุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้าจากดาวผิดประหลาดแห่งนี้

ฉินมู่เงยศีรษะขึ้นมองดู และเห็นว่าแสงไหลนั้นเปลี่ยนทิศทางบนนภากาศ เคลื่อนที่ไปยังทิศไกลๆ เขาไม่รู้ว่ามันพุ่งไปที่ใด แต่เมื่อแสงไหลนั้นตกลง ก็น่าจะเป็นที่สวรรค์หลัวฝู

นักบุญคนตัดไม้โยนกล่องเล็กไปให้และกล่าว “พวกเราไปดูกันว่าศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าทิ้งอะไรเอาไว้อีก”

ฉินมู่กระโดดโหยงด้วยความตกใจและอกสั่นขวัญแขวน เขากลัวว่ามีดปริศนาประหารเทพจะหลุดออกมาหากว่ากล่องร่วงตกลงกับพื้น

ขณะที่เขากอดกล่องเอาไว้แน่น อักษรรูนนับไม่ถ้วนก็หมุนวนรอบตัวเขา นักบุญคนตัดไม้ขับเคลื่อนทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกล และพาเขาหายลับไป

ทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลของลัทธินักบุญสวรรค์มีที่มาจากนักบุญคนตัดไม้ แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็เป็นบุคคลอันมีความสามารถต่างๆ ไร้เทียมทาน

เขาสามารถสรรค์สร้างทักษะเทวะและเวทมนตร์ประหลาดพิสดารมากมาย เพียงแค่ดูจากเวทมนตร์หายากต่างๆ ในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต ก็รู้ได้แล้วว่าเขามีความเลิศล้ำในมรรคา วิชา และทักษะเทวะขนาดไหน

แต่ทว่า ความรู้พวกนั้นก่อเขาอย่างที่เขาเป็น แต่ก็ทำลายเขาด้วย เขามีความรู้มากมายเกินไป และดังนั้นจึงยากที่เขาจะเชี่ยวชาญในวิชาใดเพียงวิชาหนึ่ง ความสามารถของเขาในด้านการฝึกวรยุทธมิได้บรรลุถึงขั้นเลิศเลออย่างสุดขีดขั้น

เมื่อฉินมู่เท้าแตะพื้นอีกครั้ง เขาก็พบว่าเขาได้กลับมายังวิหารบนแท่นประหารเทพ เขาใช้เวลานานในการหลบหนีมาจากที่นี่ แต่กลับใช้เพียงเสี้ยววินาทีเพื่อกลับมาใหม่อีกครั้ง

นักบุญคนตัดไม้เดินเข้าไปในโถง และฉินมู่ก็รีบติดตามเขาไป เมื่อเข้าไปข้างใน เขาก็พบว่านักบุญคนตัดไม้กำลังศึกษาพยุหะสังหารที่บรรพจารย์ก่อตั้งทิ้งเอาไว้ ผ่านไปพักหนึ่ง นักบุญคนตัดไม้ก็พยักหน้า “ข่าวสารที่เขาทิ้งเอาไว้นั้นคือเมื่อสามหมื่นห้าพันปีก่อนจริงๆ เกิดอะไรขึ้นเมื่อสามหมื่นห้าพันปีก่อน”

ฉินมู่ชี้ไปยังภาพวาดบนฝาผนังและกล่าว “ครูบาศักดิ์สิทธิ์ นี่คือแผนที่หมู่ดาวของเมื่อสามหมื่นห้าพันปีก่อน”

นักบุญคนตัดไม้เข้าไปใกล้ภาพวาดและสำรวจตรวจตราแผนที่หมู่ดาวนี้ เขาพึมพำกับตนเองอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าว “นี่คือนภาประดับดาวที่สามารถมองเห็นได้จากทะเลใต้แห่งแดนโบราณวินาศเมื่อสามหมื่นห้าพันปีก่อน แผนที่หมู่ดาวนี้น่าจะถูกวาดเอาไว้โดยผู้รอดชีวิตจากยุคสมัยแสงฉาน เพื่อให้พวกเขาใช้เป็นแผนที่นำทางสู่บ้านเกิดเมืองนอน”

ฉินมู่ผงกหัว “ข้าก็คาดเดาเช่นนั้นเหมือนกัน ผู้ที่ขจัดกวาดล้างยุคสมัยแสงฉาน น่าจะเป็นสภาสวรรค์ที่ว่าๆ กัน ข้ารู้สึกว่าศิษย์พี่ใหญ่กำลังสืบสวนย้อนกลับไป เพื่อแสวงหาประวัติศาสตร์และความจริงเกี่ยวกับสภาสวรรค์ ดังนั้นเขาจึงทิ้งเบาะแสพวกนี้เอาไว้”

“เขาต้องการสถาปนากุศลเพื่อสำเร็จเป็นนักบุญ”

นักบุญคนตัดไม้ส่ายหัว “แต่ทว่าเขาไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาทำนั้นโง่เขลาเพียงใด ยิ่งเขาเข้าใกล้ความจริงมากเท่าไร ก็ยิ่งตกอยู่ในอันตรายมากเท่านั้น การที่ผลักตัวเองให้ตกลงไปในอันตรายนั่นเป็นเรื่องเบาปัญญา แบบนี้เขาจะสำเร็จเป็นนักบุญได้อย่างไร”

ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งโมโห และน้ำเสียงเขาก็ยิ่งเข้มงวดมากขึ้นทุกที

แม้ว่าเขาจะดูเหมือนไม่ใส่ใจศิษย์ของตนเองมากนัก แต่จริงๆ แล้วความใส่ใจของเขาซ่อนอยู่ในพฤติการณ์และคำพูด เพียงแต่เขาไม่พูดมันออกมาดังๆ เท่านั้น

“เจ้าบอกว่าเขายังมีแผนที่ภูมิประเทศอื่นๆ อีก แผนที่พวกนั้นอยู่ที่ไหน” นักบุญคนตัดไม้ถาม

ฉินมู่คุ้ยหาถุงเต๋าตี้ของเขา และนำพิมพ์เขียวออกมาจำนวนหนึ่ง “แผนที่ภูมิประเทศที่ศิษย์พี่ใหญ่แสดงให้ข้าดูนั้นซับซ้อนอย่างเหลือแสน ดังนั้นข้าจึงวาดพวกมันเอาไว้ด้วยกลัวว่าจะหลงลืมไปเสีย นี่คือแผนที่ภูมิประเทศของแดนโบราณวินาศ และจุดที่กาเอาไว้คือหมู่บ้านมังกรอันมีผู้เฒ่าชิงหวงอาศัยอยู่ และแผนที่นี้คือดาวผิดประหลาด สถานที่ที่กาเอาไว้คือแท่นประหารเทพ”

นักบุญคนตัดไม้มองไปที่แผนที่ทั้งสองก่อนที่จะวางแผนที่อื่นๆ แผ่ลงไปเพื่อมองดูทีละอัน

ผ่านไปพักหนึ่ง สีหน้าเขาก็เครียดขรึม

“เด็กดื้อ เด็กดื้อ! ทำไมเจ้าถึงอยากจะไปยังที่อันตรายแบบนั้น แม้แต่ข้าก็ยังไม่กล้าย่างกรายเข้าไป!”

เขาโมโหหนักและลุกขึ้นเดินวนไปมา เสียงแสกสากของเสื้อผ้าของดังไปในวิหาร ฉินมู่มองตามเงาร่างเขาไม่ทันด้วยซ้ำ

“ข้าไปตามหาเขาตอนนี้ไม่ได้ ข้าถูกธุระของสวรรค์ไท่หวงรัดตัวเอาไว้ แต่เจ้าก็ยังก่อเรื่องวุ่นวาย เจ้าคิดจะให้ข้าแยกร่างออกไปช่วยเจ้าหรืออย่างไร” เขาพึมพำกับตนเอง

ฉินมู่พลันกล่าว “ครูบาศักดิ์สิทธิ์ ในเมื่อศิษย์พี่ใหญ่ได้วาดภาพทั้งหมดนี่ และกาตำแหน่งสำคัญบนแผนที่เอาไว้ เขาต้องเคยไปยังสถานที่อันตรายพวกนี้มาก่อนแล้ว และทิ้งเบาะแสไว้ให้พวกเราตามหา ข้าคิดว่าศิษย์พี่ใหญ่จะต้องยังมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน”

นักบุญคนตัดไม้ตะลึงงัน และเขาก็หยุดเดินไปเดินมา “ที่เจ้าพูดมันก็มีเหตุมีผล มีเหตุมีผลจริงๆ…ความวิตกกังวลปิดบังวิจารณญาณของข้าไปหมด และทำให้ข้านึกไม่ถึงประเด็นนี้ เขาจะต้องยังมีชีวิตอยู่ หากว่าเขายังคงสามารถใช้ทรายดาวเพื่อวาดแผนที่ภูมิประเทศ นี่แปลว่าเขายังคงดำรงอยู่ในโลกนี้ เจ้าตัวยุ่งนี่…”

ฉินมู่รู้สึกอบอุ่นในหัวใจและแย้มยิ้มออกมา “อาจารย์นั้นกังวลเกี่ยวศิษย์ของท่านมากนัก แล้วศิษย์จะไม่ตอบแทนบุญคุณอาจารย์ได้อย่างไร การที่ครูบาศักดิ์สิทธิ์วิตกกังวลต่อศิษย์พี่ใหญ่ขนาดนี้ หากว่าข้าเองก็หายตัวไปในสักวันหนึ่ง ครูบาศักดิ์สิทธิ์ก็จะต้องห่วงใยกังวลข้า…”

“เจ้าคิดมากเกินไป อย่ามาทำซึ้งเถอะ”

นักบุญคนตัดไม้จ้องเขาและส่ายหัว “ต่อให้เจ้าไปตายที่สุดขอบฟ้า ข้าก็ไม่ไปตามหาเจ้าหรอก คิดถึงก็คงไม่ หากว่าเจ้าเป็นตัวก่อเรื่องวุ่นวายเหมือนศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า เจ้าอยากไปตายที่ไหนก็ตามใจเลย”

ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ปากร้ายแต่ใจดี ศิษย์พี่ใหญ่ไปค้นหาที่ไหนกันแน่นะ ทำไมเขายังไม่กลับมา ครูบาศักดิ์สิทธิ์รู้เรื่องสภาสวรรค์ที่สิ้นสูญไปแล้วอย่างจักรพรรดิก่อตั้ง จักรพรรดิสูงส่ง แสงฉาน และหลงฮั่นมากแค่ไหน”

“ไม่มาก”

นักบุญคนตัดไม้ส่ายหัว “หากว่าข้ารู้มากมาย พวกข้าคงไม่ถูกโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัวหรอก จักรพรรดิก่อตั้งก็คงไม่ไปซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านไร้กังวลจนถึงบัดนี้ รัชสมัยที่ผ่านมาทั้งหมดได้พังทลายลงไปอย่างฉับพลันในจุดที่รุ่งเรืองที่สุด และมันจะต้องมีความลับมากมายที่รอการขุดคุ้ย”

เขาถอนหายใจและกล่าว “ข้าอยากจะไปที่หมู่บ้านไร้กังวลและถามจักรพรรดิก่อตั้งว่า ทำไมเขาถึงไม่อยากที่จะหวนกลับมา ทำไมเขาถึงไม่มุ่งมั่นที่จะต่อสู้อีกต่อไป แต่โชคร้าย ข้าไม่รู้เส้นทางไปยังหมู่บ้านไร้กังวล หากว่าเจ้าได้กลับไปยังหมู่บ้านไร้กังวลในสักวันหนึ่ง ก็ช่วยข้าถามเขาด้วย”

ฉินมู่ผงกหัว “ศิษย์จะต้องถามเขาอย่างแน่นอน!”

นักบุญคนตัดไม้กล่าว “ทำลายแผนที่ภูมิประเทศพวกนี้ให้หมด ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าไม่รู้จักความหนักหนาของสถานการณ์ และยังยื่นจมูกดมฟุดฟิดไปทั่ว หากว่าเจ้าตามเขาไปเสาะหาความจริง เจ้าก็จะต้องตายอย่างแน่นอน!”

ฉินมู่เผยยิ้ม “แผนที่พวกนี้อยู่ในหัวของศิษย์ทั้งหมดแล้ว”

นักบุญคนตัดไม้ถลึงตาจ้องเขา ขณะที่ฉินมู่ยิ้มเฉย

นักบุญคนตัดไม้แค่นเสียงเฮอะ จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกไปจากวิหาร เขากวาดสายตามองรอบๆ และเห็นซากศพของเทพเจ้ามากมายบนขั้นบันไดหิน “แท่นประหารเทพนี้เป็นแท่นประหารเทพในปราสาทสวรรค์ของยอดฝีมือระดับบัลลังก์จักรพรรดิ มันถูกบำรุงจนถึงขั้นที่เกิดคำสาปอันยิ่งใหญ่ที่ดุร้ายเสียยิ่งกว่ามีดในกล่อง! ขุนเขานี้เป็นสิ่งอวมงคล ดังนั้นทำลายมันทิ้งไปเสียจะดีที่สุด ให้ข้าจามมันสักขวาน แล้วดูสิว่ามันจะยังดูดกลืนโลหิตเทวะได้อีกหรือไม่!”

ข้างหลังเขา ขวานใหญ่หมุนวนด้วยเสียงหึ่ง และลอยขึ้นไปจากข้างหลังเขา ขวานค่อยๆ ลอยขึ้นไปและขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเทวานุภาพอันท่วมท้วน คมขวานก็หันลงมาจากที่ห้อยอยู่บนเวหา

นักบุญคนตัดไม้กล่าวอย่างเยือกเย็น “ลงไปจากภูเขาก่อน ข้าจะผ่าขุนเขานี่เป็นสองเสี่ยง”

ฉินมู่ไม่กล้าเมินเฉยถ้อยคำของเขา เขารีบเดินลงไปจากภูเขา

ขณะที่เขาเดินไปยังขั้นบันไดหินนั่นเอง เขาก็ได้ยินเสียงครืนครันข้างหลัง ฉินมู่รีบหันกลับไป และเห็นชื่อซีสามเศียรหกกรกำลังโจมตีไปยังนักบุญคนตัดไม้!

นักบุญคนตัดไม้ดูราวกับว่าจะไม่สังเกตเห็นเขา เมื่อชื่อซีทะยานมาถึงหน้าเขา เขาก็พลันเปิดนิ้วทั้งห้าต้อนรับการโจมตีของชื่อซี

อักษรรูนมากมายระเบิดออกจากฝ่ามือของเขาและหมุนวนไป ไม่ทันที่การโจมตีของชื่อซีจะมาถึงเขา ชื่อซีก็พลันหายวับ

นักบุญคนตัดไม้คว้ามือขึ้นรับขวานใหญ่ที่ยังคงลอยอยู่ข้างหลังเขา เขายืนอยู่ข้างๆ ฉินมู่ที่อ้าปากค้างและกล่าว “เจ้าจะยืนเซ่ออยู่ทำไม นี่เป็นแท่นประหารเทพของยอดฝีมือบัลลังก์จักรพรรดิ ดังนั้นข้าผ่ามันจริงๆ ไม่ได้หรอก ข้าทำแบบนี้เพียงเพื่อล่อเขาออกมา”

ฉินมู่รีบเดินตามเขาไปและถามหยั่ง “ถ้าอย่างนั้นครูบาศักดิ์สิทธิ์ส่งชื่อซีไปที่ไหน”

นักบุญคนตัดไม้เผยยิ้ม “สวรรค์ไท่หวง ในเขตแดนเผ่ามาร เขามีความแค้นกับเผ่ามารลึกล้ำเท่ามหาสมุทร”

ฉินมู่ตกตะลึง เขาพลันโค้งคารวะหัวจรดพื้น และกล่าวอย่างจริงใจ “ศิษย์ได้เรียนรู้แล้ว! ข้าจะต้องขวนขวายร่ำเรียนเป็นอย่างดี และไม่ปล่อยปละการสั่งสอนของครูบาศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะต้องพากเพียรอย่างหนักเพื่อจะได้เป็นจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ที่โดดเด่นเหมือนครูบาศักดิ์สิทธิ์!”

ตำนานเทพกู้จักรวาล

ตำนานเทพกู้จักรวาล

Status: Ongoing
ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset