พุทธบุตรหลายร้อยคนรู้สึกเย็นยะเยือกในหัวใจเมื่อพวกเขาถูกสายตาทั้งสามกวาดผ่าน เสียงพุทธมากมายดังออกมาเมื่อพวกเขาเปิดสมบัติเทวะของตนอย่างไม่ได้ตั้งใจ ปลดปล่อยรัศมีให้ระเบิดปะทุ!
พวกเขาทำเช่นนั้นก็เพราะรู้สึกถึงจิตสังหารในสายตาของฉินมู่ และรู้สึกว่าตนเองคือเหยื่อเป้าหมาย!
สายตาของฉินมู่ทำให้พวกเขาปลดปล่อยรัศมีออกมาโดยไม่ได้เจตนาทำให้พวกเขาดูค่อนข้างกระวนกระวายและสูญเสียความน่าเกรงขาม และฉินมู่ก็ฉวยโอกาสนี้เพื่อมองดูวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะที่พวกเขาฝึกปรือ
พุทธบุตรบางพวกมีเมฆลอยอยู่เหนือศีรษะ และมีพุทธเจ้าใหญ่นั่งอยู่บนก้อนเมฆ บางพวกก็มีวงรัศมีอยู่หลังศีรษะ และมีพุทธเจ้าเล็กจิ๋วเป็นร้อยหมุนวนไปอยู่ในวงรัศมีนั้น พร้อมกับสวดภาวนาด้วยเสียงพุทธ
บางคนก็มีน้ำพุทองคำและดอกบัวผุดขึ้นมาจากใต้เท้า ทำให้เขาสามารถยืนอยู่ท่ามกลางสัตตบงกช
บ้างก็ฝึกปรือวิชาอันผิดธรรมดาของลัทธิพุทธและมีสามเศียรหกกร ใบหน้าของพวกเขาประดุจยักษา และบางคนก็ดูบริสุทธิ์นิรมล อาบไล้ไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์
อาวุธวิญญาณของพวกเขาก็มีทุกรูปแบบ มีทั้งปี่แป้ กลด วชิราวุธ ตะบองทอง และอื่นๆ ทั้งยังมีบางคนที่ขัดเกลาสัตว์พิสดารให้เป็นอาวุธ ใช้ปราณชีวิตของพวกเขามาควบคุมสัตว์พิสดารเพื่อโจมตีผู้คน
สรวงสวรรค์ยี่สิบชั้นแห่งลัทธิพุทธ มีพุทธเจ้าอยู่แตกต่างกันไปในแต่ละชั้นสวรรค์ อันหมายความว่าวิชาฝึกปรือทั้งหมดก็ล้วนแต่แตกต่างกัน
และนอกจากวิชาฝึกปรือของลัทธิพุทธแล้ว สุดยอดวิชาหลายอย่างจากสภาสวรรค์ก็ถูกบีบให้แสดงออกมาโดยสายตาของฉินมู่
เขาเห็นทุกอย่างโดยชัดเจนจากสายตาดวงตาที่สามของเขา
พุทธบุตรตรงหน้าเขาเหล่านี้มิใช่ตัวตนระดับฉีเจี่ยวอี๋ ฉีเจี่ยวอี๋เป็นชนชั้นสูงแห่งสภาสวรรค์และฝึกปรือวิชาระดับบัลลังก์จักรพรรดิ ขนาดลู่หลี ผู้บัญชาการแคว้นแห่งแดนใต้พิภพ ก็ยังต้องเคารพเขา
แม้ว่าพุทธบุตรทั้งหลายจะมาจากสภาสวรรค์ หรือไม่เช่นนั้นก็มีความเกี่ยวข้อง แต่พวกเขาไม่เคยได้แตะต้องวิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิ วิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิไม่ได้มีอยู่ดาษดื่นทั่วไป ไม่อย่างนั้นสภาสวรรค์คงไม่ส่งพวกเขามาที่นี่ เพื่อพยายามที่จะเรียนรู้คัมภีร์เที่ยงแท้บัลลังก์จักรพรรดิของพุทธเจ้าพรหมหรอก
“บังอาจ!”
ธรรมราชโม่หลุนโกรธเกรี้ยวและตะโกนไป “เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงสังหารผู้คนในพุทธเกษตรของข้า เจ้ามันเป็นมารร้ายที่แท้จริง!”
ฉินมู่ไม่ใส่ใจเขาและถอนสายตากลับมา เขาก้มหน้าลงและมองไปที่มือของเขา พึมพำ “แม้ว่าเมื่อตอนที่ข้าต่อสู้กับฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลี ข้าก็ไม่เคยเปิดดวงตาทั้งสามดวง ข้าไม่รู้ว่าข้าฝึกปรือไปถึงระดับขั้นไหนแล้ว”
ธรรมราชโม่หลุนนั้นตะลึงไปเล็กน้อย และขณะที่เขากำลังจะเบิดโทสะ เสียงของพุทธเจ้าท้าวสักกะก็ดังมาจากข้างในวัดซอมซ่อ “ศิษย์น้องโม่หลุน สงบใจหน่อย เมื่อศิษย์ทั้งหลายสู้กันก็ย่อมมีความตายเป็นธรรมดา หรือว่าเจ้าจะเป็นคนที่ลงไปสู้เอง ชีวิตของปุถุชนนั้นก็เป็นเพียงการใช้ชีวิตอยู่ในกายหยาบ บัดนี้เมื่อรัชทายาทเยว่กวงได้ปลดเปลื้องกายหยาบของเขาแล้ว เขาก็เป็นอิสระซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ควรแก่การยินดี ดังนั้นปล่อยให้พุทธบุตรทั้งหลายมาท้าสู้กับฆราวาสฉินเถอะ ใครก็ตามที่ชนะก็จะได้จับจองตำแหน่งสุดท้ายและเข้ามาข้าในวัดเพื่อเรียนคัมภีร์เที่ยงแท้ระดับบัลลังก์จักรพรรดิ”
ธรรมราชโม่หลุนแทบจะข่มความเดือดดาลเอาไว้ไม่อยู่ แต่เขาก็ต้องกัดฟันทนเอาไว้ เขาคิดในใจ พุทธเจ้าท้าวสักกะหนุนหลังไอ้เด็กต่ำช้านี่หรือ ไม่คิดเลยว่าเขาถึงกับพูดอะไรไร้ยางอายแบบนี้ได้
แต่ทว่า ในเมื่อพุทธเจ้าท้าวสักกะออกปากมา เขาก็ไม่กล้าเมินเฉยถ้อยคำของเขาและคิดในใจ กำลังฝีมือของเด็กต่ำช้าจากแดนต่ำใต้นั้นไม่อ่อนแอเลยสักนิด แต่ทว่า เขาประเมินตัวเองสูงเกินไปที่ได้ท้าทายพุทธบุตรทั้งหมด! คัมภีร์เที่ยงแท้ระดับบัลลังก์จักรพรรดิของพุทธเจ้าพรหมนั้นเป็นเรื่องสำคัญ และคงไม่ดีหากว่าจะฉีกหน้ากันในตอนนี้ ข้าควรจะต้องได้คัมภีร์มาเสียก่อน
ในวัดอันซอมซ่อ พุทธเจ้าท้าวสักกะ ผู้ซึ่งกำลังตรึกตรองทำความเข้าใจวิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิก็ครางเสียงหนัก เขาไม่ใช่คนที่เปล่งวาจาเพื่อหยุดยั้งธรรมราชโม่หลุน
เขานั้นกำลังตรึกตรองคัมภีร์เที่ยงแท้อยู่ชัดๆ แล้วเขาจะมีเวลาที่ไหนที่จะได้สังเกตถึงสถานการณ์ในโลกภายนอก
“ใครเลียนแบบเสียงของของข้า เหมือนอะไรอย่างนี้! จะต้องเป็นศิษย์พี่พรหมแน่ๆ มีก็แต่เขาที่สามารถเลียนแบบเสียงของข้าจนคนอื่นแยกไม่ออก”
พุทธเจ้าท้าวสักกะเลิกคิ้ว “นี่น่าจะเป็นสะเก็ดขี้ก้อนแรกสินะ? และมันถูกนำมาละเลงบนหัวข้าด้วยมือของศิษย์พี่ หวังว่านี่คงเป็นขี้ก้อนเดียว…”
“รัชทายาทยื่อกวงแห่งสภาสวรรค์มาที่นี่เพื่อกำราบมารในหัวใจเจ้า!”
รัชทายาทยื่อกวงก้าวออกมา และดวงตะวันก็สาดแสงเจิดจ้าหลังศีรษะของเขา เขากล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “เจ้ามาจากแดนต่ำใต้ใช่หรือไม่ แดนต่ำใต้ สถานที่อันอับจนข้นแค้น ถึงนับได้ว่าเจ้าเป็นผู้เปี่ยมความสามารถที่หาได้ยากของที่นั่น เจ้าถือว่ามีแต้มพอให้หยิ่งยโสโอหังอยู่บ้าง”
ฉินมู่ไม่เงยหน้าขึ้นมองเขา ในทางกลับกัน เขามองที่มือของตนเองและครุ่นคิดในใจ ท่านยายซีและคนอื่นๆ เอาแต่อยากให้ข้าปิดผนึกดวงตานี้เอาไว้ แต่หากว่าข้าปิดผนึกดวงตา ข้าก็ไม่มีทางรู้ได้ว่ากำลังฝีมือของเข้าเพิ่มพูนไปขนาดไหน พลังที่แท้จริงของข้าคือเท่าไรกันแน่นะ ในที่สุดข้าก็จะได้รู้…
เขาพลันตัวสั่นเทิ้ม สั่นจากความตื่นเต้น
ในที่สุดเขาก็จะได้ปลดปล่อยพลังออกมาเต็มที่ และโจมตีออกไปโดยไม่ต้องสนใจอะไร เขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะนำความยุ่งยากวุ่นวายมาแก่ครอบครัวและสหายอันเกิดจากความปรารถนาทำลายล้างของเขาอีกต่อไป เขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าพลังทำลายล้างของเขาจะแข็งแกร่งจนเกินไป!
ในที่สุดเขาก็สามารถปล่อยตนให้เป็นอิสระ และกลับไปเป็นหนุ่มน้อยแห่งแดนโบราณวินาศผู้ซึ่งไม่กลัวฟ้ากลัวดิน!
เด็กหนุ่มแห่งแดนโบราณวินาศ ทำตามกติกาของแดนโบราณวินาศเท่านั้น กฎเกณฑ์ทั้งหลายเป็นเพียงเครื่องพันธนาการในโลกภายนอก และมันไม่เกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มแห่งแดนโบราณวินาศ!
“ฮี่ๆ…ฮ่าๆๆๆ!”
ฉินมู่หัวเราะ และเสียงหัวเราะของเขาก็ดังขึ้นและดังขึ้นทุกที รัชทายาทยื่อกวงขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วจึงกล่าวอย่างเยือกเย็น “ข้าคือรัชทายาทยื่อกวง องค์ชายแห่งพุทธประเทศแสงตะวัน ข้านั้นเป็นสหายร่วมเรียนของรัชทายาทเยว่กวงในปราสาทกระบี่แห่งสภาสวรรค์ พวกเราเรียนกระบี่ด้วยกัน และมิตรภาพของพวกเราก็ลึกล้ำ…”
“หยุดพล่ามได้แล้ว หากว่าเจ้าคิดถึงเขาขนาดนั้น ข้าก็จะส่งเจ้าลงไปอยู่กับเขา!”
ฉินมู่ฟาดลงไปด้วยมือข้างหนึ่ง และไจกระบี่ก็พลันขยายตัว เมื่อมันระเบิดออก กระบี่บินนับไม่ถ้วนก็เหินเหาะราวกับว่าพวกมันคือเมฆอันเกลื่อนฟ้า ดวงตะวันข้างหลังศีรษะรัชทายาทยื่อกวงระเบิดออก และเขาก็หัวเราะ “ข้ารอเจ้ามาพักนึงแล้ว!”
ดวงตะวันข้างหลังศีรษะของเขาพวยพุ่งเพลิงไฟ และมันแตกต่างจากกระบี่รัศมีจันทร์ของรัชทายาทเยว่กวง กระบี่ของเขาพวยพุ่งไปด้วยไฟแท้หยางพิสุทธิ์และร้อนแรงดุจดวงสุริยัน แผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างที่มันฟาดฟันไป เพลิงไฟซ่อนแสงกระบี่เอาไว้ข้างใน และแสงตะวันก็เจิดจ้าเสียจนผู้คนไม่อาจลืมตามองกระบี่ของเขาได้!
กระบี่เทวะมหาตะวัน!
กระบี่เทวะของเขาเข้าปะทะกับห่าฝนกระบี่ของฉินมู่ และในเสี้ยววินาที เสียงปะทะกันนับครั้งไม่ถ้วนก็ดังปร่างเปรื่อง ทำให้รัชทายาทยื่อกวงตื่นตระหนก เขาพลันรู้สึกว่ากระบวนท่ากระบี่ของเขากำลังถูกทำลาย มีท่วงท่าสามท่า…ไม่สิ สี่ท่าในเพลงกระบี่ของเขา ที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนในท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน!
ความตื่นตระหนกในใจของเขานั้นเกินจะบรรยาย ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานสี่ท่า!
อย่าว่าแต่สี่ท่า ต่อให้แค่ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานท่าเดียวก็สามารถทำให้เพลงกระบี่ทั้งหมดในโลกหล้าต้องสลับสับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ท่วงท่าหนึ่งที่เพิ่มเข้ามา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันไร้ประมาณ!
นี่ถึงกับมีสี่ท่วงท่า?
นี่หมายความว่าเพลงกระบี่ของข้าเต็มไปด้วยจุดอ่อนในสายตาของเขา!
ความกลัวผุดขึ้นมาในหัวใจของรัชทายาทยื่อกวง และความคิดหนึ่งก็ก่อขึ้นมาในจิตของเขา ในเมื่อวิชากระบี่แห่งแดนต่ำใต้ได้พัฒนาขึ้นมาขนาดนี้ วิชากระบี่แห่งสภาสวรรค์ก็ย่อมไม่อาจต่อสู้กับเขาได้ ข้าไม่สามารถใช้วิชากระบี่ ตราบใดที่ข้าใช้วิชากระบี่ มันก็จะเต็มไปด้วยจุดอ่อน มีก็แต่ใช้วิชามีดหรือเวทมนตร์ข้าถึงจะสู้กับเขาได้ ไม่อย่างนั้น ข้าคงจะตายไปแล้ว…ช้าก่อน ทำไมข้ายังไม่ตาย
เขาเห็นกระบี่บินของฉินมู่คลุ้มฟ้าราวกับมวลเมฆ และกระบี่ในเมฆนั้นก็แหวกว่ายไปมาราวกับปลาเงิน พวกมันร่ายรำท่วงท่ากระบี่ที่แตกต่างกันไป และผ่านร่างกายของเขาไปโดยไม่แตะต้องตัว
รัชทายาทยื่อกวงตกตะลึงและก้มลงดู เขาเห็นกายเนื้อของเขาพรุนเป็นรังผึ้ง มีรูเลือดที่กระฉูดออกทั้งหน้าและหลังร่างกายของเขา
จิตคิดของเขาป่วนปั่น และเมื่อเขายกมือขึ้นแตะศีรษะของตนเอง นิ้วหนึ่งของเขาก็จมเข้าไปในศีรษะ
เขาแตะที่หลังหัวของตน และที่หลังเขาของเขาก็มีรูเล็กๆ มันน่าจะเป็นรูอันเกิดจากกระบี่บินเล่มหนึ่งยิงทะลวงผ่านใจกลางหว่างคิ้วของเขา ทะลุออกไปข้างหลังศีรษะและหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
แบบนี้ จิตวิญญาณดั้งเดิมของข้าก็ถูกเขาปลิดชีวิตเสียแล้ว… รัชทายาทยื่อกวงโงนเงนไปมา ก่อนที่ศพของเขาจะล้มคว่ำลงกับพื้น
ร่างของฉินมู่เคลื่อนผ่านศพที่ล้มคว่ำไป ไม่รู้สักนิดว่ารัชทายาทยื่อกวงจะคิดอะไรได้มากมายในลมหายใจสุดท้าย
“หลังจากการต่อสู้นี้ ก็จะไม่มีผู้ฝึกกระบี่หลงเหลืออยู่ในพุทธเกษตร!” เด็กหนุ่มแห่งแดนโบราณวินาศหัวเราะร่า
กระบี่บินแปดพันเล่ม พวยพุ่งลงมาราวกับก้อนเมฆ และมันดูราวกับจะโจมตีพุทธบุตรทุกๆ คนในคราวเดียว!
ในเสี้ยวพริบตานั้น พุทธบุตรทุกคนมีปฏิกิริยาตอบสนองไปโดยไม่เจตนา ดวงตาทั้งสามของฉินมู่เคลื่อนไหวไปรวดเร็วราวกับสายฟ้า กวาดผ่านวิธีการที่พุทธบุตรทั้งหลายปกป้องตนเองจากเพลงกระบี่ของ พวกเขา ราวร้อยคนร่ายรำเพลงกระบี่ของตนเพื่อต่อสู้ป้องกัน
ส่วนพุทธบุตรคนอื่นๆ ทักษะเทวะและอาวุธวิญญาณของพวกเขานั้นค่อนข้างต่างออกไป ถึงกับมีพุทธบุตรมากมายซึ่งมีวรยุทธล้ำเลิศ อย่างเช่นรัชทายาทโม่จี่ องค์หญิงโพ่หลง และรัชทายาทฝูอวิ๋น ผู้ซึ่งธรรมราชโม่หลุนได้เอ่ยนาม ทั้งยังมีพุทธบุตรผู่จ้าว พุทธบุตรคงเสี่ยง และคนอื่นๆ ที่ได้โต้วาทีกับลิงยักษ์อสูรจ้านคง กำลังฝีมือของเขาก็เลิศล้ำ
พุทธบุตรมากมายได้ฝึกปรือวิชาแห่งสภาสวรรค์ และความสำเร็จของพวกเขาในวิชาฝึกปรือพุทธนั้นไม่ค่อยสูงส่ง ดังนั้นจึงมีเพียงแค่ยอดฝีมือเยาว์ราวๆ ร้อยคนที่ได้ฝึกปรือเพลงกระบี่
ทันใดนั้น พุทธเจ้ายามาเทวราชก็ไม่อาจทนดูได้อีกต่อไป และหลับตาของเขาลง เขากล่าวกับพุทธเจ้าตนอื่นๆ “ไปกันเถอะ พวกเรามองดูสถานที่แห่งนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว พวกเราไม่อาจทนดูโลหิตเนืองนองเป็นท้องธารได้”
พุทธเจ้าสักรานาคราชและคนอื่นๆ ก็ผงกศีรษะ “นี่มันยากจะทนดูจริงๆ” หลังจากพวกเขากล่าวเช่นนั้น พวกเขาก็พาศิษย์ทั้งหลายของตนเหาะขึ้นและจากไป กลับไปยังสรวงสวรรค์ของตนเอง
พุทธบุตรเจี้ยนคงลอบมองกลับไปและตกตะลึง บนสนามรบตรงหน้าวัดซอมซ่อ แสงเลือดปรากฏ และมันก็มีแสงเลือดมากเป็นร้อยลำแสง!
พุทธบุตรนับร้อยที่ฝึกวิชากระบี่ ถูกทำลายเพลงกระบี่ในเสี้ยววินาที จิตวิญญาณดั้งเดิมและกายเนื้อของพวกเขาถูกประหารไปทั้งอย่างนั้น!
พุทธบุตรเจี้ยนคงรู้สึกหวาดกลัวในหัวใจ และแขนขาของเขาก็เย็นเฉียบ พูดอะไรไม่ออกสักคำ
ระหว่างที่เขากวาดตาอย่างรีบเร่ง ฉินมู่ก็ได้รวบรวมกระบี่ของเขากลับมาเป็นไจกระบี่แล้ว และแปรเปลี่ยนไจกระบี่ให้เป็นมีดเล่มหนึ่ง การย่างเท้าของเขาเคลื่อนไปอย่างไม่อาจคาดคะเน ทั้งว่องดุจสายฟ้า พลางดึงแยกมีดออกมาเป็นสองเล่ม ร่างกายของเขาเดี๋ยวก็เคลื่อนไปทางซ้าย เดี๋ยวก็เคลื่อนไปทางขวา บางครั้งก็ข้างหน้า และบางครั้งก็ข้างหลัง มีดของเขารวดเร็วเสียจนไม่อาจมองทันด้วยตาเปล่า ศีรษะร่วงกราวเมื่อเขายกมีดขึ้น ผ่าร่างกายทั้งหลายออกเป็นสองเสี่ยง!
แสงมีดสองลำในมือของเขาราวกับมังกรยาวที่เคลื่อนไหวฉวัดเฉวียนไปมาโดยไม่ติดขัด ทันใดนั้น ประตูก็เปิดอ้าขึ้นมาข้างหลังเขาและเผยแดนใต้พิภพอันมืดมิด ประตูนั้นเคลื่อนที่ไปตามร่างของเขา และไม่ว่าประตูจะกวาดผ่านไปที่ใด จิตวิญญาณดั้งเดิมของพุทธบุตรทั้งหลายก็ถูกดูดกลืนไปก่อนที่จะได้ตั้งตัว เหลือไว้เพียงเปลือกนอกอันว่างเปล่า
พุทธบุตรคนหนึ่งขนหัวลุก และร่างของเขาก็สั่นเทิ้ม เขาเห็นมีดยาวในมือของฉินมู่แปรเปลี่ยนเป็นทวนยาวที่แทงเข้าใส่องค์หญิงโพ่หลง ด้วยการเขย่าทวนเข้าไป องค์หญิงโพ่หลงอันแสนหวานและทรงเสน่ห์ก็ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
ถัดไปนั้น ฉินมู่ปักทวนลงไปในพื้น และไจกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนก็กระจายออกไป แปรเปลี่ยนเป็นระฆังใหญ่อันคุ้มครอบรอบตัวเขา มันห้อมล้อมเขาเอาไว้และแกว่งหมุนไปอย่างดุร้ายเพื่อป้องกันทักษะเทวะและอาวุธวิญญาณจากพุทธบุตรคนอื่นๆ
ฉินมู่โจมตีไปอย่างดุเดือดจากข้างในระฆัง แต่ละหมัดและเตะส่งเสียงกังวาน พลานุภาพอันรุนแรงแผ่ออกไปจากระฆัง บดขยี้กระดูกของพุทธบุตรที่เข้ามาต่อสู้ประชิดตัวเขาด้วยวิชาบู๊!
“เจี้ยนคง ไม่ต้องมองแล้ว”
พุทธเจ้ายามาเทวราชถอนหายใจและกล่าว “หากว่าเจ้ามองมากไปกว่านี้ จิตพุทธของเจ้าจะได้รับผลกระทบ”
พุทธบุตรเจี้ยนคงตื่นตระหนกและหมายจะพูดอะไรสักอย่าง แต่คอของเขาแห้งผากไปหมด และเขาก็พูดอะไรออกมาไม่ได้ หลังจากที่เขากลืนน้ำลายอยู่ครู่หนึ่ง เสียงของเขาก็ดังมาอย่างแหบพร่า “พุทธเจ้าข้า พุทธเจ้าจะทนให้ฆราวาสฉินสังหารผู้คนมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร”
“หากว่าพวกเราไม่ทน พวกเราจะทำอะไรได้”
พุทธเจ้ายามาเทวราชกล่าวด้วยเสียงต่ำเบา “ข้าเคยพบเขาในแดนใต้พิภพมาก่อน ในตอนนั้นข้าหมายที่จะไปแสดงธรรมโปรดดวงวิญญาณบาปที่นั่น ข้าพบกับเขาเข้า ข้าคิดว่าเขาตายไปแล้วเสียอีก แต่ไม่นึกเลยว่าจะยังมีชีวิตอยู่ ดูเหมือนว่าเขาจะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นสมัยที่ยังเป็นทารกไปแล้ว นี่มันก็สิบเก้าปีผ่านมา…”