ตำนานเทพกู้จักรวาล – ตอนที่ 463 เพลงกระบี่และแผลกระบี่

ฉินมู่เงยหน้าขึ้นมองราชวังบนฟากฟ้าอันมีสตรีมากมายเหาะเหินออกมา พวกนางลงไปหยุดอยู่บนยอดเขาต่างๆ ตำหนักสวรรค์แท้น่าจะได้รับข่าวว่าฉินมู่รวบรวมตระกูลใหญ่ทั้งหลายมาเข้าโจมตีตั้งนานแล้ว และเตรียมตัวต้านรับศึก

ปัง!

ยอดเขาใหญ่มหึมาพลันระเบิดออก และก้อนหินจำนวนนับไม่ถ้วนก็กระจุยกระจายไปทั่วทิศ ขณะที่บางส่วนกลิ้งหล่นลงไปข้างๆ ยอดเขาเหล่านั้นจู่ๆ ก็กลายร่างเป็นยักษ์อันน่าเกรงขาม

มันย่อตัวลงดึงขาออกจากพื้นดิน เขย่าสลัดอย่างไม่หยุดยั้ง

เหออีอียกมือของนางขึ้น และเมืองต้นไผ่อันใหญ่มหึมาก็หยุดการเคลื่อนไหว

ยักษ์ภูเขาข้างหน้าพวกเขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ฝ่ามือใหญ่ยักษ์ของมันกว้างขวางเป็นสิบๆ ไร่ และเมื่อมันตบฟาดฝ่าท้องฟ้ามา ลมรุนแรงก็หวีดหวิวกระพือ ฝ่ามือนั้นพลันคว้าจับยอดเขารูปทรงกระบี่

เสียงเอี๊ยดเสียดหูดังมา เมื่อยอดเขารูปกระบี่ถูกยักษ์ภูเขาตนนั้นชักขึ้นมาจากพื้น!

ก้อนหินกลิ้งหล่นไปทั่วทิศทางเมื่อมันทำเช่นนั้น เมื่อยักษ์ภูเขายกกระบี่ขึ้นมา ดินและหินที่ปกคลุมมันอยู่ก็ร่วงออกไปจนหมด เผยให้เห็นวัตถุสีสนิมข้างใน

มันคือกระบี่ยอดเขาใหญ่!

สีหน้าของฉินมู่เคร่งขรึมเมื่องเขามองไปยังกระบี่มโหฬารและยักษ์ภูเขาผ่านหมอกอันขมุกขมัวนั้น

ปูมหลังความเป็นมาของตำหนักสวรรค์แท้นั้นลึกล้ำจนเกินไป กระทั่งอาจจะเหนือล้ำกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งแผ่นดินภาคกลางเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นสำนักเต๋าหรือวัดใหญ่ฟ้าคำราม หรือแม้กระทั่งลัทธิมารฟ้า ก็ไม่มีภูมิหลังอันน่าแตกตื่นสะท้านขวัญขนาดนี้

ปัง ปัง

เสียงระเบิดกัมปนาทดังสะเทือนเลื่อนลั่นมาและเขาทั้งหลายก็แปรเปลี่ยน ขณะที่ป่าทั้งหลายก็กลายเป็นยักษ์ต้นไม้อันสูงกว่าหนึ่งพันห้าร้อยวา พวกมันคว้าจับอาวุธอันมีขนาดใหญ่มหึมาเกินจินตนาการ!

พวกมันล้วนแต่เป็นผู้พิทักษ์ของตำหนักสวรรค์แท้

ศิษย์ตำหนักสวรรค์แท้มากมายยืนอยู่บนบ่าหรือไม่ก็บนศีรษะของยักษ์ภูเขาพวกนี้ โขยกขึ้นลงตามจังหวะย่างก้าวของสิ่งที่แบกพวกนางมา และเต็มไปด้วยกลิ่นอายฆ่าฟันอันคละคลุ้ง

ฉินมู่มองไปยังมู่ยิ่งเสว่ หากว่านางมิได้วางยาพิษใส่ตระกูลเสียง ตระกูลอวี้ก็คงพบว่ายากที่จะบุกยึดตำหนักสวรรค์แท้ และช่วงชิงอำนาจของตระกูลเสียงมา

เพียงแค่ยักษ์ภูเขาพวกนี้ก็เป็นแสนยานุภาพอันน่าสะพรึงกลัว ที่เหนือล้ำกว่าแสนยานุภาพของกองทัพอันมีไพร่พลนับล้าน!

“จัดแถวเข้าพยุหะ!” เหออีอีตะโกนด้วยเสียงอันดัง และสตรีแห่งตระกูลเหอในเมืองก็เดินออกมา แต่ละนางนำธงพยุหะอันสะบัดพริ้วในสายลมออกมา ในพริบตานั้น อาวุธวิญญาณของวิชาพยุหะก็ร่วงลงมาจากธงพยุหะ

สตรีแห่งตระกูลเหอรีบประกอบพวกมันเข้าด้วยกัน และฉินมู่ก็ได้เห็นภาพอันน่าตื่นตระหนก ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งตระกูลเหอถึงกับใช้อาวุธวิญญาณสำหรับวิชาพยุหะมาประกอบเข้าด้วยกันเป็นรถดีดหินอันสูงถึงร้อยห้าสิบวา พวกมันตั้งตระหง่านอยู่ข้างหลังเมืองต้นไผ่ และสายชักดีดของมันก็ถูกขันให้เครียดเขม็ง!

ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งตระกูลฟางร่ายทักษะเทวะของพวกเขา และก้อนหินก็ร่วงลงมาจากยักษ์ภูเขาข้างหลังพวกอย่างไม่หยุดหย่อน พวกมันประกอบขึ้นเป็นก้อนหินใหญ่ที่กลิ้งขึ้นไปบนเครื่องดีดหินเองโดยอัตโนมัติ

ผู้ฝึกวิชาเทวะหญิงมากมายแห่งตระกูลซีโปรยเมล็ดพืชที่งอกเงยขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งไปทั่วทั้งภูเขา ก่อเป็นทะเลสีเขียวขจี พวกมันรุกรานไปอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับที่มียักษ์ต้นไผ่ผงาดขึ้นมาและบุกไปข้างหน้า

อาจารย์กระบี่ลัวอิ๋นอวี้เงื้อกระบี่ของนางขึ้น และเสียงฟึ่บก็ดังไปในอากาศเมื่อสตรีหลายหมื่นคนแห่งตระกูลลัวชักกระบี่ออกมาเช่นเดียวกัน พวกนางทุกคนเต็มไปด้วยความฮึกหาญทะยานจิต

“พี่สาวตระกูลฝู!” มู่ยิ่งเสว่พลันตะโกน

ฝูอวิ๋นซีออกคำสั่ง และผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งตระกูลฝูก็เรียกเมฆดำทะมึนออกมา พวกมันก่อเป็นทะเลเมฆ คลี่คลุมรัศมีเป็นพันลี้ พายุหมุนอันหนาใหญ่ไร้ใดเปรียบก่อตัวขึ้น แต่ทว่าพวกมันหมุนบิดเบี้ยวไปมารอบๆ แต่ไม่พวยพุ่งไปข้างหน้า ก็เนื่องจากว่าถูกผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งตระกูลฝูควบคุมเอาไว้

มู่ยิ่งเสว่ก้าวออกไปพร้อมกับผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งตระกูลมู่ และโยนเอาพิษร้ายแรงมากมายที่พวกนางมีเข้าไปในลมหมุน พายุหมุนพวกนั้นดูดสารพิษเข้าไปในก้อนเมฆดำ อันแปรเปลี่ยนสีสัน ให้กลายเป็นสีเขียวแสนอันตราย

แม้กระทั่งสายฟ้าที่แลบแปลบปลาบ ก็มีประกายเขียวเจือปนในนั้น

ทั้งชั้นเมฆเต็มไปด้วยพิษคร่าชีวิตที่ร้ายกาจที่สุดของตระกูลมู่

ลมรุนแรงพัดพุ่งออกมาจากข้างหลังเด็กหนุ่มบนหอคอยปราการ สะบัดเสื้อผ้าเขาไปมา

ลมนี้เย็นเยือก หอบเอาความร้อนส่วนเกินจากร่างกายของเขา

โลหิตของเขาระอุอุ่นเกินไป

ผู้ฝึกวิชาเทวะสตรีเหล่านี้ได้สร้างบรรยากาศสนามรบอันแตกต่างไปจากเหล่าบุรุษแห่งสันตินิรันดร์ แต่มันก็ทำให้เลือดในกายเขาเดือดพล่านเฉกเช่นกัน!

สตรีนั้นทัดเทียมกับบุรุษ แม้ว่าพวกนางจะสวยสะคราญ แต่ก็ยังคงเป็นนักรบที่แกร่งกล้าในสมรภูมิ!

บรรยากาศรอบข้างทั้งอึมครึมและแห้งแล้ง

ตรงหน้าตำหนักสวรรค์แท้ เต็มไปด้วยบรรยากาศอันเครียดเขม็ง เมฆดำที่หมายจะเข้ามาถล่มเมืองถูกรั้งเอาไว้ในควบคุม โดยมีแค่เสียงลมเท่านั้นที่ดังมา แรงกดดันเช่นนี้สามารถทำให้ผู้คนเสียสติได้

ในตอนนั้นเอง เงาร่างหนึ่งก็เหาะออกมาจากราชวังท่ามกลางทะเลเมฆ และพุ่งทะยานผ่านยักษ์ภูเขาที่ไม่หืออืออะไร

“ป้าโก่ว!”

สีหน้าของเหออีอี มู่ยิ่งเสว่ ฝูอวิ๋นซี และคนอื่นๆ แปรเปลี่ยนไป พวกนางมิได้เผยความขยาดกลัวเมื่อเผชิญกับยักษ์ภูเขาทั้งหลายแห่งตำหนักสวรรค์แท้ แต่เมื่อพวกนางมองเห็นหน้าตาของเงาร่างที่เหาะเหินมาทางนี้ สีหน้าพวกนางก็เปลี่ยนไป

เหออีอีกู่ร้องด้วยเสียงเบา และเมืองต้นไผ่ก็แยกชิ้นส่วนออกจากกัน ก้อนหินมากมายลอยขึ้นไปบนอากาศ และก่อขึ้นมาเป็นพยุหะป้องกันอย่างรวดเร็วเพื่อปกป้องศิษย์ตระกูลเหอข้างหลังนาง

ตัวนางเองก็ถูกหินก้อนหนึ่งยกลอยขึ้นไปเบื้องหน้ากระบวนพยุหะ

ทันใดนั้นก็มีผู้คนอีกหนึ่งมาปรากฏข้างๆ นาง นั่นคือฉินมู่ หัวใจของนางพลันเต็มไปด้วยความอบอุ่น

“พรายกระบี่ ทหารสวรรค์!” ลัวอิ๋นอวี้ตะโกนออกไป และผู้ฝึกวิชาเทวะหญิงหลายหมื่นคนแห่งตระกูลลัวก็ยกอาวุธของพวกนางไปด้วยปราณ กระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนส่งเสียงเคร้งและทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า แปรเปลี่ยนเป็นพยุหะกระบี่ใหญ่มหึมา แม้ว่าคมกระบี่เหล่านั้นจะมากมายเหลือพรรณนา และดูเหมือนพุ่งฉวัดเฉวียนไปทั้งซ้ายและขา แต่พวกมันก็ไม่เสียกระบวนเลยแม้แต่น้อย

“แปดเสาสวรรค์!” ฟางไฉ่ตีตะโกนออกไป และยักษ์ภูเขามากมายข้างหลังนางก็พลันก่อกันเป็นเสากลมใหญ่มหึมาที่สามารถค้ำยันฟ้าและดิน ยักษ์ภูเขาแปดตนก้าวออกไปข้างหน้า และดึงเอาเสาทั้งแปดนี้ออกมาพาดบ่าด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า

ตระกูลอื่นๆ ก็ขับเคลื่อนกระบวนท่าของตนเองพลางจับจ้องไปยังเงาร่างที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ด้วยความกระวนกระวาย แม้แต่หลิ่วหรูยินและหลิ่วเจินชิงก็ยังเต็มไปด้วยความวิตก พวกนางมายังเบื้องหน้าโลงศพทองคำ พร้อมที่จะปลดปล่อยศพข้างในนั้นออกมาเมื่อใดก็ตาม

ฉินมู่สะท้านใจ เพียงแค่ป้าโก่วเพียงผู้เดียวก็แทบจะกดดันให้ตระกูลใหญ่ทั้งหลายงัดไม้ตายของพวกนางออกมาทั้งหมด เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมความน่าเกรงขามของป้าโก่ว!

ชายแซ่อวี้จากเหนือฟ้าผู้นี้ ทำให้ทุกตระกูลใหญ่ในแผ่นดินตะวันตกกระสับกระส่ายขนาดนี้ได้อย่างไร ราวกับว่าพวกเขาพบเจอศัตรูอันยิ่งใหญ่!

ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะพิศวงสงสัย ในแผ่นดินตะวันตก มีค่ายสำนักไม่มากเท่ากับในสันตินิรันดร์ และส่วนใหญ่แล้วค่ายสำนักพวกนั้นก็ถูกปกครองโดยตระกูลใหญ่มากอิทธิพลเหล่านี้ กำลังฝีมือของสิบสุดยอดตระกูลนั้นมิใช่เรื่องเล่นๆ และตระกูลเหล่านี้ทั้งหมดก็มีความเลิศล้ำเป็นของตนเอง อย่าว่าแต่เพียงแค่อาคันตุกะของเหนือฟ้า ต่อให้เทพเจ้าลงมาเอง เหล่าตระกูลใหญ่ก็ไม่น่าจะระวังไวขนาดนี้

ป้าโก่วจะต้องมิใช่เพียงแค่อาคันตุกะของเหนือฟ้าอย่างแน่นอน

เมื่อเงาร่างนั้นเข้ามาใกล้พอ ฉินมู่ก็ตระหนักว่าป้าโก่วมิได้มีหน้าตาดุร้ายถมึงทึงอย่างที่เขาจินตนาการเอาไว้ ในทางกลับกัน เขาเป็นบุรุษที่มีรูปลักษณ์อันเหนือธรรมดา ร่างของเขาสูงและแข็งแกร่ง ขณะที่เครื่องหน้าของเขาหล่อเหลาเป็นอย่างยิ่ง

เสื้อผ้าที่เขาใส่ทำจากวัสดุปริศนาที่พาดไปพาดมา แต่ละเส้นใยผ้าดูราวกับจะถักทอขึ้นมาจากอักษรรูน และเป็นครั้งเป็นคราวนั้น ก็มีมีประกายแสงอันแทบจะจับต้องไม่ได้ปรากฏขึ้นมาจากเส้นใย

เสื้อผ้าของเขาเข้ารูปเหมาะตัว และแสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีไขมันส่วนเกิน

การแต่งกายของเขาเป็นไปตามธรรมเนียมของบุรุษจากแผ่นดินตะวันตก ด้วยผ้าขาวที่โพกไว้บนศีรษะ และโซ่ทองอันห้อยโยงไปมาบนผ้าโพกนั้น แต่ทว่าไม่เหมือนกับชายคนอื่นๆ เขามีเครื่องประดับเพียงน้อยชิ้น

สันจมูกเขาโด่ง แต่สายตาเขาอ่อนโยน ให้ความรู้สึกแช่มชื่นแก่ผู้แรกพบเขา

เมื่อฉินมู่มองดูเขา เขาก็รู้สึกว่าชายผู้นี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับเทพครองแดนหยกแห่งเหนือฟ้า ครั้งหนึ่งฉินมู่เคยได้เห็นซากสังขารของบุคคลที่ว่ากันว่าเป็นชายที่งดงามสมบูรณ์แบบ แม้ว่าเขาจะถูกจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงสังหารไปแล้ว แต่รูปโฉมของเขาก็ยังเลิศล้ำเหนือธรรมดา

อารมณ์บรรยากาศของเขาดูคล้ายกับซวีเซิงฮวา

ฉินมู่เพ่งพิศดูและค่อนข้าตกตะลึง เขาพบว่ากิริยาท่วงทีของป้าโก่วก็ยังคล้ายคลึงกับราชครูสันตินิรันดร์อีกต่างหาก!

กิริยาท่วงทีของซวีเซิงฮวานั้นคือทุกสิ่งทุกอย่างในโลกหล้าไม่เกี่ยวข้องกับเขา เขาได้เข้ามาในโลกปุถุชนจากแดนเบื้องบนขึ้นไป และโลกียวิสัยย่อมมิอาจแปดเปื้อนเขา นี่ก็เกี่ยวกับวิชาที่เขาฝึกปรือด้วย แม้ว่าฉินมู่ได้ลากเขาลงมายังแดนปุถุชนแล้ว เรื่องราวทางโลกทั้งหลายก็ยังคงยากที่จะเปลี่ยนแปลงเด็กหนุ่มอันพิเศษเหนือธรรมดาผู้นั้น เขายังคงดูเหมือนว่าจะสามารถละวางเรื่องทางโลกและจากไปได้ตลอดเวลา

ในทางกลับกัน ราชครูสันตินิรันดร์ ดูเย็นชาและเคร่งเครียดจริงจังทั้งในคำพูดและการกระทำ มันเป็นทัศนติไร้เทียมทานของการมองลงมายังภูเขาลูกย่อมกว่าจากเบื้องบน หลังจากที่ได้ปีนขึ้นไปสู่จุดสูงสุดแล้ว

เขาเป็นปรมาจารย์ผู้มีความสำเร็จเลิศล้ำเกินธรรมดา และเป็นผู้ที่มีแต่การปฏิรูปและการเปลี่ยนแปลงในหัวใจเท่านั้น เรื่องอื่นๆ ในโลกหล้าถูกเขาโยนทิ้งไปทั้งหมด และสิ่งที่กีดขวางการปฏิรูปของเขาก็เป็นแค่ก้อนหินไร้ค่าที่กีดขวางทาง เขาจะใช้วิธีการอันเฉียบขาดดุดันในการจัดการกับพวกมันทั้งหมด

ป้าโก่วแห่งเหนือฟ้าถึงกับมีอารมณ์บรรยากาศของซวีเซิงฮวา และกิริยาท่วงทีของราชครูสันตินิรันดร์ในเวลาเดียวกัน

“ประมุขเหอ” ชายที่โพกผ้าปักลายผู้นี้เหาะเข้ามาและคารวะทักทายเหออีอีและคนอื่นๆ “ประมุขมู่ ประมุขหลิ่ว ประมุขฟาง…”

แม้ว่าเขาและพวกนางจะเป็นศัตรูกัน แต่ทุกคนก็คารวะทักทายตอบ “ป้าโก่ว”

ชายในผ้าโพกหัวปักลายมองมายังฉินมู่ ยิ้มจนเห็นฟันเมื่อกล่าวทักทายเขา “กษัตริย์มนุษย์ฉิน”

ฉินมู่สะท้านใจเมื่อเขาคารวะตอบกลับไป “ป้าโก่ว เรียนถามได้หรือไม่ว่าท่านรู้จักตัวตนอันต่ำต้อยไร้ความสำคัญอย่างข้าได้อย่างไร”

“กษัตริย์มนุษย์ฉิน ไม่มีความจำเป็นที่เจ้าจะต้องถ่อมตนจนเกินควร” ชายในผ้าโพกหัวกล่าว “ข้านั้นคอยให้ความสนใจแก่กษัตริย์มนุษย์ที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นเสมอ สำหรับกษัตริย์มนุษย์รุ่นก่อน ข้าถึงกับลงมายังแดนต่ำใต้ด้วยตนเอง เจ้าน่าจะได้เห็นแล้วใช่ไหมว่าแขนขาทั้งสี่ของเขาเป็นอย่างไร”

เขายื่นมือออกไปในท่าคว้าจับ และสตรีนางหนึ่งแห่งตระกูลมู่ก็ลอยไปหาเขาอย่างช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ นางพยายามดิ้นรน แต่ก็ไร้ผล

ชายในผ้าโพกหัวปักลายชักกระบี่ของเขาออกมา และแขนที่ถูกตัดสะบั้นก็ร่วงลงมาข้างหนึ่ง เขาโบกมือของเขาอย่างแผ่วเบาด้วยรอยยิ้ม และแขนที่ถูกตัดข้างนั้นก็ลอยตรงไปหาฉินมู่ “จ้าวลัทธิฉิน โปรดชมดู”

หางตาของฉินมู่กระตุกเมื่อปราณชีวิตของเขาแผ่พุ่งออกศึกษาพิจารณารอยแผลนั้นอย่างถี่ถ้วน คิ้วของเขาขมวด และเขาก็ร้องด้วยเสียงพร่า “แผลกระบี่แบบเดียวกันไม่มีผิด”

“เป็นข้าเอง” ชายในผ้าโพกหัวยิ้มอบอุ่นให้แก่เขา “ดูเหมือนว่าเขาไม่ซ่อนแผลกระบี่จากสายตาเจ้า”

ข้างหลังพยุหะสังหารของตระกูลใหญ่ทั้งหลาย ราชครูสันตินิรันดร์และเสียงซีอวี่กำลังซ่อนตัวอยู่ ไม่เข้ามาใกล้ แต่ทว่าเมื่อราชครูสันตินิรันดร์เห็นแสงกระบี่ของชายในผ้าโพกหัวปักลาย สีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนบิดเบี้ยว และเสียกระบวนทันที “แย่ล่ะ! ข้ารู้ที่มาของป้าโก่วคนนี้! เร็วเข้า ตระกูลใหญ่ทั้งหลายแห่งแผ่นดินตะวันตกจะต้องถอยทัพ!”

เสียงซีอวี่ส่ายหัว “ลูกธนูได้น้าวขึ้นสายไปแล้ว และไม่มีทางอื่นใดนอกจากปล่อยมันออกไป พวกเราถอยไม่ได้แล้วต่อให้อยากจะทำก็ตาม ทำไมจู่ๆ ราชครูก็พลันเสียกิริยาท่าทีล่ะ”

ราชครูสันตินิรันดร์สูดลมหายใจลึกยาวและประกายตาเขาก็วูบวาบ “ข้าจดจำเพลงกระบี่นี้ได้ เต๋ากระบี่นี้! มันคือเพลงกระบี่ที่สะบั้นแขนขาทั้งสี่ของกษัตริย์มนุษย์เฒ่า ชายผู้นี้มิได้มาจากตระกูลอวี้แห่งเหนือฟ้า แต่เป็นเทพเที่ยงแท้จากแดนเบื้องบน!”

ตรงหน้ากระบวนพยุหะ ฉินมู่พลันผ่อนคลายและแย้มยิ้มโดยไร้วี่แววของความว้าวุ้น “ร่างจริงของเจ้าคงลงมาในแดนต่ำใต้ไม่ได้สินะ? หากว่าลงมาได้ เจ้าจะยังซ่อนตัวเหมือนแมลงวันแมลงหวี่ในแผ่นดินตะวันตกอยู่หรือ เช่นนั้นในเมื่อนี่มิใช่ร่างที่แท้จริงของเจ้า…” เขายื่นมือออกไป สีหน้าของเขาพลันป่าเถื่อนดุร้าย “กระทืบเจ้าให้ตายก็คงจะไม่ลำบากอะไร!”

ตำนานเทพกู้จักรวาล

ตำนานเทพกู้จักรวาล

ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset