ฉินมู่มีความรู้สึกหวาดสยองขึ้นมา หากว่ามารดาเฒ่าสวรรค์แท้ยังคงซ่อนตัวอยู่ในตำหนักสวรรค์แท้จริงๆ ก็แปลว่านางอยู่ในที่มืดและพวกเขาอยู่ในที่สว่าง หากว่ามารดาเฒ่าสวรรค์แท้ลอบโจมตีพวกเขา ใครจะขัดขวางนางได้
ฉินมู่ไม่รู้ว่าราชครูสันตินิรันดร์จะสามารถป้องกันนางได้หรือไม่ แต่ตัวเขาเองกระทำมิได้แน่นอน!
ต่อให้มารดาเฒ่าสวรรค์แท้สังหารราชครูไม่สำเร็จ แต่ต้องสังหารเขาสำเร็จอย่างแน่นอน
เป้าหมายของนางคือเขาหรือว่าข้า?
ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ ราชครูเป็นภัยคุกคามมากกว่าเดิมเมื่อเขาได้ฝึกปรือบ่มเพาะสะพานเทวะแล้ว เขาได้กำจัดป้าโก่วและร่างปลอมของนาง ตามหลักเหตุผล เขาน่าจะเป็นเป้าหมายของนาง
แต่ในทะเลทรายเพลิงโหม มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ได้ลงมือกับฉินมู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ่งไปกว่านั้น การรุกรานตำหนักสวรรค์แท้ก็เป็นฝีมือของเขาเสียมาก เมื่อเทียบกับราชครูแล้ว ความเกลียดชังที่มารดาเฒ่าสวรรค์แท้มีต่อเขาน่าจะลึกล้ำกว่า!
ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะต้องอยู่ข้างๆ ราชครูเอาไว้ ถอยห่างจากเขาก้าวเดียวก็ไม่ได้เด็ดขาด!
ราชครูสันตินิรันดร์ยื่นมือออกไป และวาดไปข้างๆ หญิงสาวมากมายบนกำแพงก็เลื่อนไปข้างๆ ด้วยและเผยภาพจิตรกรรมฝาผนังภาพที่สี่
มันบันทึกการต่อสู้ระหว่างมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ เรือตะวัน และเรือจันทรา
การต่อสู้นั้นเริ่มขึ้นโดยมารดาเฒ่าสวรรค์แท้เข้าไปโจมตีแดนโบราณวินาศ มันได้ดึงดูดเรือตะวันและเรือจันทรามา จากนั้นนางก็ถอยกลับเข้าไปในทะเลทรายเพลิงโหม อันเป็นสถานที่ที่นางทำลายกองเรือเหล่านั้น
ภาพการต่อสู้บนจิตรกรรมฝาผนังนั้นยิ่งใหญ่อลังการ เรือแผ่นดินขนาดมหึมาลากเอาดวงตะวันและจันทรามาในนภากาศ ผู้พิทักษ์ตะวันและผู้พิทักษ์จันทรายืนอยู่บนเรือใหญ่ด้วยร่างอันสูงตระหง่าน แต่ใบหน้าของพวกเขาแสยะบิดเบี้ยว เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกคนชั่ว
กระนั้นก็ไม่ได้มีเพียงแต่มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ที่ต่อสู้กับพวกเขา มันยังมีเทพเจ้าอื่นๆ บนท้องฟ้าอีก แต่ทว่าบนจิตรกรรมฝาผนัง เทพเหล่านั้นถูกวาดไว้เล็กจิ๋ว ขณะที่มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ทั้งดูฮึกหาญและแข็งแกร่ง ด้วยจิตวิญญาณอันเกริกไกร เทพเจ้าอื่นๆ เป็นเพียงได้เพียงแค่ทารกต่อหน้านาง!
“มารดาเฒ่าสวรรค์แท้แข็งแกร่งขนาดนั้นเชียวหรือ” ฉินมู่อดสงสัยไม่ได้เมื่อเขาเห็น
“ให้ข้าเล่าสักเรื่อง เผื่อเจ้าจะได้เข้าใจว่าจริงๆ แล้วมารดาเฒ่าสวรรค์แท้มิได้แข็งแกร่งเลย วันหนึ่ง จักรพรรดิได้พาข้าและขุนนางคนอื่นๆ ออกไปล่าสัตว์ เมื่อพวกเราจับเหยื่อได้ จักรพรรดิก็สั่งให้จิตรกรวาดภาพขึ้นมา และจิตรกรผู้นั้นก็ได้วาดภาพจักรพรรดิใหญ่ขนาดนี้แหละ” ราชครูกล่าว
เขายกมือซ้ายขึ้นคีบนิ้วชี้และนิ้วโป้งห่างสักหน่อยเพื่อแสดงขนาดของเขาในภาพวาด “และข้าก็เล็กแค่นี้ จักรพรรดินั้นยิ่งใหญ่เกรียงไกร ส่วนข้ากับขุนนางทั้งหลายเล็กจิ๋ว ท่ามกลางพวกเขาทุกคน ตัวข้านั้นเล็กที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อจิตรกรวาดภาพข้า เขาก็วาดหน้าข้าให้บิดเบี้ยวดุดัน ด้วยสีหน้าอันกลอกกลิ้งและชั่วร้าย จักรพรรดิไม่พึงพอใจจึงสั่งให้จิตรกรวาดขึ้นมาใหม่ แต่มันก็ลงเอยแบบเดิม ดังนั้นจักรพรรดิจึงไล่เขาออกและให้เขาไสหัวกลับบ้านเกิด”
ฉินมู่เข้าใจความหมายของเขาและแย้มยิ้ม “บุคคลที่วาดจิตรกรรมนี้ คงจะประจบสอพลอมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ นางไม่น่าที่จะแข็งแกร่งไปกว่าท่าน มิเช่นนั้นนางคงไม่ใช้ร่างปลอมไปโจมตีท่าน”
“กำลังฝีมือของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้น่าจะแข็งแกร่งมาก แต่วิชาของนางน่าจะมีจุดอ่อนอันใหญ่หลวง พลังวัตรของนางแกร่งอย่างถึงที่สุด แต่เวทมนตร์ของนางยังอยู่ในเต๋าแห่งทุกสิ่งมีดวงจิตและทุกสิ่งมีดวงวิญญาณ หากว่านางไม่เผยตนออกมา ข้าก็คงทำอะไรไม่ได้ แต่หากว่านางโผล่ออกมา นางจะต้องตาย”
ราชครูสันตินิรันดร์เต็มไปด้วยความมั่นใจ แต่ทันใดเขาก็เปลี่ยนเรื่อง เขากล่าวในเชิงบอกเตือนฉินมู่ “ข้างกายจักรพรรดิมีพวกประจบสอพลอ เช่นนั้นผู้มีอำนาจอื่นๆ จะขาดคนพวกนี้ได้อย่างไร แต่ทว่าผู้คนเหล่านี้มิได้น่ากลัว ความคิดของพวกเขาต่างหากที่น่ากลัว”
“จิตรกรวาดภาพข้าและขุนนางอื่นๆ ให้ตัวเล็กจิ๋วนั้นก็พอเข้าใจได้ แต่เขาไม่ควรวาดภาพข้าให้ดูชั่วร้ายกลอกกลิ้ง เพราะนั่นคือการเจือปนความเกลียดชังส่วนตัวเข้าไป เขาหมายที่จะใช้โอกาสนี้ในการสอพลอจักรพรรดิ และโน้มนำมุมมองของจักรพรรดิที่มีต่อข้า ให้จักรพรรดิคิดว่าข้านั้นทั้งกลอกกลิ้งและชั่วร้าย เขาหมายจะใช้มันเพื่อกำจัดข้าและหยุดยั้งการปฏิรูป การรวมทั้งประจบสอพลอเข้ากับการแทงข้างหลังนั้นมันมากเกินไป”
เขามองไปที่ฉินมู่ด้วยรอยยิ้มอันมิเชิงยิ้ม “จ้าวลัทธิมีตำแหน่งอันสำคัญและแม้แต่จักรพรรดิก็มีอาญาสิทธิ์ไม่ทัดเทียมกับเจ้าในบางกรณี เจ้าจะต้องระวังผู้คนที่ซ่อนดาบไว้หลังผายลมของพวกมัน”
ฉินมู่ก้ำกึ่งระหว่างหัวเราะกับร่ำไห้ ซ่อนดาบไว้หลังผายลม…ราชครูทั้งมากวรรณศิลป์และหยาบคายในเวลาเดียวกัน
เมื่อเขามีวรรณศิลป์ เขาสามารถร่วมเสวนากับเฒ่าหนวกและคนแล่เนื้อได้ แต่เมื่อเขาหยาบคาย เขาก็สามารถกล่าวประโยคอย่างซ่อนดาบหลังผายลม
แต่ทว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นเรื่องจริง ไม่ยากเลยที่ชีวิตหนึ่งจะได้พบกับผู้ที่แทงข้างหลังคู่ต่อสู้ด้วยคำยกยอปอปั้นระหว่างที่ซุกซ่อนเจตนาอื่นเอาไว้ข้างหลัง คำเตือนของราชครูสันตินิรันดร์ถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง
“บนภาพวาด มารดาเฒ่าสวรรค์แท้มีเทพเจ้าอื่นๆ สนับสนุน แต่ว่าพวกเขามาจากที่ไหน”
ฉินมู่ตรวจตราดูภาพวาดและพิจารณาเทพตนอื่นๆ ในนั้น พยายายามที่จะจำแนกแยะแยะใบหน้า เขาพลันมองเห็นบุคคลผู้หนึ่งที่ดูคุ้นตา “นั่นเทพครองแดนหยก! หรือว่าคนอื่นๆ ก็เป็นเทพเจ้าแห่งเหนือฟ้า ไม่สิ พวกเขาไม่น่าจะเป็นเทพแห่งเหนือฟ้าเสียทั้งหมด!”
เขาจดจำอีกใบหน้าได้
เขานำเอาม้วนภาพออกมาจากถุงเต๋าตี้และคลี่มันออกมาอย่างแผ่วเบา เขาทาบมันไว้ข้างๆ เพื่อเปรียบเทียบ และตรวจดูเทพเจ้าในจิตรกรรมอีกครั้ง
ราชครูสันตินิรันดร์อึ้งไปเล็กน้อย “นี่คือภาพวาดการสักการะดวงวิญญาณที่จ้าวลัทธิวาดมิใช่หรือ”
“ใช่แล้ว” ฉินมู่เงยหน้าขึ้นเพ่งมองภาพจิตรกรรม “ทักษะเทวะสักการะดวงวิญญาณที่ผานกงสั่วใช้นั้นแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง รูปเงาของเทพเจ้าปรากฏอยู่เบื้องหลังเขา ข้าวาดมันไว้ตรงนี้ ราชครู โปรดช่วยดูให้ที เทพในภาพวาดของข้าเหมือนกับเทพในจิตรกรรมไหม”
ราชครูสันตินิรันดร์มองสลับไปมาอยู่หลายครั้งก่อนจะผงกหัว
ความฉงนปรากฏบนใบหน้าของฉินมู่ และเขาก็จ่อมจมลงไปในความคิด “เทพเจ้าของผานกงสั่วครั้งหนึ่งเคยปรากฏในโลกแห่งนี้ และเป็นพวกเดียวกับมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ หนึ่งนั้นก่อตั้งตำหนักสวรรค์แท้ และอีกหนึ่งก่อตั้งวังทองโหรวหลัน ถ้าอย่างนั้น เขายังอยู่ในโลกนี้หรือไม่ หากว่าเขายังมีชีวิตอยู่…”
ความหนาวยะเยือนแล่นไปทั่วแผ่นหลังของเขาแม้ว่าอากาศจะไม่หนาวเหน็บ
ทักษะเทวะของผานกงสั่ว สังหารผู้ใดก็ตามที่เขาสักการะ หากว่าเทพเจ้าตนนั้นช่วงใช้วิชาเองล่ะ ใครจะไปต้านทานการสักการะของเขาได้
“จิตรกรรมฝาผนังที่นี่บันทึกไว้เพียงแต่ประวัติศาสตร์ของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ และมิใช่สิ่งที่ข้าต้องการ” ราชครูสันตินิรันดร์ส่ายหัว และเดินออกไปจากโถงจำหนัก “หากว่าตำหนักสวรรค์แท้เป็นส่วนหนึ่งของสภาสวรรค์จริงๆ มันก็น่าจะมีประวัติศาสตร์อันดึกดำบรรพ์กว่านี้ที่บันทึกเอาไว้บนบนภาพจิตรกรรม อันมิใช่เพียงแค่ประวัติศาสตร์ของตำหนักสวรรค์แท้! มันจะต้องมีโถงวังที่บันทึกประวัติศาสตร์เก่าแก่กว่านี้!”
ฉินมู่ตามเขาออกไป และตอนนั้นพวกสตรีตระกูลอวี้ถึงค่อยร่วงลงกับพื้น สามารถขยับเขยื้อนได้
การต่อสู้ข้างนอกยังคงดำเนินไป และสถานการณ์ก็วุ่นวายเป็นอย่างยิ่ง ตระกูลใหญ่ทั้งหลายต่อสู้กับลูกแก้วหงส์แดง พวกนางต่างขัดแข้งขัดขาซึ่งกันและกัน เล่นสกปรกต่างๆ
พลานุภาพของลูกแก้งหงส์แดงนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง และมิได้ด้อยไปกว่าลูกแก้วมังกรเขียวเลย มันเป็นหนึ่งในสี่มหาสมบัติวิญญาณแห่งตำหนักสวรรค์แท้ ดังนั้นมันจึงกระตุ้นเร้าให้ผู้คนต่อสู้แย่งชิงมัน
แม้ว่าหญิงสาวจะเป็นผู้ถือกุมอำนาจในแผ่นดินตะวันตก แต่ความขัดแย้งภายในและการดิ้นรนชิงอำนาจของพวกนางก็มิได้ด้อยไปกว่าสันตินิรันดร์
ฉินมู่ตามราชครูสันตินิรันดร์ไปยังโถงหลักแห่งตำหนักสวรรค์แท้ และพบว่าจิตรกรรมฝาผนังที่นั่นแตกต่างไปจากราชวังอื่นๆ
ราชครูสันตินิรันดร์ยืนอยู่ตรงหน้าภาพจิตรกรรมหนึ่งและมองไปที่มันอย่างเยือกเย็น ทันใดนั้นหางตาของเขาก็กระตุก และความหวาดกลัวก็แผ่ไปทั่วสีหน้าของเขา
ฉินมู่มองไปที่ภาพจิตรกรรมและเห็นสภาสวรรค์อันยิ่งใหญ่เกรียงไกร มีบุคคลอันแต่งกายคล้ายจักรพรรดิสวรรค์กำลังเชื้อเชิญทวยเทพทั้งหลายให้มาเข้าร่วมงานเลี้ยง และมีเทพเจ้ามากมายที่เข้ามาร่วมงาน!
“ภูติบดี!”
หัวใจฉินมู่สะท้านอย่างรุนแรงเมื่อเขาเห็นภูติบดีผู้ซึ่งมีเขาคู่อยู่บนศีรษะท่ามกลางเทพเจ้าทั้งหลาย!
ในภาพจิตรกรรมนี้ ตำแหน่งของภูติบดีสูงเป็นอย่างยิ่ง แต่กระนั้นใบหน้าของเขาก็ลางเลือนไม่ชัดเจน และมิใช่เขาคนเดียวที่เป็นเช่นนั้น!
นี่หมายความว่า ยังมีตัวตนอีกมากมายที่ศักดิ์ฐานะทัดเทียมกับภูติบดี
ในภาพวาด เทพเจ้าทั้งหลายยืนค้างอยู่ในท่วงท่าต่างๆ กัน ภาพจิตรกรรมนี้แจ่มชัดเป็นอย่างยิ่ง จนดูราวกับว่าพวกเขาจะก้าวออกมาและมีชีวิตได้ นี่แสดงว่าจิตรกรที่วาดภาพนี้ฝีมือล้ำเลิศไม่ใช่น้อย
สายตาของฉินมู่กวาดผ่านทวยเทพทั้งหลาย แต่เขาไม่พบวี่แววของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้หรือแม้แต่ป้าโก่ว “หรือว่าในกาลครั้งนั้น มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ก็ยังไม่เกิด”
หางตาของราชครูสันตินิรันดร์ยังคงสั่นกระตุก ขณะที่เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “นี่คือปราสาทสวรรค์ที่แท้จริง สภาสวรรค์ที่แท้จริง…มิน่าล่ะ มิน่าล่ะว่าทำไมแม้แต่จักรพรรดิก่อตั้งก็ยังถูกทำลายล้าง…”
ฉินมู่จับมือของเขา และพบว่ามันสั่นเทิ้มอยู่ ความกลัวและลังเลใจปรากฏอยู่ในห้วงลึกของดวงตาอันว่างเปล่าของชายกลางคนผู้นี้!
“ราชครูกลัวกับแค่ภาพวาดอย่างนั้นหรือ” ฉินมู่หัวเราะ
ราชครูสันตินิรันดร์ดิ้นรนดึงมือที่ถูกยุดเอาไว้ออก แต่เสียงของเขาก็ยังคงแหบพร่า “เจ้าไม่กลัวหรือ เจ้าไม่เห็นหรือว่ามีเทพเจ้ามากมายแค่ไหนที่อยู่ในสภาสวรรค์แห่งนี้ เจ้าไม่เข้าใจหรือว่าความพินาศของยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งเกิดขึ้นมาจากทวยเทพในสภาสวรรค์แห่งนี้”
ความสิ้นหวังฉายอยู่บนใบหน้าของเขาขณะที่เขาหัวเราะขื่น “ข้าเคยคิดว่าข้าจะสามารถกำจัดคนชั่วช้าและสามารถเปลี่ยนโลกหล้าให้เป็นฟ้าและดินอันกระจ่างสดใส ข้าหมายที่จะป้องกันมิให้ผู้คนถูกหลอกลวงอีกต่อไป และทำลายเทพเจ้าทั้งหลายในวิหารและในหัวใจของพวกเขา เพื่อให้พวกเขามีความกล้าหาญที่จะต่อสู้กับสรวงสวรรค์ แต่นี่มิใช่เพียงแค่เรื่องตลกหรอกหรือ จ้าวลัทธิฉิน เจ้าไม่เข้าใจอะไรสักนิด! หากว่าข้ายังคงปฏิรูปอีกต่อไป จักรวรรดิสันตินิรันดร์ก็จะมีจุดจบแบบเดียวกัน ปฏิรูป เหอเหอ…”
เขานั้นถอดใจอย่างถึงที่สุด และจมลงไปในความเหม่อลอย เขาโบกมือไปมาพลางกล่าว “ข้าไม่ไปเหนือฟ้าอีกต่อไปแล้ว เมื่อข้ากลับไปที่สันตินิรันดร์ ข้าจะพาฮูหยินของข้าไปซ่อนตัวเร้นกาย จ้าวลัทธิ เจ้า… จงเป็นจ้าวลัทธิต่อไปเถอะ ส่วนเรื่องการปฏิรูป อย่าได้แตะมันอีกต่อไป”
เขาหันกายเพื่อเดินออกไปจากโถงวังด้วยสีหน้าอันแห้งแล้ง เขาสูญเสียความกล้าหาญในการต่อสู้ไปจนหมดสิ้น
“เทวราช เจ้าถามข้าว่าข้าเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่ ให้ข้าตอบเจ้าสักคำ!”
ราชครูสันตินิรันดร์ชะงักเท้า
“ข้ารู้” รอยยิ้มของฉินมู่แจ่มจ้ากว่าที่เคย “ข้านั้นยังพัวพันลึกล้ำยิ่งกว่าเจ้า จักรพรรดิก่อตั้งนั้นก็มีแซ่ฉิน และเด็กกำพร้าแห่งจักรวรรดิจักรพรรดิก่อตั้งที่ถูกทำลายล้างไปก็ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้า”
ราชครูสันตินิรันดร์ตัวสั่นเทิ้ม เขาหันกลับมามองยังเด็กหนุ่มคำพูดของเขาตะกุกตะกัก “เจ้า–เจ้า…”
ฉินมู่ยิ้มกว้างจนเห็นฟัน “ชื่อของข้าอาจจะเป็นชื่อไม่จริง แต่แซ่ของข้านั้นมิใช่เทียมเท็จ ฉินของจักรพรรดิก่อตั้งคือฉินของข้า หากว่าข้ายังไม่กลัว แล้วเจ้าจะกลัวไปทำไม เทวราช ข้านึกอะไรดีๆ ออก ช่วยข้าฝนหมึกหน่อย”
ราชครูสันตินิรันดร์ยังคงแตกตื่นจากคำพูดของเขา และไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร
ฉินมู่นำพู่กันออกมาและโยนแท่นฝนหมึกให้กับเขา เขามองไปยังภาพจิตรกรรมอันได้สั่นคลอนราชครูอย่างรุนแรงด้วยความสนอกสนใจ ผ่านไปสักครู่ ประกายตาเขาก็ลุกวาบเมื่อเขาพบประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ เขาถามด้วยรอยยิ้ม “หมึกเตรียมพร้อมหรือยัง”
ราชครูสันตินิรันดร์นิ่งงัน แทบจะรับแท่นหมึกไม่ทัน ฉินมู่แย้มยิ้มและกล่าวอีกครั้ง “เทวราช นี่ไม่สมเป็นท่านเลย อัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปีหายไปไหนแล้ว”
ราชครูสันตินิรันดร์สูดลมหายใจลึก โยนความคิดทุกอย่างทิ้งไป และเพ่งสมาธิกับการฝนหมึก
ฉินมู่จุ่มพู่กันให้ดูดน้ำหมึกเข้าไปอย่างเต็มที่ และตวัดวาดสองสามเส้นไปที่มุมขวาของภาพจิตรกรรม หลังจากที่เขาทำเสร็จ เขาก็แย้มยิ้มแล้วกล่าว “ช่วยข้าล้างพู่กันหน่อย”
“เจ้า!” ราชครูสันตินิรันดร์แทบจะกลั้นโทสะไว้ไม่อยู่ “ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งสิ้นสุดไปเมื่อสองหมื่นปีแล้ว และทายาทรุ่นที่ร้อยๆ ของจักรพรรดิก่อตั้งก็อาจจะไม่ได้สูงส่งไปกว่าชาวนา! หากว่าเจ้าเล่นตลกกับข้า ข้าจะจัดการเจ้าแบบที่เจ้าจะต้องจดจำไปจนวันตาย”
ฉินมู่หัวร่อฮาๆ แล้วกล่าว “พวกเราค่อยกลับไปหลังจากที่เจ้าล้างพู่กันแล้ว”
ราชครูสันตินิรันดร์ล้างพู่กันด้วยความพิถีพิถัน เขานั้นจริงจังในทุกๆ เรื่องที่เขาทำ และไม่เคยเลินเล่อ
ฉินมู่เก็บพู่กันและแท่นฝนหมึกของตนเอง ก็จะคว้ามือของชายกลางคนผู้นี้ เขาลากอีกฝ่ายตรงไปยังภาพจิตรกรรมด้วยรอยยิ้ม “ให้ข้าพาเจ้าไปพบปะสังสรรค์ งานเลี้ยงแห่งสภาสวรรค์!”
ทั้งสองคนโยนตัวเองเข้าไปใส่ภาพจิตรกรรม และหายวับเมื่อพวกเขาหลุดเข้าไปในนั้น