ตำนานเทพกู้จักรวาล – ตอนที่ 471 ช่องโหว่

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้เริ่มปวดหัวตึ้บเมื่อฉินมู่ยัดลูกแก้วเต่าดำใส่มือนางอีกครั้ง หากว่านี่เป็นการสะกดหาร่องรอยใครบางคน ไยต้องใช้สมบัติวิเศษขนาดนี้ด้วยล่ะ

นี่มันเป็นการหยั่งเชิงอีกครั้งชัดๆ!

ไอ้เด็กต่ำช้านี่เป็นจิ้งจอกหรืออย่างไร เขาได้ทดสอบข้าไปห้าหกครั้งแล้ว และก็ยังคงทดสอบอีก!

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้คืนลูกแก้วเต่าดำให้ฉินมู่ด้วยสายตาอันอบอุ่นและแย้มยิ้ม “หากว่าเพียงแค่สะกดร่องรอยของบุคคล ไม่จำเป็นต้องใช้สมบัติล้ำค่าขนาดนี้ จ้าวลัทธิฉินมีภาพวาดของผู้สูงศักดิ์หรือไม่”

ฉินมู่ราวกับคนตาบอด ไม่ใส่ใจความสวยสะคราญและรอยยิ้มอันยั่วยวนของนาง เขารีบวาดภาพของผานกงสั่วและมอบให้นาง

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้อดทนเป็นอย่างยิ่ง นางร่ายเวทมนตร์ปลุกพรายวิญญาณเพื่อปลุกก้อนเมฆ ภูเขา ต้นไม้ขึ้นมา และหลังจากที่ไต่ถามพรายวิญญาณเหล่านั้นทั้งหมด นางก็พบที่อยู่ของผานกงสั่วได้ในเวลาไม่นาน

“เวทมนตร์ของตำหนักสวรรค์แท้ไม่เลวเลยจริงๆ หากว่าตำรวจคนไหนมีเวทมนตร์พวกนี้ในมือ เขาก็คงกลายเป็นมือหนึ่งในวิชาชีพได้อย่างแน่นอน”

ราชครูสันตินิรันดร์ครุ่นคิด “บางทีเราอาจจะให้ศิษย์ตำหนักสวรรค์แท้เข้ามาเป็นตำรวจที่สันตินิรันดร์”

“มุมมองของราชครูนั้นเหนือธรรมดาจริงๆ” มารดาเฒ่าสวรรค์แท้กล่าวอย่างนุ่มนวล

ราชครูสันตินิรันดร์ไม่มีสีหน้าอื่นใด “เป็นแค่ความคิดคร่าวๆ เท่านั้น ไม่คู่ควรแก่การเอ่ยอ้าง”

ระหว่างทางมารดาเฒ่าสวรรค์แท้คอยดูแลปรนนิบัติฉินมู่และราชครูในเรื่องอาหารการกินและสถานที่พักผ่อน นางรินชาให้กับทั้งคู่ ซักเสื้อผ้าให้ บนใบหน้าของนางมีรอยยิ้มละไมตลอดเวลา ทำให้นางดูเฉลียวฉลาด อ่อนหวาน และเข้าอกเข้าใจผู้อื่น

แต่ทว่าฉินมู่และราชครูมองราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดา และฉินมู่ยังถึงกับให้นางเลี้ยงอาหารกิเลนมังกร เจ้าอ้วนยักษ์ตัวนี้

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้มิเคยปริปากบ่นเลยสักคำ ยังคงรักษาบุคลิกอันอ่อนโยนและเข้าอกเข้าใจไว้ตลอดเวลา แต่ทว่านางไม่แน่ใจ

ฉินมู่ดูเหมือนพวกที่มีนิสัยเจ้าชู้ตามธรรมชาติ ด้วยปากของเขาหวานราวกับทาน้ำผึ้ง เจอสาวๆ ที่ไหนก็เรียกพี่สาวไปหมด แต่ทว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นท่อนไม้ท่อนหนึ่ง ไม่ว่านางจะยั่วยวนเขาเท่าใด เขาก็ไม่รู้ประสาและโง่เขลา ไม่ตอบสนองเลยแม้แต่น้อย

ราชครูสันตินิรันดร์นั้นยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เขาดูเหมือนว่าอารมณ์ความรู้สึกแม้สักน้อยก็ไม่มี เขาทำแต่สิ่งที่เขาต้องทำ และไม่หวั่นไหวด้วยเสน่ห์ของนางเลยสักนิด

ส่วนกิเลนมังกรนั้น เขาเป็นสิ่งน่าประหลาดใจที่สุด เขานั้นจ้องอ่างอาหารของตนเองเขม็งและนับยาวิญญาณทุกเม็ดอย่างถี่ถ้วน น้อยไปเม็ดหนึ่งก็ไม่ยอม

เมื่อเขาไม่กิน เขาก็จะมัวแต่กังวลเรื่องหนังและเส้นขนที่ไม่งอกกลับมา และเกล็ดของเขาอันเต็มไปด้วยรูสีดำเล็กๆ อันเกิดจากสายฟ้าและไม่หายเป็นปกติเสียที เขาจะพร่ำบ่นแต่ว่าเขาไม่หล่อเหลาเหมือนเดิมอีกแล้ว จากนั้นก็จะพึมพำหาวิธีต้มตุ๋นเอาอาหารจากมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ให้มากขึ้นไปอีก เขานั้นแทบจะทำให้หัวของนางปลิวกระเด็นไปด้วยการพูดจ้อไม่หยุดปาก

ข้าจะต้องฆ่าพวกมัน!

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้หมายที่จะลงมือ แต่เมื่อเผชิญกับราชครูสันตินิรันดร์ นางก็ไม่มีโอกาสสักนิด

เขาไม่เคยเผยช่องโหว่ แม้เมื่อราตรีมาถึง เขาก็ไม่หลับไหล และเพียงแต่นั่งด้วยดวงตาอันลืมโพลง

ผ่านไปสักพัก มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ก็ยิ่งพบข้อเท็จจริงที่น่าแตกตื่นกว่านั้น ซึ่งก็คือเมื่อราชครูสันตินิรันดร์รับประทานอาหาร เขาก็ขับเคลื่อนเพลงกระบี่ของตนไปด้วยระหว่างใช้ตะเกียบคีบอาหาร ในท่วงท่าที่เขายื่นมือออกไปและชักกลับมา เจ้าคนวิปริตนี่ถึงกับร่ายรำเพลงกระบี่ไปเป็นร้อยๆ ชนิด!

ที่น่าสะพรึงกลัวกว่านั้นก็คือ ในกิริยาของการคีบผักก็ยังถึงกับผสานการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นทั่วทั้งร่างกายของเขา เช่นเดียวกับการแปรเปลี่ยนไปของปราณชีวิต เขานั้นอยู่ในสภาวะอันพร้อมเต็มที่ตลอดเวลา และสมบูรณ์แบบจนไร้ช่องโหว่

ในทางกลับกัน ฉินมู่นั้นเต็มไปด้วยช่องโหว่ และนางสามารถสังหารเขาให้ตายอย่างน่าอนาถเมื่อใดก็ได้ ไม่ต้องลำบากอะไรมากมายเลยด้วยซ้ำ

แต่ทว่า หากว่านางยังไม่กำจัดราชครูสันตินิรันดร์และลงมือกับฉินมู่ก่อน คนที่ตายเป็นอันดับถัดมาก็จะต้องเป็นนาง

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ไม่กล้าลงมือ และได้แต่รอคอยโอกาสอย่างอดทน

ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะสมบูรณ์แบบขนาดนี้ได้ตลอดเวลา เขาจะต้องเผยช่องโหว่ออกมาแน่นอน! ในโลกนี้ แม้แต่เทพเจ้าก็ยังมิอาจไร้ช่องโหว่!

ระหว่างการเดินทาง ฉินมู่ปรึกษาราชครูสันตินิรันดร์ในเรื่องเพลงกระบี่อย่างต่อเนื่อง และมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ก็รับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ หวังว่าจะสามารถหาช่องโหว่ในเพลงกระบี่ของเขาได้ แต่ไม่นาน นางก็พบว่านางไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขากำลังสนทนาอยู่เลยสักนิด

ความสำเร็จในเต๋ากระบี่ของราชครูเพิ่มพูนไปด้วยความเร็วราวเทพยดา และความสำเร็จในเพลงกระบี่ของฉินมู่เองก็ไม่ธรรมดา ดังนั้นทั้งสองคนจึงเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษในศาสตร์นี้ มารดาเฒ่าสวรรค์แท้มีความสำเร็จสูงสุดขั้นในด้านธรรมชาติเสกสรร แต่ปฏิภาณความเข้าใจของนางในด้านเพลงกระบี่นั้นด้อยกว่าหลายขุม

ทั้งคู่แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันกลางอากาศอยู่บ่อยครั้ง ฉินมู่จะโจมตีใส่ราชครูซึ่งก็จะยืนไพล่หลังอยู่ตลอดเวลา ด้วยกระบี่ในมือข้างเดียว เขาก็สามารถปัดป้องการโจมตีของฉินมู่ได้อย่างง่ายดาย

พวกเขาทั้งดุเดือดและเปลี่ยนแปรไปมาอย่างไม่สิ้นสุด เทียบกันแล้วเพลงกระบี่ของราชครูเรียบง่ายอย่างสุดขีดขั้ว และสิ่งที่เขาใช้ก็เป็นเพียงท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน กระนั้นเขาก็สามารถทำลายเพลงกระบี่อันสลับซับซ้อนได้ทั้งหมด

ฉินมู่เหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้ ดังนั้นเขาจึงหยุดพัก เขาจมจ่อมในการใคร่ครวญว่าจะพัฒนาเพลงกระบี่ของตนอย่างไร ราชครูสันตินิรันดร์ไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น ปล่อยให้เขาคิดอย่างเงียบๆ เพียงลำพัง

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้อดไม่ได้ที่จะสงสัยใคร่รู้ “เพลงกระบี่ของราชครูนั้นราวกับเทพยดา ไฉนท่านไม่ชี้แนะเขาสักหน่อยเล่า”

“ข้าไม่สามารถ” ราชครูสันตินิรันดร์ส่ายหัว “เขาได้บรรลุถึงสุดขีดขั้วแห่งเพลงกระบี่แล้ว ดังนั้นจะได้ปฏิภาณความเข้าใจอะไรใหม่ๆ มาก็ต้องขึ้นกับตัวเขาเองเท่านั้น”

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ แม้แต่ราชครูสันตินิรันดร์ก็ไม่อาจให้คำชี้แนะแก่ฉินมู่ได้อีกต่อไปแล้วหรือ

“ทำไมราชครูท่านไม่ปิดผนึกสมบัติเทวะเพื่อต่อสู้ในขั้นวรยุทธเดียวกันกับเขาล่ะ” มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ชม้อยตาและถามต่อ

“ข้ามิกล้า” ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “พลังวัตรของเขากล้าแข็งเกินไป ในวรยุทธขั้นเดียวกันนั้น ข้าได้แต่อาศัยพลานุภาพในเต๋ากระบี่ ถึงจะสามารถเสี่ยงชีวิตกับเขาได้ ความเข้มข้นของพลังวัตรของเขาสามารถสังหารข้าได้ในกระบวนท่าเดียว”

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้มองไปที่ฉินมู่และครุ่นคิดในใจ บรรลุถึงเขตขั้นอันสูงส่งเพียงนี้ด้วยอายุเยาว์ ไอ้เด็กนี้ปล่อยให้มีชีวิตไว้ไม่ได้หรอก! ไม่อย่างนั้น ใครจะมาปราบเขาได้

ขณะที่นางคิดเช่นนั้น นางก็ได้ยินเสียงระเบิดกึกก้องสะท้านพิภพดังมาจากร่างกายของฉินมู่ เป่าเมฆขาวในบริเวณรอบๆ กระจัดกระจายไป มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ใจเต้นตึกๆ อย่างรุนแรง และสีหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นไม่เชื่อสายตา

มันคือเสียงของกำแพงสมบัติเทวะถูกพังทลาย แต่ความเข้มข้นของมันดูราวกับการทลายสมบัติเทวะชาวสวรรค์!

ปัง ปัง ปัง

แสงสว่างสาดส่องจากร่างของฉินมู่และแปรเปลี่ยนเป็นดาวเจ็ดดวงที่หมุนวนรอบๆ เขา มันประกอบไปด้วยปราณหยางพิสุทธิ์อันราวกับดวงตะวันอันเจิดจ้า ปราณหยินพิสุทธิ์อันราวกับดวงจันทร์อันนวลใย และยังมีดาวอังคาร ดาวเสาร์อันเปล่งรัศมีสีเหลืองดิน ดาวศุกร์ที่พริบพรายด้วยรังสีแสงสีขาว ดาวพุทธอันห่อหุ้มไปด้วยไอน้ำ และดาวพฤหัสบดีที่พวยพุ่งไปด้วยปราณมังกรเขียว พวกมันทั้งหมดถูกห้อมล้อมไปด้วยประกายไฟฟ้า

บนดาวแต่ละดวงมีเทพเจ้ายืนอยู่บนนั้น พวกเขาล้วนแต่มีรูปลักษณ์แปลกประหลาดต่างๆ นานา หนึ่งนั้นมีกายมนุษย์และศีรษะวัว อีกหนึ่งมีสามขาและศีรษะนก และอีกหนึ่งก็มีศีรษะพยัคฆ์และหางเสือดาว เทพครองดาวใหญ่ทั้งเจ็ดมีรูปลักษณ์พิสดารต่างๆ กันไป

ร่างของฉินมู่สั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ และจิตวิญญาณดั้งเดิมที่สูงแปดวาก็ปรากฏขึ้นมาเบื้องหลังเขา มือทั้งสองของเขายกขึ้นมาเหนือหัวราวกับว่ากำลังแบกอะไรสักอย่าง และดวงดาวทั้งเจ็ดก็ขึ้นไปลอยวนอยู่เหนือฝ่ามือของเขา

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ร้องออกมาด้วยความแตกตื่น “จิตวิญญาณดั้งเดิมแข็งแกร่งอะไรอย่างนี้ เขาบรรลุขั้นชาวสวรรค์ แต่ทำไมเกิดภาพปรากฏการณ์ของเจ็ดดาวล่ะ”

“เจ้าเห็นไหมล่ะว่าเสียงกัมปนาทของการทลายขั้นวรยุทธของเขาน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน” ราชครูสันตินิรันดร์ระบายลมหายใจสะท้าน ขณะที่สายตาของเขาก็ระโหยแล้ง “ข้าคิดมาตลอดว่าข้าคือเส้นตรง และไม่มีจุดอ่อนใดๆ บัดนี้ข้าถึงรู้ว่าข้ามิได้เป็นเช่นนั้น เขาเป็นเส้นตรง ส่วนข้าเป็นสามเหลี่ยม กายาจ้าวแดนดิน มันสามารถแข็งแกร่งได้ขนาดนี้เชียวหรือ”

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้งงงวย นางตกตะลึงกับภาพปรากฏการณ์การทลายขั้นเจ็ดดาว ในเมื่อความอึกทึกที่เกิดขึ้นนั้นไม่ควรที่จะน่าแตกตื่นขนาดนี้

แต่ทว่าที่ทำให้นางตกตะลึงที่สุดก็ยังคงเป็นกายาจ้าวแดนดิน

นางไม่เคยได้ยินกายาชนิดนี้มาก่อน!

“ราชครู อะไรคือกายาจ้าวแดนดินที่ท่านว่า” มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ปรึกษาเขาอย่างจริงใจ หมายที่จะได้รับแสงสว่างแห่งปัญญา

“กายาจ้าวแดนดินมาจากตำนานโบราณ” ราชครูสันตินิรันดร์จิตวิญญาณฟ่องฟูขึ้นมา “เรื่องนี้มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งบอกเล่าแก่ข้า ดังนั้นให้ข้าบอกเล่าเจ้าต่อโดยละเอียด ตำนานกล่าวว่าสามารถมีกายาจ้าวแดนดินได้เพียงหนึ่งในโลกหล้า…”

พวกเขาไล่ตามร่องรอยของผานกงสั่วมาราวๆ ห้าวัน อันฉินมู่ใช้ในการปรับรากฐานวรยุทธขั้นเจ็ดดาวของเขาให้มั่นคง พลังวัตรของเขานั้นเข้มข้นขึ้นและเข้มข้นขึ้นไปทุกที ในเวลาเดียวกันนั้น เมื่อเขาเปิดสมบัติเทวะทารกวิญญาณ ห้าธาตุ หกทิศ และเจ็ดดาวขึ้นมาพร้อมๆ กัน พลานุภาพของพลังวัตรของเขาก็แทบจะเท่ากับกิเลนมังกร

เจ้าอ้วนนี่เริ่มกระวนกระวาย และรู้สึกผวาอย่างสุดๆ แย่ล่ะ วรยุทธของจ้าวลัทธิไล่ตามข้ามาติดๆ แล้ว ข้ากำลังจะไร้ประโยชน์! อย่างนี้ข้าจะไปหาเจ้านายอาหารที่ล้ำเลิศเช่นจ้าวลัทธิฉินได้จากไหนกันล่ะ

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ระบายลมหายใจโล่งอกและแย้มยิ้ม “ตอนนี้พวกเราอยู่ไม่ไกลจากผู้สูงศักดิ์แล้ว”

ฉินมู่มองขึ้นไปรอบๆ พวกเขา ต้องประหลาดใจที่พบว่าทะเลทรายเพลิงโหมอยู่ข้างหน้า “ผานกงสั่วคงจะวิ่งหนีออกไปจากแผ่นดินตะวันตกเรียบร้อยแล้ว เขาสมกับเป็นผู้สูงศักดิ์ ไม่มีใครทัดเทียมเขาได้ในเรื่องความสามารถในการหลบหนี หากว่าไม่ใช่เพราะพี่สาวซืออวี่ เขาก็คงหนีรอดไปได้อีกตามเคย”

เพลิงไฟข้างหน้าพวกเขาลุกไหม้สูงลิ่ว ในจังหวะที่พวกเขาเข้าใกล้มัน รอยประทับประหลาดพิลึกมากมายก็ปรากฏบนร่างของฉินมู่ คืบไต่ไปทั่วตัวเขา

หางตาของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้กระตุก และนางถามด้วยความกังวล “จ้าวลัทธิฉิน รอยประทับบนร่างของท่านพวกนี้…”

“ข้าเดาว่ามันน่าจะเป็นคำสาปแบบหนึ่ง” ฉินมู่ไม่ใส่ใจมัน “ครั้งล่าสุดที่ข้ามาที่นี่ รอยประทับนี้ปรากฏทั่วทั้งร่างของข้า ตลอดไปจนถึงใจกลางฝ่าเท้า และไม่ว่าข้าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถขจัดมันไปได้ มีก็แต่เมื่อข้าเดินออกไปจากทะเลทรายเพลิงโหมเท่านั้น พวกมันจึงจะจางหายไปเอง”

“แม้กระทั่งใจกลางฝ่าเท้าหรือ”

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้จิตสั่นสะท้าน และนางเกือบจะร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น

ราชวงศ์! เขาคือสมาชิกราชวงศ์!

นางได้สังหารชนชั้นสูงมากมายจากเหล่าผู้คนที่ถูกละทิ้งแห่งแดนโบราณวินาศ แต่มีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่เป็นผู้สืบสายเลือดของจักรพรรดิก่อตั้ง นางมิเคยได้สังหารผู้คนเช่นนี้มาก่อน!

เขามิใช่แค่ชนชั้นสูงแห่งแดนโบราณวินาศ เขาคือราชวงศ์!

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ลิงโลดยินดี และความรู้สึกอัปยศอดสูจากช่วงหลายวันที่ผ่านมาก็หายวับเป็นปลิดทิ้ง นางได้เดินทางไปไกลและไพศาลเพื่อจะหาราชวงศ์สักหนึ่งคน แต่เขากลับเดินมาหานางด้วยตนเอง! พวกเบื้องบนนั้นกังวลที่สุดก็คือราชวงศ์ และหากว่านางสามารถกำจัดเขาได้ นางก็จะประสบความสำเร็จไต่เต้าไปได้อย่างสูงลิ่ว และพ้นจากโลกรูหนูนี่เพื่อไปใช้ชีวิตเริงรื่นที่แดนเบื้องบน!

สายตาของนางวูบไหว แม้ว่าไอ้เด็กสำส่อนนี่จะฆ่าง่ายกว่า แต่เขากลับมีความสำคัญที่สุด! ชีวิตของเขามีค่ามากกว่าราชครูสันตินิรันดร์ไปเป็นร้อยๆ เท่า! แต่ก่อนที่จะกำจัดเขา ข้าก็จำเป็นต้องกำจัดราชครูสันตินิรันดร์ไปเสียก่อน! จะจัดการกับเขาโดยปกติธรรมดานั้นยากเย็น แต่หลังจากที่เข้าไปในทะเลทรายแล้ว ข้าก็จะมีวิธีการ! ผู้สูงศักดิ์ คงต้องรบกวนเจ้าแล้ว!

นางร่ายเวทมนตร์เพื่อรวบรวมทราย ปลุกยักษ์ทรายขึ้นมาเพื่อถามเขาเกี่ยวกับตำแหน่งที่อยู่ของผานกงสั่ว

กิเลนมังกรเพิ่มพูนความเร็วของเขาเมื่อวิ่งไปยังที่ไกลๆ

ในเช้าวันถัดมา กิเลนมังกรก็ไปถึงซากโบราณที่ยังสภาพดีอยู่ในทะเลทราย ข้างๆ มันนั้นมีเรือตะวันและดวงตะวันที่ถูกฝังไว้ครึ่งหนึ่ง

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ด้วยเรือตะวันนี้ ผานกงสั่วก็คงยากที่จะหลบหนีไปได้ ต่อให้เขาต้องการหนีมากแค่ไหนก็ตาม”

ฉินมู่จิตใจฮึกเหิม แย้มยิ้มออกมา “ราชครู พี่สาวซืออวี่ โปรดรอที่นี่เพื่อเฝ้าต้นทาง อย่าปล่อยให้เขาหนีไปได้อีก ข้าจะไปตามหาไอ้เด็กเปรตผานกงสั่วนั่น!”

ราชครูสันตินิรันดร์มองไปที่เขา “ต้องการความช่วยเหลือจากข้าไหม”

“ไม่จำเป็น!” ฉินมู่เร่งความเร็วของเขา และไม่นานเขาก็ลงไปเหยียบที่โถงวังอันพังยุบลงมาในซากโบราณ เขาหัวร่อด้วยเสียงอันดัง “ผานกงสั่ว สหายจากแดนไกลมาเยือนเจ้า ไฉนเจ้ายังไม่รีบไสหัวออกมาตาย”

“ไอ้เด็กแซ่ฉิน เจ้ามันตามหลอกหลอนข้าไม่เลิก!” ร่างหนึ่งทะยานจากผืนทรายขึ้นไปบนท้องฟ้า ด้วยเสียงตึบ มันเหยียบลงตรงสุดอีกด้านของโถงวังนี้ มันคือเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง และไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากผานกงสั่ว เขานั้นเต็มไปด้วยความอาจหาญลำพองและหัวเราะด้วยเสียงกึกก้อง

“เจ้ามาได้เวลาพอดี ในช่วงนี้พลังวัตรของข้าเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล และในที่สุดข้าก็จะได้สำเร็จความปรารถนาอันหมายมาดไว้เนิ่นนาน ก็คือสับเจ้าเป็นชิ้นๆ และให้เจ้าคุกเข่าลงต่อหน้าข้า!”

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้จ้องไปที่แผ่นหลังราชครูสันตินิรันดร์อยู่ตลอดเวลา และในขณะนั้น นางก็เห็นช่องโหว่ของเขา!

……………………………………..

ตำนานเทพกู้จักรวาล

ตำนานเทพกู้จักรวาล

ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset