ตำนานเทพกู้จักรวาล – ตอนที่ 474 ตัวตนอันชั่วร้าย

ผานกงสั่วยืนอยู่ใจกลางกระจก เขาเห็นพื้นผิวร้าวและแตกหักทั้งหมดราวกับแผ่นดินโปร่งใสอันแตกร้าวไปทั่วซึ่งมีช่องว่างระหว่างกันห่างไกลอันมิอาจข้ามไปได้

กระจกของเขาเป็นสมบัติแปลกพิสดารที่เขาได้มาจากแดนโบราณวินาศ โลกข้างในกระจกสามารถซ้อนทับกับโลกจริง และไม่มีใครค้นพบมันได้ ข้อเสียเดียวของมันก็คือ ไม่สามารถใช้ทักษะเทวะข้างในนั้นได้

ในอดีต ผานกงสั่วใช้สมบัติเป็นเครื่องมือในการหลบหนีอยู่เสมอ เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่เขาลงเอยด้วยการติดกับอยู่ในกระจก

ตอนนี้เขาไม่อาจหลบหนีได้อีกต่อไป ฉินมู่ได้สะบั้นเชือกของเขา ดังนั้นทางเดียวที่เหลือก็คือกระโดดออกไปจากกระจก แต่หากว่าเขาพยายามทำเช่นนั้น เขาก็จะถูกแทงทะลุหัวใจตายคาที่

“จ้าวลัทธิฉินไม่ได้มาที่นี่เพื่อสังหารข้า แต่มาเพื่อสนทนาอย่างนั้นหรือ” ผานกงสั่วละความคิดที่จะหลบหนีและลองถามหยั่งเชิง “ทำไมเจ้าไม่พูดให้ไวกว่านี้เล่า”

ฉินมู่มองไปยังผานกงสั่วในกระจกและไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ “ข้ามีโอกาสพูดเมื่อไหร่ล่ะ ในพริบตาที่เจ้าเห็นข้า เจ้าก็ทำเป็นดุดันและพยายามสังหารข้า ดังนั้นข้าจึงได้แต่ต้องป้องกันตนเอง อันที่จริงแล้ว ตอนที่เราพบกันเมื่อครู่นี้ ข้าก็พูดนี่ว่า สหายจากแดนไกลมาจากเยือนเจ้า นี่ไม่น่ารื่นรมย์หรอกหรือ ใช่ไหม เจ้าก็น่าจะฟังแล้วรู้ว่าข้ามาเพื่อรำลึกความหลังกับเจ้า ไม่ได้มาเพื่อเข่นฆ่า แล้วเจ้าจะดิ้นรนไปมากมายอย่างนี้เพื่ออะไร”

ผานกงสั่วแทบจะกระอักเลือดตาย ไอ้เด็กเปรตนี่พูดอยู่ชัดๆ ว่า สหายจากแดนไกลมาเยือนเจ้า ไฉนเจ้ายังไม่รีบไสหัวออกมาตาย เขาพูดคำว่ารื่นรมย์เมื่อไหร่กัน

แต่ถึงอย่างไร ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาถกเถียงเรื่องการใช้คำ ในเมื่อชีวิตของเขาตกอยู่ในกำมือของไอ้เด็กร้ายกาจนี่ ทำตามใจเขาก็คงจะดีที่สุด

“จ้าวลัทธิฉินนั้นสูงส่ง เปี่ยมเมตตา และมีจิตใจกว้างขวาง อันข้าชื่นชมมาตลอด น้องชายผู้นี้เพียงแต่หยอกเย้ากับท่านเล่นเมื่อครู่ ข้าเพียงแต่อยากได้ประจักษ์ถึงทักษะและพลานุภาพของจ้าวลัทธิเท่านั้น ท่านนั้นเลิศล้ำเหนือธรรมดา ข้ายอมรับทั้งกายและใจ” ผานกงสั่วเช็ดเลือดที่ย้อยออกมาจากมุมปาก และนั่งลงด้วยรอยยิ้ม “จ้าวลัทธิอุตส่าห์เดินทางไกลมาถึงนี่ ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดจะปรึกษาหารือ”

“เทพตนนั้นที่อยู่ข้างหลังเจ้า” ฉินมู่ยกกระจกขึ้นมาด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม “ราชครูและข้าอยากไปจะไปพบกับเขาและน้อมคารวะผู้อาวุโสรุ่นก่อนอันศักดิ์สิทธิ์ ข้าไม่แน่ใจว่าผู้สูงศักดิ์จะมอบโอกาสล้ำค่านั้นให้พวกเราได้หรือไม่”

ผานกงสั่วสีหน้าแปรเปลี่ยน

เทพข้างหลังเขานั้นมิใช่ใดอื่น นอกเสียจากเทพเจ้าที่ปรากฏขึ้นมาเมื่อเขาขับเคลื่อนเวทมนตร์หมอผีสักการะดวงวิญญาณ!

ฉินมู่ถามตำแหน่งที่อยู่ของเทพเจ้านั้นย่อมมิใช่การตามไปคารวะอย่างแน่นอน เขาเตรียมที่จะรวบรวมกำลังทั้งหลายมาเพื่อกำจัดเทพนั้น!

“จ้าวลัทธิฉิน กษัตริย์มนุษย์ฉิน ข้าจะไปรู้จักกับตัวตนเช่นนั้นได้อย่างไร” ผานกงสั่วหัวร่อออกมาทันที “ท่านก็รู้ว่าฝีมือความสามารถของข้าเป็นอย่างไร ตัวตนอันต่ำต้อยอย่างข้า จ้าวลัทธิใช้มือข้างเดียวก็ตบข้าได้ทีละสองคน แล้วอย่างนั้นข้าจะไปรู้จักเทพเจ้าที่ไหนกันเล่า ส่วนตำแหน่งที่ตั้งของเขา นั่นก็เป็นสิ่งที่มดปลวกอย่างข้าไม่อาจจะล่วงรู้ได้ จ้าวลัทธิโปรดพิจารณา!”

ฉินมู่ถือกระจก และใช้กระบี่ของเขาแทงไปยังทรายรอบๆ เขากล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ผู้สูงศักดิ์กล่าวว่าเขาไม่รู้จักเทพเจ้าตนใดๆ แต่นี่มันคือเรื่องโกหกอย่างชัดเจน หากว่าเจ้าไม่รู้จักเทพตนใด และเจ้าจะเชื้อเชิญผู้คนจากเหนือฟ้ามาจัดการข้าได้อย่างไร เจ้าจะล่อซวีเซิงฮวาออกมาได้อย่างไร หากว่าเจ้าไม่รู้จักเทพตนใดๆ เจ้าจะจดจำมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ได้อย่างไร”

“ผู้สูงศักดิ์ เจ้าและข้าก็ไม่ใช่เด็กๆ กันแล้ว ดังนั้นอย่าพูดอ้อมค้อมกันเลยดีกว่า ตัวเจ้าเองไม่มีศักดิ์และสิทธิ์ที่จะรู้จักเทพเจ้าใดๆ ก็จริง แต่ผู้ที่หนุนหลังเจ้าอยู่มีศักดิ์และสิทธิ์นั้น ทั้งเจ้าก็ยังใกล้ชิดกับเขา เงารูปของเทพเจ้าที่ปรากฏเบื้องหลังเจ้าตอนที่เจ้าสักการะดวงวิญญาณ เทพตนนั้นน่าจะเป็นอาจารย์ของเจ้าหรือมิเช่นนั้นก็เป็นปรมาจารย์ของเจ้า ใช่หรือไม่”

ผานกงสั่วมองไปที่กระบี่ซึ่งแทงปักลงมาบนทราย และสีหน้าของเขาเดี๋ยวก็ซีดเผือดเดี๋ยวก็มืดคล้ำ ทันใดนั้น เขาก็ลุกขึ้นยืนและเดินไปๆ มาๆ ในกระจกระหว่างที่เขากำลังตัดสินใจในเรื่องอันยากเย็น

ทุกผู้คนกล่าวว่าเขาคือผู้ก่อตั้งวังทองโหรวหลัน แต่พวกเขาไม่รู้ว่ามีอีกบุคคลหนึ่งที่เกี่ยวพันกับเรื่องนี้ด้วย ในครั้งกระโน้น เมื่อเทพเจ้าอันเขามีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งได้ก่อตั้งวังโหรวหลันขึ้นมา และมันก็ตกมาถึงมือเขาด้วยเหตุโอกาสอื่นๆ

ในอดีตนั้นมีเรื่องน่าอดสูมากมาย

“เขาเป็นอาจารย์ของข้า” ผานกงสั่วหยุดเดินและเงยศีรษะขึ้นมองฉินมู่ที่อยู่ข้างนอกกระจก “เจ้าเดาถูก สาเหตุที่ข้ามีเส้นสายกับเหนือฟ้าและสามารถจดจำมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ได้นั่นก็เพราะว่าเขาผู้นั้น แต่ทว่า ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าไปตอแยเขาจะดีกว่า เขานั้นชั่วร้ายจนเกินไป!”

หางตาของเขากระตุกอย่างรุนแรงเมื่อเขากล่าวด้วยเสียงเบา “จ้าวลัทธิน่าจะรู้ว่า ตัวข้านั้นนับได้ว่าเป็นคนชั่วคนหนึ่ง แต่เมื่อเทียบกับเขาแล้วข้าจืดไปเลย ข้าเป็นศิษย์ของเขา แต่ทุกๆ ครั้งที่ข้าใช้เวทมนตร์หมอผีสักการะดวงวิญญาณ ข้าก็ต้องหยิบยืมพลังของเขา เจ้ารู้ใช่ไหม ทุกๆ ครั้งที่ข้าใช้มนตร์หมอผีนี้ ข้าก็จะสูญเสียอายุขัยไปจำนวนหนึ่ง! ฮี่ๆ หากว่าแม้แต่ศิษย์เขาก็ยังทำเช่นนี้ แล้วกับคนอื่นๆ ล่ะ? นี่จึงเป็นสาเหตุที่ข้าไม่ค่อยจะอยากใช้ทักษะเทวะหมอผีดังกล่าว”

สีหน้าฉินมู่แปรเปลี่ยนไปโดยพลัน ผานกงสั่วถึงกับเรียกคนอื่นว่าชั่วร้ายได้? นี่นับว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันเกินจินตนาการที่ผู้คนไม่อาจเชื่อหู!

ในด้านความชั่วของทั้งโลกหล้านี้ มีใครเหนือล้ำกว่าผานกงสั่วผู้ซึ่งวางยาพิษใส่ทุ่งหญ้า และสังหารชาวเผ่าเร่ร่อนผู้บริสุทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนได้

“ข้าเองก็ไม่รู้ชื่อจริงของเขา ข้ารู้แต่ฉายา” ผานกงสั่วกล่าว “คนอื่นๆ เรียกเขาว่าเทพหมอผีขุย ข้าคิดว่าเขาน่าจะมีแซ่ขุย แต่ผู้คนในสายวิชาของพวกเราน้อยนักที่จะเผยชื่อและแซ่อันแท้จริง ดังนั้นแซ่ของเขาก็อาจจะไม่จริงเช่นกัน”

“เทพหมอผีขุย?”

ฉินมู่ตะลึงไป ขุยนั้นเป็นแซ่แซ่หนึ่งจริงๆ แต่ขุยในเทพหมอผีขุยอาจจะไม่ใช่แซ่ ขุยโดยความหมายของมันสามารถแปลว่าใบหูหรือภูตผีก็ได้ หรือว่ามันจะไม่ใช่แซ่แต่เป็นนามของเผ่าพันธุ์

หากว่าเป็นเช่นนั้น เทพหมอผีขุยน่าจะเป็นภูตผีตนหนึ่ง

“ถึงอย่างไร เจ้าลัทธิจะไปค้นหาตัวเขาก็คงจะเป็นไปไม่ได้” ผานกงสั่วกล่าว “เขามาจากโลกอื่นและจากไปแต่เนิ่นๆ ในชาติภพแรกของข้า”

ฉินมู่สังเกตสังกาใบหน้าของผานกงสั่วในกระจก อีกฝ่ายดูไม่เหมือนกับโกหก “จ้าวลัทธิฉิน ไม่มีความจำเป็นต้องสงสัยข้า ข้าจะโกหกเจ้าไปทำไม ความเป็นตายของข้าอยู่ในกำมือของเจ้า ดังนั้นข้าโกหกเจ้าไปก็ไม่ได้อะไรหรอก”

ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วแย้มยิ้ม “ผู้สูงศักดิ์ เจ้าโกหกข้าอีกแล้วนะ”

“ข้าไปโกหกเจ้าเมื่อไหร่” ผานกงสั่วยิ้มฝืนอย่างจนปัญญา

“หากว่าเขาจากไปแล้วจริงๆ ทำไมเจ้ายังร่ายเวทมนตร์หมอผีสักการะดวงวิญญาณได้อีกล่ะ รูปเงาข้างหลังเจ้า นั่นมิใช่รูปเงาของจิตวิญญาณดั้งเดิมเขาหรอกหรือ” ฉินมู่ยิ้มกริ่ม “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อหรือว่าเขามีความสามารถที่จะฉายส่องจิตวิญญาณดั้งเดิมของตนมาจากโลกอื่นได้ หากว่าเขามีความสามารถเช่นนี้ ทวยเทพในแดนเบื้องบนก็คงไม่ต้องลำบากลำบนโดยส่งร่างที่แข็งเป็นหินของพวกเขามาก่อน เพื่อให้เทพเจ้าจากเหนือฟ้าไปกระตุ้นการทำงานของโบราณวัตถุเทวะทำลายล้างโลกหรอก”

ผานกงสั่วสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

ฉินมู่มองไปยังเด็กหนุ่มที่อายุน้อยยิ่งกว่าเขา และกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสามารถสัมผัสได้ถึงการอัญเชิญของเจ้าและฉายส่องรูปเงาของเขามาเพื่อสังหารผู้อื่นโดยการสักการะ ข้าไม่คิดว่าเทพที่ไหนจะมีเวลาว่างขนาดนี้ และข้าก็ไม่คิดว่าเวทมนตร์หมอผีสักการะดวงวิญญาณควรถูกร่ายออกมาเช่นนี้ด้วย หากว่าวันไหนเขาอารมณ์ไม่ดี และตัดสินใจที่จะไม่ฉายส่องรูปเงาของเขามา เจ้าจะไม่เพลี่ยงพล้ำเสียทีไปหรอกหรือ ผู้สูงศักดิ์ พวกเราก็ล้วนแต่เป็นคนฉลาด ดังนั้นบอกความจริงข้ามา แล้วข้าจะปล่อยให้เจ้ารอดชีวิต”

ผานกงสั่วสีหน้าวูบวาบ จากนั้นเขาก็พลันหัวร่อด้วยเสียงอันดัง และปรบมือเข้าด้วยกัน “สมแล้วที่เป็นจ้าวลัทธิฉิน บุรุษที่ข้ามองเป็นศัตรูตามจองล้าง จะหลอกเจ้าน่ะไม่ง่ายเลยสักนิด ใช่แล้ว เขามิได้จากไป เขากะว่าจะจากไป แต่ข้าได้วางแผนร้ายใส่เขา และทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส ก่อนที่จะชิงจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาไป!”

ฉินมู่เบิกตากว้างจ้องมองเขาด้วยความตื่นตระหนก

รอยยิ้มของผานกงสั่วเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง “อาจารย์เป็นอย่างไร ศิษย์ก็เป็นเช่นนั้น สิ่งใดที่เขาสอนข้า ข้าเรียนรู้มันทั้งหมด และถึงกับเหนือล้ำกว่าเขา! กระนั้นไอ้กระดูกผุนั่นก็ไม่ยอมถ่ายทอดวิธีบรรลุเทพเจ้าให้แก่ข้า ในตอนนั้น ข้าแก่ชราลงไปแล้ว และกำลังจะตายในอีกไม่กี่ปี แต่เขาไม่เคยเห็นแก่สายสัมพันธ์ของพวกเราฉันท์อาจารย์ศิษย์เลย”

“ฮึ่ม ในเมื่อเขาอยากให้ข้าตายนัก ข้าก็จะให้เขาตายก่อน! ดังนั้นเมื่อเขาเตรียมพร้อมที่จะออกไปจากโลกนี้ และแดนเบื้องบนก็ได้ฉายแสงเทวะส่องลงมาเพื่อรับเขาขึ้นไป ข้าก็ได้ลงมือ”

ฉินมู่หนาวเยือกขึ้นมาในใจ

ผานกงสั่วแย้มยิ้มแล้วกล่าว “ข้าใช้ทักษะเทวะที่เขาสอนข้าเพื่อขัดจังหวะแสงเทวะรับตัว แยกมันออกเป็นสอง! จ้าวลัทธิฉิน เจ้าก็เชี่ยวชาญในทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกล ดังนั้นเมื่อทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลของเจ้าแยกเป็นสอง เจ้าจะมีจุดจบเช่นไร”

ฉินมู่ใจเต้นแทบจะชนกระดูกซี่โครง “ข้าก็จะถูกผ่าเป็นสองด้วย”

“แสงเทวะรับตัวนั้นไม่ต่างอะไรจากทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกล แตกต่างกันก็แค่การแยกกันระหว่างกายเนื้อและจิตวิญญาณดั้งเดิม”

ผานกงสั่วภูมิใจในตนเองอย่างถึงที่สุดเมื่อเขากล่าวอย่างไม่อนาทร “ข้าใช้เวทมนตร์หมอผีเพื่อบูชายัญศิษย์ของข้าและผ่าแยกแสงเทวะรับตัวเป็นสองเสี่ยง กายเนื้อและจิตวิญญาณดั้งเดิมของอาจารย์ข้า พลันฉีกแยกออกจากกัน และร่วงลงมาจากแสงเทวะรับตัว มันเหมือนกับเขวี้ยงหินก้อนเดียวได้นกสองตัว”

“ศิษย์ของข้าได้รอให้ข้าตายอย่างใจจดใจจ่อมานานแล้ว เพื่อที่จะได้ขึ้นแทนตำแหน่ง ดังนั้นข้าจึงจัดการพวกเขาทั้งคู่เสียพร้อมๆ กัน โดยปราศจากกายเนื้อ จิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุยจึงถูกควบคุมได้อย่างง่ายดาย เมื่อข้าฝังแมลงวิญญาณลงไปในนั้น!”

ฉินมู่ขนหัวลุกเต็มเหยียด และเขาถอนหายใจ

“ผู้สูงศักดิ์ เจ้าบอกว่าเทพหมอผีขุยนั้นชั่วร้าย แต่ในสายตาข้า เขาอาจจะไม่ชั่วร้ายเท่ากับเจ้า”

ผานกงสั่วส่ายหัว “เจ้าประเมินข้าสูงเกินไป ข้าไม่อาจทัดเทียมกับเขาได้ เขานั้นคือความชั่วร้ายอย่างแท้จริง แม้ว่าจะถูกกักเอาไว้มาช้านาน แต่กายเนื้อของเขาก็ยังไม่ตาย และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็ยังคงอยู่ดี มันแทบจะทลายฝ่ามนตร์ปิดผนึกของข้าก็หลายครั้ง หลังจากที่ข้าใช้มันเพื่อก่อตั้งเวทมนตร์หมอผีสักการะดวงวิญญาณ”

“จ้าวลัทธิคงไม่คาดคิดหรอกใช่ไหม ในชาติภพแรกของข้า ข้าเป็นหนึ่งในตัวตนระดับสุดยอดของโลกหล้า ยอดยุทธฝีมือแกร่งที่เข้าใกล้เขตขั้นเทวะ บางทีอาจจะเพราะข้ากลับชาติมาเกิดหลายครั้งจนเกินไป และความปรารถนาที่จะก้าวหน้าต่อไปของข้าก็เหือดหาย แต่กระนั้น ความห้าวหาญทะยานจิตของข้าในครั้งนั้น ก็ไม่ด้อยไปกว่าจ้าวลัทธิฉินเลย”

ฉินมู่ผงกหัว “นั่นก็จริง ความสามารถของผู้สูงศักดิ์นั้นไม่ธรรมดา แม้ว่าเจ้าจะเรียนวิชาฝึกปรือของค่ายสำนักและแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ มากมาย แต่เวทมนตร์หมอผีก็ยังคงเป็นวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้า พวกมันสั่งสมมาจากชาติภพแรก และวิชาอื่นๆ ที่เจ้าเรียนในชาติต่อๆ มานั้นเป็นเพียงสิ่งประดับประดาลงไปยังของอันสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว พวกมันมีประโยชน์แก่เจ้าเพียงน้อยนิด หากว่าเจ้าทุ่มเทการศึกษาค้นคว้าทั้งหมดไปที่เวทมนตร์หมอผีของเจ้า ความสำเร็จในวันนี้ก็คงไม่เป็นเช่นที่เป็นอยู่”

ผานกงสั่วมีสีหน้าชืดชา และน้ำเสียงของเขาก็ทื่อลง “แล้วจะอย่างไรต่อให้ข้าสามารถฝึกปรือเวทมนตร์หมอผีจนถึงสุดขีดขั้ว ข้าก็ยังไม่อาจกลายเป็นเทพเจ้าได้อยู่ดี หลังจากที่ข้าตระหนักเรื่องนี้ ข้าก็เริ่มเดินหนทางอื่น หาวิถีทางที่จะบรรลุเป็นเทพเจ้าในค่ายสำนักและแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ”

“น่าเสียดายว่าพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่มีวิถีทาง ทั้งยังไม่สามารถตรึกตรองเข้าใจสิ่งที่ข้าเรียนมาในหลายชั่วชีวิตได้อย่างเต็มที่ ในท้ายที่สุด ก็เป็นจ้าวลัทธิฉิน บุรุษที่ข้าถือเป็นศัตรูอันยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ได้เผยแพร่วิธีการบรรลุเป็นเทพเจ้าออกไปสู่สาธารณะ ให้ความหวังข้าที่จะสามารถไปถึงขั้นนั้นได้ในที่สุด ทำให้ข้าได้แต่ถอนหายใจอย่างไม่รู้จบ จนด้วยวาจาจะกล่าว”

เขาจมลงไปในภวังค์คิด และทันใดนั้นก็กล่าว “หากว่าข้าพบเจ้าในชั่วชีวิตแรก พวกเราก็อาจจะไม่ได้เป็นศัตรูกัน อาจจะเป็นสหายกันด้วยซ้ำ”

ฉินมู่หน้าแดงเล็กน้อยและหัวเราะ “ผู้สูงศักดิ์ อย่าล้อเล่นอะไรแบบนั้น ข้าน่ะไม่ชั่วร้ายเลยสักนิด จะคบเจ้าเป็นสหายได้อย่างไร เจ้าซ่อนกายเนื้อของเทพหมอผีขุยไว้ที่ไหนล่ะ และสะกดจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาไว้ที่ใด”

“หากว่าข้าบอก เจ้าจะไม่ฆ่าข้า และปล่อยข้าไปตามทางไหมล่ะ”

“ข้าสามารถทำสัตยาบันภูติบดี!” ฉินมู่กล่าวอย่างมั่นเหมาะ

ผานกงสั่วส่ายหัว “จ้าวลัทธิ โปรดอย่าล้อเล่น”

ฉินมู่หัวร่อฮาๆ และโบกมือ “หากว่าเจ้าไม่ต้องการจะกระทำสัตยาบันต่อภูตบดี เช่นนั้นพวกเราก็มาทำสัตยาบันต่อจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุยกันเถอะ หากว่าเจ้าผิดคำสาบานและให้ตำแหน่งที่ตั้งเท็จแก่ข้า เจ้าก็จงตายในทันทีที่พบกับเขา! สำหรับข้าก็เหมือนกัน หากว่าข้าไม่ปล่อยเจ้าให้รอดชีวิต ข้าก็จงตายในทันทีที่พบเขา!”

……………………………….

ตำนานเทพกู้จักรวาล

ตำนานเทพกู้จักรวาล

ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset