ผานกงสั่วพึมพำกับตนเองอย่างตกลงใจไม่ได้ ข้อเสนอของฉินมู่นั้นนับว่าจริงใจ แต่ก็ซ่อนเงื่อนอันร้ายกาจไว้เช่นกัน หากว่าผานกงสั่วผิดคำสาบาน ก็จะเท่ากับทำให้เวทมนตร์หมอผีสักการะดวงวิญญาณของเขากลายเป็นไร้ประโยชน์
หากว่าเขาร่ายมัน เขาก็จะตายในทันที
เมื่อวิชานี้ไร้ประโยชน์ กำลังฝีมือของเขาก็จะไม่น่าสะพรึงกลัวอีกต่อไป ทักษะเทวะของเขาก็จะกลายเป็นสาบสูญ ในเมื่อไม่มีใครสามารถใช้มันได้อีก
ตัวตนและระดับภัยคุกคามของผานกงสั่วก็จะลดลงเป็นอย่างมาก
อันที่จริงแล้ว สาเหตุที่ฉินมู่สามารถเป็นคู่ต่อสู้กับผานกงสั่ว และต่อยตีเขาเสียน่วมยับเยินได้ นั่นก็เพราะว่าเวทมนตร์สักการะดวงวิญญาณไม่มีผลต่อเขา
หากว่าผานกงสั่วเผชิญหน้ากับคนอื่น แม้ว่าคนผู้นั้นจะมีขั้นวรยุทธที่สูงกว่าหนึ่งหรือสองขั้น พวกเขาก็ยังจะต้องตายภายใต้วิชานี้ ไม่มีผลลัพธ์อื่น!
มีก็แต่คนที่ใช้ชื่อปลอมอย่างฉินมู่ที่สามารถต้านทานการโจมตีอันร้ายกาจที่สุดของผานกงสั่วได้ และบีบให้อีกฝ่ายต้องสู้กับเขาด้วยตนเอง
“ตกลง!” ผานกงสั่วกล่าวโดยไม่ลังเล “พวกเรามาทำสัตยาบันต่อเทพหมอผีขุย!”
เขาพลันขับเคลื่อนเวทมนตร์สักการะดวงวิญญาณ และก็ปรากฏแท่นสังเวยเบื้องหลังเขา บนนั้นคือรูปเงาของเทพหมอผีขุย
ทั้งคู่รีบกระทำสัตยาบันเทพหมอผีขุยโดยพลัน แต่ละฝ่ายต่างก็วิเคราะห์คำสาบานของฝ่ายตรงข้ามว่ามีช่องโหว่ตรงไหนบ้าง พวกเขาพลันพบว่าอีกฝ่ายนั้นชาญฉลาดเป็นอย่างยิ่ง ไม่เหลือช่องโหว่ทิ้งเอาไว้มากนัก และช่องโหว่ที่ทิ้งเอาไว้ก็เป็นกับดัก
จิ้งจอกเฒ่า จิ้งจอกน้อย ทั้งสองคนต่างก็ด่าทออีกฝ่ายในใจ
ผานกงสั่วระบายลมหายใจสั่นสะท้านและกล่าว “ข้าซ่อนร่างเนื้อของเทพหมอผีขุยเอาไว้ในภูเขาหยางอันตั้งอยู่ที่สุดทิศใต้ของแดนโบราณวินาศ จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาถูกสะกดเอาไว้ที่ภูเขาหยินอันตั้งอยู่ที่สุดทิศเหนือ หากว่าเจ้าไปยังสองสถานที่นี้ ก็จะสามารถพบเจอได้ เขาเงยหน้าขึ้นมองฉินมู่นอกกระจก “จ้าวลัทธิฉิน เจ้าควรจะทำตามข้อตกลง”
“เจ้าน่าจะวางเวทปิดผนึกเอาไว้เยอะอยู่สินะ? ทำไมไม่บอกเล่าให้ข้าฟังสักหน่อยล่ะ”
ผานกงสั่วยิ้มให้แก่เขาในแบบที่ไม่เชิงยิ้ม “จ้าวลัทธิ สัตยาบันระหว่างเราไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ข้าบอก เจ้าก็จะเชื่อข้าหรือ”
ฉินมู่อ้าปากหาว ใบหน้ายังเต็มด้วยรอยยิ้ม “ข้าย่อมไม่กล้าเชื่อ แต่ข้าบอกว่าข้าจะไม่สังหารเจ้า ก็ไม่ได้หมายความว่าราชครูสันตินิรันดร์จะไม่สังหารเจ้า”
ผานกงสั่วหัวเราะด้วยเสียงอันดัง และพลันแปลงกายเป็นเงาดำที่มุดออกมาจากกระจก และแปลงกลับเป็นร่างเดิม เขาแย้มยิ้มแล้วกล่าว “ราชครูสันตินิรันดร์ยังต่อสู้ติดพันกับมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ และทั้งสองคนก็กำลังขับเคี่ยวคับขัน กำลังฝีมือของพวกเขาทัดเทียมกัน ยากจะตัดสินแพ้ชนะ”
เขาเดินวนอ้อมฉินมู่สองรอบ จากนั้นพลันโจมตีพลางหัวเราะในคอ “จ้าวลัทธิฉิน สัตยาบันของพวกเราระบุว่าเจ้าจะปล่อยข้าไปและไม่สังหารข้า แต่ไม่มีตรงไหนที่บอกว่าข้ามิอาจฉวยโอกาสนี้โจมตีเจ้า!”
ฉินมู่สีหน้าแปรเปลี่ยนโดยพลัน เขารีบล่าถอยอย่างรวดเร็ว ผานกงสั่วโจมตีอย่างบ้าคลั่ง พลางหัวเราะด้วยเสียงอันดัง กระบวนท่าและรูปร่างของเขาถูกช่วงใช้ตามใจปรารถนา และความอัปยศอดสูก่อนหน้าก็หายวับไปราวปลิดทิ้ง
ฉินมู่พบว่ายากที่จะป้องกัน ความแตกต่างระหว่างทั้งคู่ไม่มากเท่าไร ดังนั้นหากว่าผานกงสั่วโจมตีต่อไปเรื่อยๆ และเขาก็ยังป้องกันต่อไปเรื่อยๆ ผานกงสั่วก็จะชิงชัยได้เปรียบ และความได้เปรียบนี้ก็จะเพิ่มพูนมากขึ้นทุกที!
ในท้ายที่สุด ฉินมู่ก็อาจจะตกตายในน้ำมือของเขา!
“ผู้สูงศักดิ์” ฉินมู่พลันชักกระบี่ของเขาออกมา และโต้กลับไปด้วยรอยยิ้ม “สัตยาบันของข้าระบุว่าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่มิได้หมายความว่าข้าจะไม่สะบั้นแขนขาเจ้าสักสองสามข้าง! ไม่ต้องห่วง น้องชาย ข้าเชี่ยวชาญในวิชาเยียวยาอย่างสุดๆ ต่อให้ข้าตัดหัวเจ้าออกไป ข้าก็ยังสามารถรักษาชีวิตเจ้าเอาไว้ได้แน่นอน อย่างมากข้าก็เอาหัวเจ้าไปต่อกับสุกร!”
ผานกงสั่วแทบโดนตัดแขนไปข้าง และรีบล่าถอยออกไปทันที โทสะพลุ่งพล่านขึ้นมาในหัวใจของเขา “ไอ้ลูกเต่า!”
“ไอ้ลูกเต่า!” ฉินมู่เองก็โมโหเดือด “เจ้าเองก็แอบซ่อนเพทุบาย รอประทุษร้ายข้าเหมือนกันไม่ใช่หรืออย่างไร”
ผานกงสั่วหลบทางนั้นทีทางนี้ทีด้วยความร้อนรน จากนั้นก็ตบถุงเต๋าตี้ของเขา อันยิงกล่องกระบี่ออกมา กระบี่บินพรั่งพรูขึ้นไปบนท้องฟ้าและแปรเปลี่ยนเป็นนิพนธ์ที่หกแห่งกระบี่เต๋า
เจ็ดบัวทองวิจิตรพิสดาร รัชสมัยอันกระจ่างและรื่นรมย์!
นี่คือเพลงกระบี่ในวรยุทธขั้นเจ็ดดาวของกระบี่เต๋าแห่งสำนักเต๋า กระบี่ทั้งหลายบินเข้าไปในดวงดาวทั้งเจ็ด พวกมันแปรเปลี่ยนเป็นดอกบัวเจ็ดดอก อันรองรับธาตุทั้งห้าและสุริยันจันทรา ทักษะนี้มีพลานุภาพรุนแรงอย่างผิดธรรมดา
ฉินมู่ตะโกนออกไปและใช้นิพนธ์ที่หกแห่งกระบี่เต๋า เพลงกระบี่ทั้งสองปะทะกันส่งให้ผานกงสั่ว กระเด็นไปข้างหลัง เขาพลันมุดเข้าไปในดิน และฉินมู่ก็พุ่งไปข้างหน้าพลางตะโกนด้วยเสียงอันดัง “มังกรอ้วน เดี๋ยวข้าจะทำให้มันบาดเจ็บ แล้วเจ้าไปฆ่ามัน!” หลังจากเขากล่าวเช่นนั้น ก็มุดดำดินตามไปด้วย
ที่ไกลๆ นั้น กิเลนมังกรคอยดูอยู่ห่างๆ โดยมิได้เข้ามาใกล้ เมื่อเขาได้ยินคำสั่งของฉินมู่ เขาก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยหน้าตาตื่น
แต่เมื่อเพิ่งมาถึงจุดที่ฉินมู่และผานกงสั่วหายไป ทะเลทรายก็ระเบิดตูมห่างออกไปสิบลี้เมื่อมีเงาร่างทั้งสองพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะที่กิเลนมังกรวิ่งไปถึงจุดนั้น ทั้งสองคนก็มีอักษรรูนเคลื่อนย้ายระยะไกลกะพริบรอบร่าง และก็หายวับ
เมื่อทั้งคู่ปรากฏขึ้นมาใหม่ พวกเขาก็อยู่ห่างออกไปอีกสิบลี้อีกครั้ง และกระบี่ส่งเสียงเคร้งคร้างเมื่อพวกเขาปะทะประมือกัน
“สองคนนั่นหนีเอาชีวิตเก่งจนจะเป็นภูตผีอยู่แล้ว เช่นนั้นข้าจะไปตามพวกเขาทันได้อย่างไร” กิเลนมังกรบ่นพึม
ขณะที่เขากำลังจะไล่ตามไปอีกครั้ง เงาร่างของฉินมู่และผานกงสั่วก็หายวับ กระบี่ปะทะกันส่งประกายไฟกระเด็นไปทั่วฟากฟ้า ทำให้แสงโลหิตกระจายออกไปทั่วทิศ
“จ้าวลัทธิ หยุดวิ่งได้แล้ว!” กิเลนมังกรมองตรงไป และสีหน้าเขาแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เขาตะโกน “นั่นมันเป็นสนามต่อสู้ของราชครูและมารดาเฒ่าสวรรค์แท้!”
ฉินมู่ไล่ล่าผานกงสั่วซึ่งคิดแต่จะหนีเอาชีวิตรอด เขากัดฟันบุกเข้าไปในพายุทราย
ฉินมู่ก็เข้ามายังที่อันลมพัดกระหึ่ม เป่าเม็ดทรายให้ปั่นป่วนเป็นพายุอันน่าสะพรึงกลัว ฟ้าแลบพุ่งแปลบปลาบและฟ้าคำรามก็กึกก้องในพายุทราย ขณะที่เม็ดทรายทั้งหลายราวกับอาวุธวิญญาณชิ้นเล็กๆ แทบจะเฉือนเข้าไปผิวหนังของเขา มันเจ็บแสบเป็นอย่างยิ่ง
“กายามังกรแท้จ้าวแดนดิน!” ฉินมู่ตะโกนออกไป
เขาเผยผลลัพธ์ของการหลอมรวมวิชาเก้ามังกรราชันย์เข้ากับวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ ปราณชีวิตของเขาประดุจมังกรตัวหนึ่งที่กระหวัดรัดพันรอบๆ ร่างกายของเขา เส้นเลือดของเขามีโลหิตไหลเชี่ยวมาอย่างไม่หยุดยั้ง กล้ามเนื้อของเขาระเบิดออกไปข้างนอกราวกับฟ้าแลบและฟ้าร้องเมื่อมันเคลื่อนไหวไป
ทรายในกระแสลมปะทะกับร่างกายเขาและกระเด็นออก เขาไม่รู้สึกเจ็บมากมายอีกต่อไป
ลำแสงสองลำพวยพุ่งออกจากดวงตา และไม่ทันที่เม็ดทรายจะเข้ามาถึงดวงตาของเขา มันก็ระเหิดหายไปจากแสงเทวะ
ฉินมู่มองไปรอบๆ แต่สายตาของเขามองไปได้ไม่ไกล ถึงกระนั้น ผานกงสั่วก็อยู่ไม่ไกล ฉินมู่พุ่งไปโจมตีเขาทันที ข้างใต้เท้าผานกงสั่วนั้นเป็นโล่ใหญ่อันมีรอยประทับรูปเต่า พวกมันเปล่งแสงขึ้นมา และลวดลายกระดองเต่าอันยิ่งใหญ่อลังการก็ปรากฏขึ้นรอบๆ กายของเขา ป้องกันเขาเอาไว้เป็นชั้นๆ
จำนวนสมบัติวิเศษที่เขามีไว้ในครอบครอง นับว่าเกินจินตนาการ
เมื่อราชครูสันตินิรันดร์รุกรานวังทองโหรวหลัน ผานกงสั่วคงจะได้ขนย้ายสมบัติวิญญาณส่วนใหญ่อันเขารวบรวมเอาไว้ตลอดกว่าหมื่นปีออกมา เห็นได้ชัดว่าโล่ลายกระดองเต่านี้เป็นหนึ่งในสุดยอดสมบัติที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ
บุรุษทั้งสองพบว่าท่ามกลางพายุทรายอันดุเดือดเช่นนี้ พวกเขายากที่จะทรงตัว และร่างกายของเขาพวกเขาถูกซัดกวาดไปรอบๆ ด้วยกระแสลมรุนแรง แม้แต่อาวุธวิญญาณของพวกเขาก็ไม่สามารถบินออกไปได้ไกล มิเช่นนั้นมันจะถูกเป่าหาย
สายฟ้าฟาดเปรี้ยงในทะเลทรายลงมาระหว่างพวกเขาทั้งสอง ทันใดนั้น คลื่นกระเพื่อมอันน่าสะพรึงกลัวได้กวาดซัดมา และทั้งสองก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงก่อนที่จะถูกดีดกระเด็นขึ้นไป มันมีการกระเพื่อมไหวในห้วงมิติที่บางครั้งก็สูง บางครั้งก็ต่ำ ร่างกายของพวกเขาบางทีก็ถูกยืดออก และบางทีก็ถูกบีบอัดเข้าไป แปรเปลี่ยนจากสูงสิบแปดคืบ เป็นเตี้ยห้าคืบ ยากจะทานทน
ฟิ้ววว!
ดวงตะวันสีดำกลิ้งผ่านพวกเขาไป ยังคงพวยพุ่งไปด้วยความร้อนมหาศาล เผาทรายและพายุลมในบริเวณรอบๆ เปลวเพลิงพลันเปลี่ยนเป็นพายุหมุนอัคคีที่ทั้งรวดเร็วทั้งเกรี้ยวกราด
ฉินมู่และผานกงสั่วไม่อาจยืนได้มั่น และถูกกวาดซัดเข้าไปในนั้น พายุหมุนไฟอันหนาแน่นอย่างไร้ที่เปรียบ หมุนติ้วอย่างรวดเร็วสุดกู่ และซัดพวกเขาขึ้นไปบนท้องฟ้า
ติง ติง ติง
เสียงกระบี่ปะทะกันมากกว่าร้อยครั้ง จนกระทั่งการผ่าขนานพื้นของกระบี่หนึ่งสามารถเฉือนผ่าพายุหมุนอัคคีได้ ร่างของฉินมู่และผานกงสั่วหมุนอย่างเร็วจี๋ แต่ไม่ทันที่พวกเขาจะตั้งหลัก งูทรายอันหนากว่าร้อยห้าสิบวาก็อ้าปากคำรามจนหูอื้ออึง ก่อนที่จะอ้าปากฉกใส่พวกเขา
ฉินมู่วิ่งตะบึงอย่างไม่คิดชีวิต ขณะที่ผานกงสั่วกลิ้งตลบๆ ไปในอากาศอีกข้างหนึ่ง เขาหลบงูทรายตัวหนาใหญ่นี้ได้อย่างเฉียดฉิว และได้ยินเสียงครืนครันเมื่ออสรพิษทรายมุดเข้าไปในใต้ดิน ทำให้ทั้งสองคนกระอักเลือดจากแรงสั่นสะเทือน
การสัประยุทธ์ของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้และราชครูสันตินิรันดร์นั้นดุเดือดจนเกินไป เด็กหนุ่มทั้งสองไม่อาจทานทนแรงสะเทือนปลายหางที่เกิดจากเทพเจ้าทั้งสองตนนี้ และอาจจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ทุกเมื่อในพายุทราย
ผานกงสั่วพุ่งออกไปจากพายุทรายหลังจากที่หลบหลีกงูทรายตัวนั้น แต่ทว่า ในพริบตานั้น เสียงฝีเท้าอันดังสนั่นหวั่นไหวก็ก้องมา ฉินมู่และผานกงสั่วได้แต่ยืนตะลึง
แผ่นดินใหญ่มหึมากำลังเคลื่อนที่ไปในทะเลทราย ไม่ว่ามันจะผ่านไปที่ใด ห้วงมิติก็จะหดรัดและสร้างคลื่นกระเพื่อมจากการสั่นสะเทือน
อวกาศนั้นมิอาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่เมื่อมันถูกเรือตะวันบีบอัดเข้าไป ผู้คนก็จะสามารถมองเห็นคลื่นกระเพื่อมของอวกาศได้อย่างชัดตา!
“หนี–” ผานกงสั่วกรีดร้อง แต่เสียงของเขาถูกกลบหายในพายุทราย
ฉินมู่พยายามจะวิ่งหนี แต่ถึงแม้ว่าเขาจะใช้ขาเทวะขโมยสวรรค์ของเฒ่าเป๋ เขาก็มิอาจวิ่งได้เร็ว สายลมนั้นรุนแรงจนเกินไป
รัศมีเทวะอันกล้าแกร่งไร้เทียมทานแผ่พุ่งออกมา และทั้งสองคนก็กระอักเลือดจากแรงกระแทก แม้แต่กายามังกรแท้จ้าวแดนดินของฉินมู่ และโล่กระดองเต่าของผานกงสั่วก็ไม่อาจต้านทานได้
พึงรู้ว่าวรยุทธของทั้งสองคนอยู่ที่ระดับสุดขีดขั้วของขั้นเจ็ดดาว พวกเขาขาดอีกหนึ่งก้าวก็จะเข้าสู่ขั้นชาวสวรรค์ แต่รัศมีเทวะจากพายุทรายก็ยังแข็งแกร่งเกินจะรับไหว
ปัง ปัง
ฉินมู่ติดไปกับเท้าข้างหนึ่งของเรือตะวันและหลุดออกไปไม่ได้ ใบหน้าเขาย่นยู่ไปหมดจากกระแสลมรุนแรง และการยืดขยายของห้วงอวกาศก็ทำให้ร่างของเขาเหยียดยาวกว่ายี่สิบคืบ ฉินมู่รู้สึกราวกับว่าสมองของเขากลายเป็นละเอียดและแหลมคม แม้กระทั่งจักษุผัสสะก็กลายเป็นแปลกประหลาด
ข้างๆ เขาคือผานกงสั่วที่ถูกยืดเป็นบะหมี่เส้นยาวด้วยเหมือนกัน และอีกฝ่ายนั้นก็คว้าจับขาอีกข้างของเรือตะวันด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
หลังจากคลื่นระลอกนี้ พลังลมก็ลดถอยลงไป และร่างกายของพวกเขาก็กระเด้งกลับ ฉินมู่ยกกระบี่ด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อให้มันหมุนเกลียวอย่างรวดเร็ว เฉือนฟันไปตามขาของเรือตะวันไปยังศัตรูของเขา
ผานกงสั่วเหยียบขึ้นไปบนโล่กระดองเต่าและยกกระบี่ขึ้นมาปัดป้อง เขาครางเสียงหนักและเกิดรอยแผลตัดลึกที่ขาของเขา
ตูม!
คลื่นกระเพื่อมมาจากเรือตะวันอีกครั้ง และคราวนี้มันแผ่พุ่งออกไปข้างนอก สะท้อนทั้งสองคนให้กระเด็นออกไป จากนั้นก็บีบอัดทั้งคู่ให้เป็นลูกกลมๆ สองลูก
ในเวลานั้น ฉินมู่เห็นแสงกระบี่พุ่งเฉือนผ่านพายุทราย ราชครูสันตินิรันดร์เดินขึ้นไปบนเรือตะวันท่ามกลางแรงสะเทือนอันร้ายกาจ และแสงกระบี่ของเขาก็สะบั้นศีรษะของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ที่ปักหลักอยู่ใจกลางเสาทั้งสี่ แต่ทว่ามารดาเฒ่าสวรรค์แท้ก็เผยยิ้มโหดเหี้ยมออกมาในจังหวะนั้น และดวงตะวันดำมหึมาก็ฟาดลงมาจากด้านหลังของราชครู
ดวงตะวันดำบดขยี้แทบจะทุกสิ่งทุกอย่างบนเรือตะวัน และกลิ้งไปจนสุดเรืออีกฟาก พลิกแกว่งเรือตะวันให้สะดุดเซไปหลายก้าว ก่อนที่จะหยุดลงในที่สุด
ฉินมู่ถูกพายุอันสะท้านขวัญนี้ยกลอยขึ้นไป อันมันก็ยังพวยพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง กวาดซัดและกลบกลืนทะเลทรายเพลิงโหมมากขึ้นทุกที แม้แต่กิเลนมังกรก็ถูกเป่าขึ้นไปและดิ้นรนอย่างไร้ผล ไม่นานนักเขาและฉินมู่ก็ได้แต่ยอมจำนนชะตาและปล่อยให้พายุเป่าพวกเขาไปยังทิศไกลๆ
…………………………………..